(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน ณ ดินแดนที่มังกรหลับฝัน เล่ม 01

Sunday

เรื่องเล่าที่ 1

เม็ดฝนร่วงหล่นโปรยปรายลงมาจากท้องนภา ณ อาณาจักรเชาหลันที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของแผ่นดินไลเอน ไม่ต่างอะไรกับอาณาจักรที่ไร้ซึ่งเหมันตฤดู ในคิมหันตฤดูค่อนข้างร้อนรุนแรง ทั้งยังแห้งแล้ง และในช่วงวสันตฤดูหลังจากหน้าแล้งสิ้นสุด หยาดฝนก็จะพร่างพรายลงมา ฝนตกตั้งแต่เช้าตรู่จึงทำให้ทั่วทั้งตลาดเงียบเหงา เซเชียนสวมงอบและเสื้อกันฝน ก้าวหลบแอ่งน้ำขังมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำ 

เจ้าของร้านกำลังนั่งเงียบเหงาไร้เงาลูกค้า พอเห็นเซเชียนก็รีบวิ่งออกมาทันที 

“เชิญแวะชมก่อนขอรับ”

“ขอไข่ให้ข้าหน่อยสิ”

“รับเท่าไรดีขอรับ”

“หนึ่งแผงเท่าไรหรือ”

“เจ็ดชอน* (ชอน (전) : สกุลเงินโบราณของประเทศเกาหลี โดย 100 ชอน เท่ากับ 1 วอน) ขอรับ”

“ข้าขอหนึ่งแผง”

“ได้เลยขอรับ”

เจ้าของร้านยื่นแผงไข่ไก่ที่มีอยู่ทั้งหมดสิบฟองส่งให้เขา 

เซเชียนจงใจหลุบสายตาลงต่ำเพื่อเลี่ยงการสบตากับเจ้าของร้าน เพราะหากถูกคนทั่วไปพบเห็นดวงตาอัญมณีของตนเข้าจะเกิดเรื่องวุ่นวายได้ ปกติเซเชียนไม่ค่อยออกไปข้างนอกเท่าไรนัก แต่เขาเชื่อว่างอบที่สวมไว้กันฝนวันนี้จะช่วยดึงความสนใจจากคนอื่นได้ 

ถึงอย่างนั้นเซเชียนก็รู้ดีว่ามีคนคอยจับตามองตนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วที่แม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนออกมาใช้ชีวิตนอกวังเองได้ก็ยังมีคนคอยเฝ้าตามดูอยู่ไม่ห่าง

“นี่ขอรับ”

เซเชียนจ่ายเงินก่อนจะรับไข่ไก่มา โดยพยักหน้าให้เพียงเล็กน้อย เมื่อได้รับคำกล่าวลาจากอีกฝ่าย จากนั้นก็หันหลังมุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมกับคอยหลบหลีกแอ่งน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นตลอดทาง

จาเยรินเป็นหวัด จาเยรินเป็นหลานชายของแม่นมที่เสียไปเมื่อสองปีก่อนและเป็นข้ารับใช้เพียงคนเดียวของเซเชียน แต่เพราะเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก พวกเขาทั้งสองจึงเป็นเสมือนพี่น้องกันมากกว่านายบ่าว 

จาเยรินที่เมื่อคืนอยู่ในสวนครัวจนถึงดึกดื่นนั้นตากฝนจนตัวเปียกโชก ทำให้เจ้าตัวไข้ขึ้นในเช้าวันถัดมา และนอนซมตลอดทั้งช่วงกลางวัน 

ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจเรียกหมอมาได้เนื่องด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่ถึงอย่างนั้นจาเยรินก็มั่นอกมั่นใจในความแข็งแรงของตนมาก ฉะนั้นขอแค่มียาก็เพียงพอแล้ว

หลังจากนำยาลดไข้ให้จาเยรินกินแล้ว เซเชียนก็ตั้งใจว่าจะต้มโจ๊กไข่ที่อีกฝ่ายชอบ แต่ยังไม่ทันไรก็ทำไข่ร่วงลงพื้นเสียอย่างนั้น จนจาเยรินร้องบอกว่าไม่ต้องทำให้ก็ได้แต่ไหนเลยเซเชียนจะยอมฟัง แม้จะไม่มั่นใจในฝีมือการปรุงอาหารของตนเอง แต่เซเชียนก็อยากจะทำโจ๊กไข่ให้จาเยรินกินให้ได้ อย่างน้อยเขาก็ซื้อไข่มาได้สำเร็จแล้ว เซเชียนจึงรู้สึกดีขึ้นมาเปลาะหนึ่ง 

เซเชียนที่ถือเชือกฟางอยู่ในมือแกว่งแผงไข่ไปมา พลางคิดว่าเวลาแบบนี้หากเลี้ยงไก่ไว้ก็คงดี สักสองสามตัวก็คงจะเสียค่าอาหารสัตว์ไม่มาก และไม่เปลืองแรงเกินไปด้วย ทั้งยังมีไข่ให้กินทุกวันเพราะไก่ออกไข่วันละฟองอย่างสม่ำเสมอ หากเป็นไก่ตัวผู้ พอเลี้ยงจนเป็นลูกเจี๊ยบ ก็จะได้กินเนื้อของมัน และเมื่อลูกเจี๊ยบโตเต็มวัย ก็เอาไปขายหาเงินได้อีกทาง ใช้เวลาไม่นานก็จะกลายเป็นเศรษฐี

มุมปากของเซเชียนยกยิ้มให้กับจินตนาการที่ผุดพรายขึ้นมา การวาดฝันถึงการเป็นเศรษฐีมันทำให้เขารู้สึกสนุกได้อยู่เสมอ 

ทว่าจาเยรินจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะชอบใจหากบรรดาไก่เที่ยวไล่จิกกินผักในสวนครัวของตน จาเยรินผู้ที่มีความกระตือรือร้นในการปลูกพืชผักสวนครัวอย่างแรงกล้านั้น ภาคภูมิใจกับสวนครัวของตนที่มีต้นไม้ใบหญ้าส่องประกายพราวระยับเป็นที่สุด

