Sunday
มังกรไม่กิน แลไม่นอน เฝ้าสาปแช่งมนุษย์
ครั้นความชั่วร้ายทะยานถึงขีดสุด
จึงถูกเทพยดาขับไล่ลงมายังโลกมนุษย์
สูญสิ้นซึ่งอำนาจอันทรงเกียรติ ร่วงหล่นสู่ธรณี
เรื่องราวต่อไปนี้จะเริ่มจากที่ใดดี
ที่แห่งนี้มีแผ่นดินไลเอน ซึ่งถูกขนานนามว่าดินแดนแห่งบุปผาตั้งอยู่ บนผืนดินอันกว้างใหญ่นี้กอปรด้วยสามจักรวรรดิ ยี่สิบแปดอาณาจักร สิบสองราชรัฐ และยี่สิบเจ็ดแคว้นปกครองตนเองที่พัวพันเข้าด้วยกันอย่างยุ่งเหยิง สงครามระหว่างแว่นแคว้นไม่เคยยุติลงเพราะข้อพิพาทระหว่างพรมแดน ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเหล่าอสูรปรากฏกายขึ้นบริเวณฝั่งชายแดน คอยสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนอีกด้วย
วสันตฤดู ปี 4202 ได้มีเคราะห์ร้ายบังเกิดแก่อาณาจักรเชาหลันซึ่งตั้งอยู่ปลายสุดของแผ่นดินไลเอนทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งในระหว่างออกล่าสัตว์ ‘เชียนหลุน’ ผู้เป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักรเกิดพลัดตกจากหลังม้าจนถึงแก่อาสัญ
หลังจากที่สูญเสียผู้สืบราชบัลลังก์ พระราชาก็ตรอมตรมอยู่ในความโทมนัสอย่างหนัก อีกทั้งปัญหาที่ตามมาก็ยิ่งมีแต่จะสร้างความทุกข์ทรมานพระทัยให้แก่พระองค์ไม่จบไม่สิ้น เนื่องจากทัศนะที่ว่าจะให้ผู้ใดมาสืบทอดตำแหน่งรัชทายาทที่เว้นว่างนั้นล้วนแตกเสียงกันไปคนละทิศละทาง
รัชทายาทที่สิ้นพระชนม์มีพระโอรสอยู่ด้วยกันสองพระองค์ องค์หนึ่งมีพระชันษาห้าปี ส่วนอีกองค์มีพระชันษาสองปี แม้หลานชายที่จะมาสืบทอดบัลลังก์จะพระชันษายังน้อยทว่าหากพิจารณาตามกฎการสืบราชสันตติวงศ์แล้ว ก็นับได้ว่าเป็นผู้ควรแก่การครองราชสมบัติเป็นลำดับที่หนึ่ง อีกทั้งยังมีอำนาจหนุนหลังที่แข็งแกร่งอีกด้วย
ในเวลานั้นพระอัยกาของหลานทั้งสองซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีที่รับผิดชอบราชกิจของแผ่นดินในฐานะลูกพี่ลูกน้องของพระราชานั้น เป็นผู้มีอำนาจที่ให้การสนับสนุนพระราชนัดดา และยืนกรานหนักแน่นว่า ผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์จะต้องเป็นหนึ่งในพระโอรสของรัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไปเท่านั้น โดยยืนยันว่าเป็นไปตามระเบียบการสืบราชสมบัติของกษัตริย์โดยชอบธรรม
ทว่านอกจากรัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระราชายังมีโอรสอีกสามพระองค์ เช่นนั้นแล้วจึงไม่จำเป็นต้องบรรยายให้มากความว่าลับหลังจะเกิดการต่อสู้อันดุเดือดเพียงใด
ในที่สุดความขัดแย้งก็นำไปสู่สงครามกลางเมืองที่อุบัติขึ้น ณ เมืองหลวงเชียอิน ในคิมหันตฤดู ปี 4202 หลังการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยการนองเลือดตลอดสองคืนกับอีกหนึ่งวันสิ้นสุดลง โรมัลชวิน พระโอรสองค์ที่สามก็ได้รับชัยชนะไปครอบครอง ส่วนโอรสทั้งสองของรัชทายาทเชียนหลุนและองค์ชายที่สองได้สิ้นพระชนม์ระหว่างสงคราม ผู้รอดชีวิตจึงมีเพียงองค์ชายโรมัลชวิน และทรูเชียน องค์ชายที่สี่ซึ่งให้การสนับสนุนองค์ชายโรมัลชวินเท่านั้น