ชิ ไก่จะกินสักเท่าไรกันเชียว 

เซเชียนเบ้ปาก เขาอยากจะพูดกับจาเยรินแทบแย่ว่าไก่เป็นสัตว์ที่กตัญญูรู้คุณจะตายชัก ไหนจะไข่ที่สุดแสนจะอร่อย ส่วนเนื้อไก่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ตอนที่ยังอยู่ในวัง ทุกสิ่งอย่างล้วนอุดมสมบูรณ์ไม่มีขาดตกบกพร่อง ทว่าเมื่อออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว ใดๆ ก็ล้วนขาดแคลนไปเสียหมด เขาไม่มีทั้งเงินเก็บและไม่มีงานทำ ดังนั้นชีวิตของเซเชียนในตอนนี้จึงดีกว่าสามัญชนทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองปีกินเท่าไรก็ไม่พอ เซเชียนชอบเนื้อมาก แม้ไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่จะกินเนื้อได้ทุกมื้อก็ตาม

“ข้าชอบเนื้อไก่~ เนื้อหมูก็อร่อย~ แต่เนื้อวัวนั้นแสนแพง~”

เซเชียนแต่งเนื้อเพลงลงในทำนองเรียบง่ายไปตามอารมณ์ ด้วยนิสัยที่มองโลกในแง่ดีจึงมักทำให้ตนเองรู้สึกสนุกสนานมากกว่ามานั่งหมดอาลัยตายอยากกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ 

พอออกจากตลาดแล้วเลี้ยวเข้าตรอกไม่กี่ครั้งก็จะมองเห็นบ้านอยู่ไกลๆ บ้านหลังเล็กและเรียบง่ายซึ่งตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย หากจะกล่าวถึงเอกลักษณ์ของบ้านหลังนี้ ก็คงจะเป็นกำแพงที่สูงลิ่วจนมองไม่เห็นเคหสถานข้างในเลยแม้แต่นิดเดียวเมื่อเทียบกับบ้านใกล้เรือนเคียงหลังอื่นๆ 

ตอนที่อยู่ในวังเองก็เป็นเช่นนี้ กำแพงของตำหนักเนินจันทร์ที่ตนอาศัยอยู่สูงมากเสียจนมองไม่เห็นภายนอกเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นหมายถึงการแบ่งแยกเชื้อพระวงศ์อัปมงคล สำหรับเซเชียน ที่แห่งนั้นไม่ต่างอะไรจากคุก

เซเชียนที่จู่ๆ ก็รู้สึกหม่นหมองขึ้นมาพลันหยุดเดินและปรับลมหายใจ 

ฝนยังคงตกปรอยๆ ผืนฟ้าสีเทาและบรรยากาศที่ห่อหุ้มด้วยไอชื้นพลันให้ความรู้สึกหนักอึ้ง เซเชียนเช็ดหยาดน้ำฝนที่ตกกระทบใบหน้าอย่างเชื่องช้า ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นสบายขึ้นแล้ว ถ้าจาเยรินหายป่วยแล้วคงต้องออดอ้อนชวนให้ออกมาเดินเล่นตอนกลางคืนเสียหน่อย เพราะหากเป็นตอนกลางคืน ดวงตาอัญมณีของเขาก็จะไม่เป็นที่สังเกตเห็นมากนัก 

เซเชียนคิดขณะที่ฝีเท้าก็เริ่มเคลื่อนไหว ในตอนนั้นเองเขาพลันมองเห็นคนที่ยืนอยู่ในตรอกอีกด้านอย่างไม่ได้ตั้งใจ เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดของนักเดินทางซึ่งพบเห็นได้บ่อยครั้ง รูปร่างของอีกฝ่ายบึกบึนสูงใหญ่ แม้อยู่ห่างออกไปก็ยังมองเห็นเค้าโครงได้เลือนราง

ระหว่างที่เซเชียนมองพิจารณาชายคนนั้นก็เผลอไปสบตาอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว เพราะมีดวงตาอัญมณี เซเชียนจึงพยายามจะไม่สบตากับคนอื่น แต่ก็มีหลายครั้งที่พลาดจังหวะในการหลบสายตา เหมือนอย่างในตอนนี้ 

หากเป็นในยามปกติก็คงจะทำตัวไม่ถูก ทว่าวันนี้กลับรู้สึกแปลกชอบกล บางทีอาจเป็นเพราะสายฝน 

ชายคนนั้นถูกโอบล้อมด้วยไอสีน้ำเงินอ่อนๆ และสีขาวราวกับหมอกหนา บรรยากาศรอบตัวอีกฝ่ายช่างน่าพิศวง บางทีอาจจะไม่ใช่คน เซเชียนพลันขนลุกชันเมื่อคิดว่านั่นอาจจะเป็นวิญญาณดุร้ายในละแวกนี้ที่มีข่าวลือแพร่หลายอยู่ช่วงหนึ่ง

ขณะที่คิดว่าต้องหนี ลมแรงสายหนึ่งก็พัดกระโชกมา พาให้ฝนสาดซัดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง และหยดฝนที่กระเด็นเข้าไปในดวงตาก็ทำให้เซเชียนรีบร้อนขยี้ตาโดยไว ในตอนที่กลับมามองเห็นอีกครั้ง ชายคนนั้นก็หายไปแล้ว 

“เดี๋ยวนี้ถึงขั้นมองเห็นผีแล้วอย่างนั้นหรือ” 

ดวงตาอัญมณีคู่นี้ทำให้เซเชียนมักจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นไม่อาจมองเห็นได้อยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจนถึงตอนนี้จะยังไม่เคยเห็นวิญญาณ แต่พอได้เห็นชายที่หายวับไปในพริบตานั้นแล้วก็รู้สึกราวกับถูกจิ้งจอกล่อลวง แม้จะลองขยี้ตาแล้วมองดูอีกครั้ง ทว่าบนถนนอีกฝั่งที่มีฝนตกลงมาก็ไม่มีใครอื่นอีก 

“ฮื้ม”

เซเชียนขนลุกชันพลางสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย ไม่ว่าจะผีหรือวิญญาณร้าย เขาก็ไม่อยากพบเจอทั้งสิ้น เซเชียนกลัวความมืดเนื่องจากตอนเด็กเคยถูกขังไว้ในโรงเก็บของทั้งคืน เขามองไปรอบๆ ด้วยกลัวว่าจะมีผีตัวอื่นออกมาอีก ครั้นตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ ก็รีบสาวเท้าเดินจนแทบจะกลายเป็นวิ่งทันที พร้อมอ้อมจุดที่วิญญาณตนนั้นเคยยืนอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอซ้ำสอง

เซเชียนกลับมาถึงบ้านแล้วทำตัวปกติประหนึ่งไม่เคยมองเห็นภูตผีวิญญาณมาก่อน และกว่าที่เซเชียนซึ่งลืมเลือนการมีอยู่ของชายคนนั้นไปแล้วเสียสนิทจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ก็เป็นในตอนที่เวลาผ่านพ้นจวบจนครึ่งปีให้หลัง 

 

{ }

 

ในห้องหนังสือที่มีแสงแดดสาดส่องเข้ามา เซเชียนกำลังลูบกู่ฉิน* (กู่ฉิน : หรือพิณเจ็ดสาย มีอายุมากกว่าสามพันปี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ราชาแห่งเครื่องดนตรีจีน” ในสมัยก่อนกู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในหมู่ปัญญาชน นักปราชญ์และนักกวีอย่าง ขงจื้อ ขงเบ้ง เป็นต้น เพราะในสมัยนั้นถือว่าเป็นดนตรีชั้นสูง ต้องใช้สมาธิ ความตั้งใจในการบรรเลง เป็นเครื่องดนตรีที่พัฒนาจนสมบูรณ์แบบตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น มีโน้ตเพลงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งยังเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก (The Oral and Intangible Heritage of the humanity) จากองค์การยูเนสโก้อีกด้วย) ซึ่งวางอยู่บนตัก มือขาวนวลของเซเชียนที่สัมผัสลงบนตัวกู่ฉินอย่างแผ่วเบานั้นงดงามและอ่อนช้อยราวกับงานฝีมือที่ช่างหัตถกรรมทุ่มเทแรงกายและใจบรรจงรังสรรค์ขึ้นมา ไม่เพียงแค่มือคู่นั้น ดวงหน้าที่มีเส้นผมสีดำสนิทปรกลงมาก็งดงามอย่างน่าประหลาดเช่นกัน 

ดวงตาซึ่งมีสีสันอันน่าพิศวงเป็นประกายใต้แพขนตาที่ขยับไหวราวกับปีกของผีเสื้อ ความรับกันได้ดีของริมฝีปากสีชมพูและดั้งจมูกที่ตั้งตรงทำให้เขาเป็นชายงามที่ชวนให้ชมชอบ ท่วงท่าของเซเชียนที่กำลังรับแสงแดดนั้นดูราวกับรูปภาพชั้นยอดชิ้นหนึ่ง 

การสัมผัสเครื่องดนตรีที่จะใช้แสดงก่อนเริ่มการฝึกเป็นความเคยชินที่มีมานานแล้วของเซเชียน มีบางอย่างสะดุดปลายนิ้วของเขาขณะที่ลูบไปบนตัวกู่ฉินที่ตัวเรือนเรียบลื่น แม้มองไม่เห็นแต่ก็รู้ดีว่ามันคืออะไร ตรงนั้นคือรอยซ่อมจุดที่แตกร้าว 

เซเชียนถอนหายใจแผ่วเบา ร่องรอยบนกู่ฉินเป็นฝีมือของดิวเทรุนองค์ชายองค์ที่สองซึ่งเคยรังแกเขา แม้จะเป็นองค์ชายเหมือนกัน ทว่ากลับแตกต่างกันตั้งแต่ชาติกำเนิด

โรมัลชวินมีคำสั่งลงมาให้ทุกคนปิดปากเงียบถึงเรื่องชาติกำเนิดของเซเชียน เซเชียนจึงไม่รู้เกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเอง จนกระทั่งอายุเก้าขวบเขาถึงได้รู้ว่าเส้นผมสีดำของตนนั้นเป็นสิ่งอัปมงคล 

ทว่าคนอื่นๆ ต่างรู้ชาติกำเนิดของเซเชียนกันทั้งสิ้น เห็นได้ชัดจากการที่เขาถูกเลือกปฏิบัติ

ครั้นนึกถึงเรื่องราวในอดีต เซเชียนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนปรับสายกู่ฉิน ยามที่ถูกรังแกครานั้น เขาทั้งโกรธเคืองและรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังคงรู้สึกแย่เสมอในทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป

“อีกประเดี๋ยวจะถึงเวลานัดแล้วนะขอรับ”

เสียงจาเยรินแจ้งนัดหมายดังมาจากห้องข้างๆ 

“ข้ารู้แล้ว”

“ท่านทำงานเสร็จหมดแล้วหรือขอรับ”

“ยัง ข้ายังทำไม่เสร็จ ตั้งใจว่าจะฝึกดนตรีเสียหน่อย”

“พรุ่งนี้ก็ถึงกำหนดส่งแล้วนะขอรับ หากไม่เสร็จจะทำเช่นไร”

“เดี๋ยวค่อยทำตอนกลับมาก็ได้นี่”

“เช่นนั้นก็ควรทำให้เสร็จก่อนสิขอรับ ท่านเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อย”

“รู้แล้วน่า เจ้าเลิกบ่นเสียที ยามนี้การฝึกต้องมาก่อน ข้าทำให้เสร็จก่อนตะวันขึ้นก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”

เซเชียนบึนปากอย่างไม่พอใจไปทางอีกฝ่ายซึ่งมองไม่เห็น จาเยรินดีทุกอย่างเว้นแต่ว่าจู้จี้มากไปหน่อย

“ท่านโปรดจำไว้ด้วยว่าหากผิดนัดเหมือนครั้งก่อนจะได้รับเงินส่วนที่เหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นนะขอรับ”

“ข้ารู้ ข้ารู้แล้ว”

หากคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาได้ยินเข้าคงคิดว่าบ่าวกำลังเคี่ยวเข็ญนายอยู่เป็นแน่ ทว่าเซเชียนมักจะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนคาบเส้นยาแดงทำให้ได้รับเงินเพียงครึ่งหนึ่งอย่างที่จาเยรินกล่าวอยู่บ่อยครั้ง

สาเหตุที่เซเชียนต้องอยู่คัดหนังสือตลอดคืนจนถึงเช้าไม่ใช่เพราะเรียนหนังสือ แต่มันคือ ‘งาน’ และการดำรงชีพของเขายังขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ด้วย

“เช่นนั้นหากได้เวลาแล้ว บ่าวจะมาหาอีกครั้งนะขอรับ หากท่านฝึกเสร็จก่อน ก็เรียกข้าได้เลยขอรับ”

“อืม” 

เซเชียนตอบรับส่งๆ ก่อนกลับมาปรับสายกู่ฉินอีกครั้ง กระนั้นก็หมดอารมณ์ฝึกเสียแล้ว จนกระทั่งปรับสายเสร็จ ก็ยังคงนั่งนิ่งเฉย และเอาแต่ทอดสายตามองไปบนโต๊ะหนังสือ บนนั้นมีเครื่องเขียนและหนังสือที่เขาคัดลอกไปเมื่อครู่วางอยู่ 

สัมผัสได้ด้วยมือ มองเห็นได้ด้วยตา ทั้งยังรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสอื่นๆ ทว่าสิ่งใดที่ไร้การแปรเปลี่ยน กลับตระหนักรู้ได้จากสติปัญญาเพียงเท่านั้น เพราะไร้รูปลักษณ์ เราจึงไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา 

เซเชียนนึกถึงย่อหน้าหนึ่งที่ตนคัดลอกไปเมื่อครู่ หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือที่นักปรัชญาโบราณต่างถิ่นเขียนไว้ เป็นหนังสือปรัชญาว่าด้วยการค้นหาเนื้อแท้ของโลกใบนี้

นับเป็นหนังสือแปลล้ำค่าที่หาได้ยากนักในเชาหลัน เนื้อเรื่องที่ยากต่อการทำความเข้าใจ ทำให้ไม่ค่อยมีใครหาซื้อมาอ่าน ด้วยเหตุนี้การคัดลอกจึงคุ้มกว่าการตีพิมพ์

และนี่คืองานที่เซเชียนใช้หาเลี้ยงชีพทุกวันนี้

สถานะทางการเงินของเซเชียนเลวร้ายถึงขั้นที่ต้องทำงานหาเงินด้วยตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้รับหลังออกจากวังมีเพียงบ้านหลังน้อยและจาเยรินเท่านั้น

ถึงจะมีเบี้ยหวัดให้แต่ก็ต้องเอาไปใช้จ่ายเพื่อรักษาความมีหน้ามีตา ไม่ใช่ส่วนที่จะนำมาใช้ฟุ่มเฟือยได้ เวลาจะเข้าร่วมงานที่เป็นทางการทีไรก็ต้องตัดชุดพิธีการเพื่อสวมใส่ไปงานเหล่านั้นอยู่ตลอด แค่นั้นก็ทำให้เบี้ยหวัดจำนวนหลายเดือนลอยหายไปหมดแล้ว 

เพราะทนอยู่ในวังที่แสนอึดอัดอีกต่อไปไม่ไหวจึงย้ายออกมาอยู่ข้างนอก ทำให้ไม่อาจเสพสุขกับสิ่งของนอกกายได้เหมือนเมื่อก่อนอีก แต่เพื่ออิสรภาพ จึงต้องยอมทิ้งชีวิตอันสุขสบายไป

อันที่จริงเซเชียนไม่ได้มีชีวิตสมบูรณ์พร้อมมาตั้งแต่ต้น ผู้ดูแลที่รับผิดชอบดูแลตำหนักเนินจันทร์แอบขโมยเงินไป เซเชียนจึงต้องเติบโตมาอย่างแร้นแค้น ทั้งของกินและเสื้อผ้าก็ไม่เคยได้รับอย่างที่ควร ครั้งยังเยาว์วัยเซเชียนจึงมักจะอดอาหารอยู่เสมอ 

ตำหนักที่มอบให้เซเชียนอยู่อาศัยนั้นมีเรือนขนาดใหญ่สามเรือน รวมคนดูแลสวนแล้วก็มีข้ารับใช้มากกว่าสิบคน ทว่ากลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดจะสนใจความเป็นอยู่ของเซเชียน หากไม่ได้แม่นมสูงอายุคอยดูแล เซเชียนก็คงจะเป็นโรคขาดสารอาหารไปแล้วชีวิตความเป็นอยู่เริ่มเปลี่ยนไปตอนที่เซเชียนอายุได้แปดขวบ หลังจากผู้ดูแลซึ่งยักยอกเงินของตำหนักเนินจันทร์ถูกจับนั่นเอง เซเชียนถึงได้สวมใส่ชุดผ้าแพรและมีสำรับอาหารขึ้นโต๊ะอย่างอุดมสมบูรณ์ทุกมื้อ

ทว่าเมื่อออกจากวังแล้ว ทุกสิ่งอย่างล้วนต้องทำด้วยตนเอง 

ช่วงแรกที่ออกมาอยู่ข้างนอกนั้นสิ่งใดๆ ล้วนยากไปหมด นั่นก็เพราะเขาคือเซเชียนที่ไม่เคยแม้แต่จะพับผ้าห่มเก็บด้วยตัวเองกระทั่งอายุสิบหก ทว่าในตอนนี้เขาเหลือจาเยรินเป็นข้ารับใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น แม้จาเยรินจะมีความสามารถมากเพียงใด ก็ไม่สามารถทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้ เซเชียนจึงได้เปิดโลกใหม่ที่ต้องทำความสะอาด ซักผ้าตากผ้า ไปจนถึงหุงหาอาหารด้วยตนเอง

การทำความสะอาดและซักผ้าไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เพราะสถานะทางการเงินอัตคัด ความเป็นอยู่จึงพลอยแร้นแค้นไปด้วย ชีวิตของเซเชียนเรียกได้ว่าลำบากถึงเพียงนั้น 