สงครามกลางเมืองของอาณาจักรเชาหลันที่อุบัติขึ้นในปี 4202 ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ในนาม ‘การก่อกบฏขององค์ชายชยาเวน’ ซึ่งมีการบันทึกเอาไว้ว่า โรมัลชวิน องค์ชายที่สามได้ปราบปรามชยาเวน องค์ชายที่สองผู้ลุ่มหลงในอำนาจจนลงมือสังหารหลานชายทั้งสองและทำการก่อกบฏในครั้งนั้น
แต่ใดๆ ก็ตามมีเพียงผู้ร่วมเหตุการณ์เท่านั้นที่รู้ดีว่าสิ่งใดเท็จจริง ทว่ากลับไม่มีใครลุกขึ้นมาคัดค้านประวัติศาสตร์ของผู้ชนะแม้แต่คนเดียว
‘การก่อกบฏขององค์ชายชยาเวน’ จึงควรจบลงด้วยการที่โรมัลชวินขึ้นเป็นรัชทายาท
ทว่าเรื่องราวกลับยังไม่สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้
มาดูเรื่องราวอีกทางด้านหนึ่ง
ก่อนที่รัชทายาทเชียนหลุนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงโปรดปรานคณิกานางหนึ่งนามว่า ‘ลียูอา เมเรน’ นางเป็นหญิงงามต่างอาณาจักรผู้เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ซึ่งมีเส้นผมสีน้ำตาลแดง รัชทายาทเชียนหลุนให้คำมั่นสัญญากับนางว่าจะไถ่ตัวนางจากหอคณิกาแล้วแต่งตั้งเป็นนางสนมของพระองค์ ทว่าเมื่อรัชทายาททรงสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ลียูอาจึงจำต้องเป็นคณิกาต่อไป
ลียูอาทุกข์ระทมกับความอาภัพของตน อนาคตที่จะได้ใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างสุขสบายหากทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่นกลับพลิกผันตาลปัตร แต่ถึงอย่างนั้นก็นับเป็นสัจธรรมอันเที่ยงแท้ ที่เมื่อมีสุขก็ไม่ยั่งยืน มีทุกข์ก็ไม่คงทนถาวร เพราะการที่นางไม่ได้เป็นนางสนมของรัชทายาทและยังคงเป็นนางคณิกาดังเดิม มันทำให้นางยังรักษาชีวิตรอดเอาไว้ได้ ในขณะที่บรรดาโอรส รวมถึงมเหสีและเหล่าสนมของพระองค์ต้องตกตายในสงครามกลางเมืองครานั้นทั้งหมด
เหตุผลที่ต้องกล่าวถึงลียูอาซึ่งมีชีวิตอยู่ในฐานะนางคณิกาก่อนจะตายจากไปนั้น เพราะว่าหลังการจลาจลครั้งนั้นจบลง นางก็ได้ตั้งครรภ์ขึ้นมา ซึ่งหากพินิจจากขนาดของครรภ์และไล่เลียงวันเวลาแล้ว บิดาของเด็กในท้องก็ไม่แคล้วเป็นรัชทายาทเชียนหลุนอย่างแน่นอน ทว่ากลับไม่มีใครหรือแม้แต่ตัวนางเองให้ความสนใจในความจริงข้อนั้น
ราษฎรส่วนใหญ่ของอาณาจักรเชาหลันบ้างก็มีเส้นผมสีน้ำตาล บ้างก็เป็นสีเหลืองอมแดง มีเพียงเหล่าเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะมีเส้นผมสีเงินและดวงตาสีชาดโดยกำเนิด ซึ่งนั่นคือหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพวกเขาคือลูกหลานของสุริยเทพอย่างแท้จริง ทว่าน่าแปลก ที่หากสายเลือดนี้หลอมรวมกับสายเลือดของคนที่ไม่ได้มีเชื้อพระวงศ์แล้ว ลักษณะเหล่านั้นก็จะไม่ปรากฏกับเด็กที่เกิดมา ดังนั้นที่อาณาจักรเชาหลันจึงมีการสมรสกันในเหล่าเชื้อพระวงศ์และสืบเชื้อสายกันเช่นนี้เรื่อยมา
แม้ว่าลียูอาซึ่งเป็นสตรีต่างอาณาจักรจะกำลังอุ้มท้องเลือดเนื้อของรัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ตาม แต่เด็กที่เกิดมาก็ไม่มีทางได้รับการยอมรับเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์อย่างแน่นอน ลียูอาเป็นคณิกา โชคชะตาจึงถูกกำหนดไว้แล้วว่าหากลูกที่เกิดมาเป็นหญิงก็จะกลายเป็นคณิกาตามผู้เป็นแม่ และหากเป็นชายก็หนีไม่พ้นเป็นเด็กรับใช้ในหอคณิกาเช่นกัน