โชคดีที่มีพระอัยยิกาคอยให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ และตัวเขาก็สามารถตอบสนองเงื่อนไขซับซ้อนในการคัดลอกหนังสือได้เพราะมีพรสวรรค์ด้านการเขียน ไม่เช่นนั้นคงได้อดตายไปแล้ว

หากตัวเขาไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็คงทำงานอื่นได้แล้วแท้ๆ 

"ได้เวลาแล้วขอรับ เวลานี้ท่านต้องเตรียมตัวแล้ว"

เซเชียนที่กำลังนั่งเหม่อลอยคิดถึงสภาพน่าขันของตนพลันได้สติกลับคืนเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านข้าง ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบที่จาเยรินยืนถือชุดรออยู่ก่อนแล้ว 

“ไม่ได้ ข้ายังไม่ได้ฝึกเลย”

“หากไม่เตรียมตัวตอนนี้ ท่านจะไปสายนะขอรับ”

“อ่า”

สีหน้าของเซเชียนพลันบึ้งตึงไม่น่ามอง พระอัยยิกาเป็นบุคคลที่จุกจิกจู้จี้ยิ่งนัก เซเชียนจะต้องไปเล่นเครื่องดนตรีต่อหน้านางแท้ๆ กลับมัวแต่คิดถึงเรื่องไร้สาระจนไม่ได้ฝึกก่อนไปเสียได้“ยามปกติท่านก็ฝึกฝนมากอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอกขอรับ”

จาเยรินเอ่ยปลอบเมื่อเห็นสีหน้าของเซเชียนบูดบึ้งด้วยความลำบากใจ

“แต่ว่า”

“ท่านทำได้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือขอรับ แค่ทำเหมือนปกติก็พอแล้วขอรับ”

ทำอะไรไม่ได้แล้วกับนัดของพระอัยยิกาที่เซเชียนไม่อาจไปสายได้ เขาจึงได้แต่จำยอมล้มเลิกการฝึกไป 

“ขอชุดให้ข้าหน่อย”

“ขอรับ”

ชุดที่จาเยรินนำมาเป็นชุดพิธีการหนึ่งในไม่กี่ตัวที่มีอยู่ หากจะไปเข้าเฝ้าพระอัยยิกา อย่างไรก็ต้องเข้าวัง และก็ต้องแต่งกายให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้ถูกติเตียน ชุดพิธีการที่ใช้ในงานทางการมีชายที่ยาว ซ้ำยังหนาหลายชั้น จึงไม่อาจสวมใส่คนเดียวได้ 

เซเชียนผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อย่างระมัดระวัง พลางทอดถอนใจ รู้สึกเวทนาที่ต้องมาแต่งตัวให้ดูดีเพื่อออกไปข้างนอก ในขณะที่สถานะทางการเงินกำลังขัดสน ทั้งยังหดหู่กับความจริงที่ว่าชุดที่สวมอยู่นี้มีค่าเท่ากับค่ายังชีพตลอดหนึ่งปี

“เฮ้อ”

ครั้นได้ยินเซเชียนถอนหายใจเบาๆ จาเยรินที่กำลังผูกเข็มขัดอยู่ด้านหลังจึงเอ่ยถามไถ่ 

“ก็แค่รู้สึกเวทนาน่ะ”

“ท่านเซเชียน?”

“ข้าแต่งงานดีหรือไม่”

“คนที่ท่านจะแต่งงานด้วยคือใครหรือขอรับ”

“เมื่อไม่นานมานี้มีแม่สื่อเอาหนังสือสู่ขอของตระกูลมารูนมาให้ไม่ใช่หรือ”

“...”

ไม่มีคำตอบใดจากจาเยรินที่กำลังช่วยสวมเสื้อคลุมตัวงามให้ เซเชียนพลันหน้ามุ่ยกับความเงียบที่ราวกับจะสื่อว่าคำพูดนั้นไม่มีค่าพอให้ตอบ

เซเชียนซึ่งมีอายุยี่สิบสามปีนี้กำลังตกที่นั่งลำบาก 

แม้ดวงตาอัญมณีจะทำให้เขาได้เป็นองค์ชาย ทว่าเส้นผมสีดำกลับเป็นปัญหา เพราะการมีผมสีดำท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ปรากฏเพียงเส้นผมสีเงินคือสัญลักษณ์ของความอัปมงคลอย่างไม่ต้องสงสัย สายตาที่ไม่ยอมรับและมองเขาประหนึ่งสิ่งสกปรกนั้นอยู่คู่ตัวเขามานานแล้ว ไม่เพียงแค่เชื้อพระวงศ์ แม้แต่กับเหล่าข้ารับใช้หรือราษฎรเอง ตัวเขาก็ยังถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องหลบเลี่ยง

กระทั่งตำแหน่งขุนนางก็ยังไม่ได้รับแต่งตั้งด้วยเหตุผลที่ว่าอาจจะเกิดเคราะห์ร้ายตามมา ไม่เพียงเท่านั้น อาชีพสามัญชนทั่วไปก็ยังไม่อาจทำได้ เพราะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลือดผสม

เซเชียนไม่ชอบใจสภาพของตนเองเอาเสียเลย เขาไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากพอจะให้ใช้ชีวิตเสเพลเที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อยได้ และสิ่งที่ควรได้ทำก็ทำไม่ได้เพราะปัจจัยโดยรอบ จึงมีแต่ความอัดอั้นตันใจสุมอยู่เต็มอก 

ขณะที่กำลังกลัดกลุ้มกับชีวิตความเป็นอยู่ จู่ๆ ก็มีหนังสือสู่ขอที่น่าดึงดูดใจส่งมาถึงเขา

เพื่อคงไว้ซึ่งสายเลือดของสุริยเทพ การสู่ขอในหมู่เชื้อพระวงศ์จึงถือเป็นเรื่องปกติ ทว่าสำหรับเซเชียนที่เป็นเพียงองค์ชายในนาม ทั้งยังไม่มีเงินทอง จึงไม่มีเชื้อพระวงศ์องค์ใดอยากมอบพระธิดาของตนให้ ทางฝั่งของเซเชียนเองก็เช่นเดียวกัน เขาไม่อยากข้องเกี่ยวกับราชวงศ์อีกต่อไปจึงไม่เคยมีความคิดนั้นมาตั้งแต่ต้น

การสู่ขอครั้งนี้มาจากหัวหน้ากลุ่มพ่อค้าที่มีชื่อเสียงในเรื่องผ้าแพร แม้จะถูกดูหมิ่นหยามเหยียดเช่นไร แต่เชื้อพระวงศ์ก็คือเชื้อพระวงศ์ไม่แปรเปลี่ยน นอกจากนั้นแล้วยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่าถึงจะมีเส้นผมสีดำอัปมงคล แต่ก็หักล้างกันได้ด้วยดวงตาอัญมณีที่ได้รับประสาทพรมาคู่นั้น และเรอเวชย่า มารูนที่มาสู่ขอก็เป็นหนึ่งในนั้น

เรอเวชย่า มารูนประสบความสำเร็จกับการค้าผ้าแพร แต่ถึงแม้จะมีความมั่งคั่งและอำนาจในมือ ทว่าพื้นเพเดิมก็คือลูกหลานพ่อค้าขายเกลือไม่แปรเปลี่ยน ซึ่งสิ่งที่ยังขาดไปก็คือชาติตระกูล ดังนั้นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการก็ไม่พ้นนามสกุล ‘หลัน เชา’ ที่เซเชียนมี จึงได้ส่งหนังสือสู่ขอของบุตรสาวเพียงคนเดียวที่อยู่ในวัยพร้อมออกเรือนมาให้ 

หากเซเชียนแต่งงานกับสตรีอื่นที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ เขาก็จะเหลือเพียงสกุลเชา ไม่ใช่ ‘หลัน เชา’ อีกต่อไป ทั้งยังต้องยอมสละฐานันดรศักดิ์ไปด้วย แต่แค่คำว่า ‘เชา’ ก็เพียงพอต่อการเป็นหลักฐานว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับราชวงศ์แล้ว และสิ่งที่ถูกเสนอให้เป็นสิ่งตอบแทนก็คือความมั่งคั่งของเรอเวชย่า มารูน

หากได้คนคนนั้นที่กำลังทำการค้าผ้าแพรซึ่งมีเพียงหยิบมือในเมืองหลวงมาเป็นพ่อตาก็จะสามารถอยู่อย่างสุขสบายไปได้ตลอดชีวิต แม้จะคิดเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน ทว่านั่นก็เป็นสิ่งล่อตาล่อใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“ริน เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ”

ถึงจะพูดอย่างนั้นแล้วแต่ก็ยังไร้คำตอบ เซเชียนทอดสายตามองไปยังจาเยรินที่กำลังคุกเข่าจับกลีบปลายชุดของเขาอยู่

“ข้าวสารเหลือไม่มากแล้วไม่ใช่หรือ”

“อีกไม่นานก็ได้รับเบี้ยหวัดแล้วขอรับ”

“เงินเดือนเองก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง อีกอย่างเจ้าอายุมากกว่าข้าสามปี ตอนออกเรือนจะทำอย่างไร”

“ยังมีสตรีอื่นอีกมากมายที่ชมชอบบ่าวขอรับ ไม่ต้องเป็นห่วงบ่าว เป็นห่วงตัวท่านเองก่อนจะดีกว่าขอรับ”

“ก็เจ้าไม่ให้ข้าแต่งงาน”

จาเยรินคัดค้านการสู่ขอครั้งนี้ตั้งแต่แรก 

“เป็นท่านที่บอกว่าจะแต่งงานกับสตรีที่ไม่รู้จักหน้าค่าตาก่อนไม่ใช่หรือขอรับ”

“นั่นน่ะ ค่อยๆ พบกันไปก็ได้นี่”

“หากรูปโฉมขี้ริ้วขี้เหร่จะทำอย่างไรขอรับ”

“ข้าเห็นภาพวาดแล้ว นางก็งดงามไม่น้อยเลยนะ”

“ท่านไม่รู้หรือว่าภาพวาดในหนังสือสู่ขอจะวาดให้งดงามไว้ก่อน อีกประการหนึ่งเมื่อลองคิดถึงใบหน้าของเรอเวชย่าแล้วบ่าวคิดไม่ออกเลยว่าบุตรีของคนคนนั้นจะเป็นสาวงามได้อย่างไร”

เซเชียนถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดไร้ความปรานีของจาเยริน เรอเวชย่า มารูนเจ้าของร้านผ้าแพรที่มีไม่มากในเมืองหลวงมีรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างอะไรกับคางคก แม้แต่ภรรยาของเขาเองก็ยังไม่อาจใช้คำว่าสาวงามได้ เช่นนั้นแล้วหากสตรีในภาพวาดเป็นลูกของสองคนนั้น ก็คงเป็นดั่งบุปผาที่เบ่งบานอยู่บนผืนดินที่มีแต่กรวดหิน

“ที่จริงมันก็อาจจะใช่ แต่ว่า...”

“ท่านเลิกคิดจะแก้ไขปัญหาเรื่องเงินทองผ่านการแต่งงานเถอะขอรับ”

เซเชียนที่ยังตัดใจไม่ขาดพลันสะดุ้งเมื่อถูกจาเยรินจี้จุด กับจาเยรินซึ่งเป็นหลานชายของแม่นมนั้น พวกเขาเติบโตมาด้วยกันเฉกเช่นพี่น้องแท้ๆ แม้จะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ก็เป็นคนที่สนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าใครๆ ดังนั้นจึงถูกอ่านความคิดได้อย่างง่ายดาย 

เซเชียนที่รู้สึกอับอายขึ้นมาปิดปากเงียบพร้อมกับใบหน้าที่แดงซ่าน ขณะที่จาเยรินลุกขึ้นมาแล้วเริ่มจัดสาบเสื้อ แม้จาเยรินจะตัวสูงกว่ามาก แต่เพราะกำลังก้มหน้าอยู่จึงไม่ได้สบตากัน 

“สำหรับบ่าว นั่นไม่ใช่การแต่งงาน แต่เหมือนเป็นการถูกขายให้ทางนั้นมากกว่าขอรับ”

“ริน...”