แน่นอนว่าเรื่องราวไม่มีทางจบลงโดยง่ายดายเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังจะเกิดความพลิกผันได้ทุกเมื่อ
เจ็ดเดือนหลังจากรัชทายาทสิ้นพระชนม์ เด็กน้อยก็ถือกำเนิดออกมา ในเหมันตฤดู ปี 4202 ซึ่งเป็นเด็กชายที่มีเส้นผมสีดำขลับ
ทว่าไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกอันใด ที่เด็กคนนั้นเกิดมาพร้อมกับดวงตาอัญมณี ซึ่งปรากฏสีสันหลากหลายอยู่ในดวงตา นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของลูกหลานสุริยเทพ หากถามว่าลักษณะเช่นนี้พบเจอได้ยากเพียงใด ก็พิจารณาได้จากการที่แม้อาณาจักรเชาหลันจะก่อตั้งมากว่าสามร้อยปีแล้ว แต่เชื้อพระวงศ์ที่มีดวงตาอัญมณีนั้น กลับปรากฏให้เห็นแค่เพียงสามพระองค์ นับเป็นเวลาถึงสามครั้งสามคราที่อาณาจักรเชาหลันต้องประสบกับเรื่องไม่คาดคิด เหล่าเชื้อพระวงศ์จำต้องหารือกันต่อเนื่องหลายวันว่าจะทำอย่างไรกับเด็กที่เพิ่งเกิดมายังไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์คนนั้น
บ้างก็เห็นสมควรให้สังหารเด็กที่มีเส้นผมสีดำอัปมงคลทิ้งไป บ้างก็ว่ายากที่จะยอมรับเด็กคนนั้นในฐานะเชื้อพระวงศ์ เพราะแม้จะกำเนิดมาพร้อมดวงตาอัญมณี แต่ถึงอย่างไร สายเลือดอีกครึ่งหนึ่งในตัวก็ยังคงเป็นสายเลือดต่ำต้อยอยู่วันยังค่ำ ทว่ามติของเสียงส่วนใหญ่เห็นควรว่าดวงตาอัญมณีของเด็กคนนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเจ้าตัวคือลูกหลานสุริยเทพ เช่นนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้ใช้ชีวิตในฐานะสามัญชนได้เด็ดขาดพลังของดวงตาอัญมณีนั้นแสนจะยิ่งใหญ่
ในที่สุดเด็กคนนั้นก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นเชื้อพระวงศ์ โดยที่องค์ชายโรมัลชวินได้อุปการะให้เป็นบุตรบุญธรรมของตน ส่วนลียูอาผู้เป็นมารดาของเด็กน้อยถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ซึ่งว่ากันว่านางก้าวเท้าพลาดจึงพลัดตกลงมาจากบันได ทว่าก็ไร้ซึ่งพยานพบเห็น
เด็กน้อยที่สูญเสียมารดาไปได้รับนามว่า ‘เซเชียน คานิปชวอร์ หลัน เชา’ เติบโตในพระราชวัง และถูกเรียกขานว่าองค์ชายวอนรยุน
แม้จะมีศักดิ์เป็นถึงองค์ชาย กระนั้นก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากจากการที่มีเส้นผมสีดำอัปมงคลติดตัว ทั้งยังถูกกักขังให้อยู่แต่ในตำหนักเนินจันทร์ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อาจให้เชื้อพระวงศ์อัปมงคลเดินเหินทั่วพระราชวังได้ ครั้นพระชันษาครบสิบเอ็ดปี องค์ชายวอนรยุนที่เติบโตมาโดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความลับชาติกำเนิดของตนแม้แต่น้อย ก็ได้รับรู้เรื่องทุกอย่างจากการเปิดโปงขององค์หญิงที่เกลียดชังตนในที่สุด
ไม่ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปเช่นไร ตราบาปที่ว่าเขาเป็นองค์ชายเลือดผสมก็ไม่เคยจางหายไปจากตัวตนของเขาเลย
ย้ำ {แม้จะกล่าวไปก่อนหน้าแล้ว แต่เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่จบลงอย่างมีความสุข}