“เราไม่ได้มีหนี้สินอันใด ค่อยๆ ตัดสินใจไปก็ได้ขอรับ การแต่งงานก็ต้องแต่งกับคนที่ท่านชอบสิขอรับ...เอาละ เสร็จแล้วขอรับ”

จาเยรินที่ทำให้เซเชียนตอบโต้กลับไม่ได้ถอยไปด้านหลัง ก่อนจะตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง

“ไร้ที่ติ ยังคงงดงามเหมือนเคยเลยขอรับ ท่านเซเชียน”

จาเยรินยิ้มกว้างพลางเอ่ยชม รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยปรารถนาดีบนใบหน้างดงามนั้นน่ามองนัก เซเชียนที่เกิดอาการขวยเขินขึ้นมาพลันเบ้ปาก ดวงตาของสตรีทั้งหลายล้วนมืดบอดเพราะรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น 

“พอเลย ไอ้การปากหวานประจบประแจงของเจ้านั่นน่ะ”

“ประจบประแจงหรือ? บ่าวพูดจริงๆ นะขอรับ”

ท่าทางจริงใจขณะที่สีหน้าแสดงออกถึงความยินดีนั้นยิ่งน่าชังจนเซเชียนมองค้อน ทว่าจาเยรินก็ยังคงรอยยิ้มไว้ หากเป็นเช่นนี้อย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะได้ เซเชียนถอนใจอยู่ในอกก่อนจะยอมจำนน 

“ชิ มัดผมให้ข้าหน่อย”

เพราะต้องออกไปข้างนอกอย่างเป็นทางการจึงต้องสวมกวาน* (관 (กวาน) : เครื่องประดับคล้ายหมวกที่กษัตริย์ ขุนนาง และข้าราชการใช้สวมศีรษะในสมัยโบราณ)ด้วย ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถทำด้วยตัวคนเดียวได้ 

“ได้ขอรับ นั่งลงก่อนขอรับ”

จาเยรินที่เข้ามาเป็นคนรับใช้ของเซเชียนตั้งแต่เด็กอยู่ในระดับที่สามารถสัมผัสศีรษะของเขาได้ จาเยรินแปรงผมของเซเชียนก่อนจะม้วนขึ้นเป็นทรงสวยอย่างชำนาญ

สัมผัสที่เส้นผมและเสียงที่แทรกเข้ามาทำให้เซเชียนหลับตาลงด้วยความผ่อนคลาย

 

วสันตฤดูมาถึงแล้ว เนื่องจากเชาหลันตั้งอยู่ทางใต้สุดของแผ่นดิน ฤดูใบไม้ผลิจึงเวียนมาถึงค่อนข้างไว เมื่อฤดูคยองชิบ* (경칩 (คยองชิบ/ฤดูคยองชิบ) : หนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูกาลย่อยทางจันทรคติ เป็นวันที่กบตื่นจากจำศีลในฤดูหนาวอยู่ราวๆ วันที่ 5 เดือนมีนาคม เป็นช่วงที่สัตว์ซึ่งจำศีลในฤดูหนาวจะตื่นและออกมาจากใต้ดินเพราะอากาศอบอุ่นขึ้น)ผ่านพ้นไป ดอกตูมของพ็อตกด* (벛꽃 (พ็อตกด) : ดอกไม้ที่มีสีชมพูหรือสีขาวซึ่งผลิดอกออกจากต้นซากุระในฤดูใบไม้ผลิ)ก็พร้อมเบ่งบานในช่วงที่ดีที่สุดของฤดูวสันต์

ตำหนักของพระอัยยิกาเป็นที่เลื่องชื่อในนามสวนบุปผาแห่งวสันตฤดู สวนบุปผาที่ไม่เพียงมีดอกตูมของพ็อตกด ยังเต็มไปด้วยดอกบ๊วยบานสะพรั่ง มากด้วยเหล่าดอกไม้งามตามคำกล่าว เมื่อเปิดประตูเรือนทั้งหมดไว้ วสันตฤดูก็กลายเป็นฉากหลัง แว่วเสียงตามสายลมฤดูใบไม้ผลิที่อบอวลด้วยกลิ่นบุปผา 

เซเชียนที่นั่งอยู่บนฐานซึ่งตั้งอยู่กลางห้องรับรองในเรือนกำลังบรรเลงกู่ฉิน มือขาวนวลที่เคยจับพู่กันกำลังดีดกู่ฉินสิบสองสาย ทำนองสูงต่ำเปลี่ยนแปลงไปอย่างอิสระ ฝีมือดีดกู่ฉินอันยอดเยี่ยมมีท่วงทำนองที่เข้ากันกับทัศนียภาพของฤดูใบไม้ผลิเป็นอย่างดี 

เมื่อเพลงบรรเลงจบลงอย่างงดงามแล้ว พระอัยยิกาซึ่งประทับอยู่ฝั่งตรงข้ามก็กล่าวออกมาคำหนึ่ง

“พอใช้ได้”

เซเชียนก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อมแม้สิ่งที่พระอัยยิกาเอ่ยออกมาจะไม่ใช่คำเชยชมก็ตาม

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ พระอัยยิกา”

“ไม่จำเป็นต้องขอบใจ เพราะหากเจ้าละเลยการฝึกฝนเพราะเจ็บป่วย แล้วเล่นดนตรีออกมาได้น่าผิดหวัง ข้าจะไล่เจ้าออกไปเสียเดี๋ยวนี้”

“การทำให้พระอัยยิกาพอพระทัยเป็นเพียงพรสวรรค์ที่ต้อยต่ำของกระหม่อม กระหม่อมจะไม่ทุ่มเทกับมันได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

แม้ถ้อยคำของพระอัยยิกาจะเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ถึงอย่างนั้นเซเชียนก็ไม่ได้หวั่นกลัว ทั้งยังสงวนท่าทางอ่อนน้อมไว้ได้ดังเดิม ถึงอย่างไรเรื่องแค่นี้ก็ไม่ใคร่เป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงสำหรับเขาอยู่แล้ว เพราะเขาคือเซเชียนผู้ที่ถูกข่มเหงและได้รับการปฏิบัติอย่างไร้ไมตรีตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา แม้ตัวเขาในวัยเยาว์จะเสียน้ำตามานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเซเชียนในยามนี้พรั่งพร้อมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและชั้นเชิงในการเอาตัวรอดแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นพระอัยยิกาก็ไม่ได้หวาดกลัวเชื้อพระวงศ์ที่มีเส้นผมสีดำอย่างเซเชียนเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ความสามารถในการเล่นดนตรีของเขาเท่านั้นที่นางให้ความสนใจ ฉะนั้นต่อให้จะต้องปั้นยิ้มหรือประจบสอพลออีกมากแค่ไหน เขาย่อมทำได้ทั้งนั้น ขอแค่ได้รับไมตรีจากนางเป็นพอ และนี่ก็คือจุดแข็งของเขา 

“ช่างฉอเลาะเสียเหลือเกิน รู้จักโอ้อวดถึงเพียงนี้ก็นับเป็นพรสวรรค์ที่ดีของเจ้าแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้ประมาทไป จงฝึกฝนอย่างเต็มที่ อย่าให้เกิดความผิดพลาดในการประชันครั้งนี้”

“รับสั่งนี้กระหม่อมจะจดจำให้ขึ้นใจพ่ะย่ะค่ะ”

เซเชียนก้มศีรษะลงอีกครั้งในท่าที่กำลังกอดกู่ฉินไว้แนบอก พลางเรียบเรียงความคิดในหัวเมื่อครู่ของตนใหม่ สิ่งที่พระอัยยิกาสนใจคือ ‘ชัยชนะ’ ที่เขาจะต้องใช้ความสามารถในการเล่นดนตรีของตนเองคว้ามาจากงานประชันที่จะจัดขึ้นหลังวันขึ้นสิบห้าค่ำนี้ให้ได้ 

พระอัยยิกายูรันย่าเข้าวังมาตอนมีพระชนมายุสิบเก้าพรรษา ในฐานะพระสนมเอกของพระราชาองค์ก่อน กระทั่งสามสิบปีต่อมา วันนี้นางเต็มไปด้วยอำนาจอันแข็งแกร่ง แม้ว่าโอรสของนางจะไม่อาจสืบราชสันตติวงศ์ได้ ทว่าหลานสาวของนางก็ได้เป็นถึงพระอัครมเหสีของพระราชาองค์ปัจจุบัน นางจึงเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์ได้โดยไม่ต้องริษยาสิ่งใด

แต่ถึงอย่างนั้นพระอัยยิกาก็ยังมีคู่ปรับอย่างพระพันปีโรชานคอยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่ตลอด แม้พระพันปีโรชานจะไม่ได้สืบเชื้อสายราชวงศ์โดยตรง ทว่าก็สามารถจับจองพื้นที่ในหัวใจของพระราชาได้ด้วยรูปโฉมอันงดงามจนถูกเลือกเป็นพระอัครมเหสีผู้ซึ่งครอบครองความปรารถนาในอำนาจอันยิ่งใหญ่ นางใช้ความเป็นพระมารดรของพระราชาองค์ปัจจุบัน สำราญกับอำนาจที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระอัยยิกา

ความสัมพันธ์ของทั้งสองเรียกได้ว่าเข้าขั้นเลวร้าย ทางด้านการเมืองพวกนางทั้งสองก็ขัดแย้งกัน เพราะแม้จะอยู่ในราชวงศ์เดียวกัน ทว่าอำนาจที่หนุนหลังทั้งคู่อยู่นั้นแตกต่าง หากเป็นเวลานอกเหนือจากงานพิธีการ ทั้งสองจะไม่เข้าหน้ากันเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกระทบกระทั่งกันได้ทุกเรื่องไป 

สิ่งที่พระนางทั้งสองกำลังแข่งขันและทุ่มเทอยู่ช่วงนี้ก็คืองานประชันในวสันตฤดู

งานประชันในวสันตฤดูเป็นงานรื่นเริงที่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากพระราชา รวมถึงเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิตามชื่อ ซึ่งแบ่งฝ่ายแสดงฝีมือโดยมีการประชันหลายอย่าง ทั้งบทกวี วาดภาพ ระบำ ร้องเพลง เล่นดนตรี และอื่นๆ ไม่ใช่เพื่อชิงชัยแต่เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินในฤดูวสันต์เท่านั้น 

ทว่างานประชันในวสันตฤดูในช่วงหลายปีมานี้ถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นฝ่ายพระอัยยิกาและฝ่ายพระมเหสี จึงทำให้กลายมาเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีส่วนตนไปเสียแล้ว 

การแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยผ้าแพรและประดับประดาด้วยเพชรพลอยอย่างสมสง่าราศีนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่เรื่องที่อ่อนไหวที่สุดเห็นจะเป็นประเด็นที่ว่าคนของฝ่ายใดจะได้รับชัยชนะไปครองเสียมากกว่า อันที่จริงแค่เสาะหาผู้ที่มีฝีไม้ลายมือด้านศิลปะมาได้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ทว่ายังมีเงื่อนไขอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นอยู่อีก เพราะเนื่องจากงานเลี้ยงนี้จะมีเพียงเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าร่วมได้ ฉะนั้นคนที่จะเลือกเฟ้นมาจึงไม่อาจเป็นผู้ที่มีฐานันดรต่ำต้อย อีกทั้งจะต้องไม่เป็นบุคคลที่เยาว์หรือชราจนเกินไป ไหนจะรูปโฉมที่ต้องมีความงดงามอีกต่างหาก 

ผู้มีพรสวรรค์ที่ตอบสนองเงื่อนไขยุ่งยากเช่นนี้ได้นั้นมีไม่มากนัก การต่อสู้แห่งศักดิ์ศรีของพระอัยยิกาและพระมเหสีจึงเริ่มต้นด้วยการค้นหาและรวบรวมเหล่าผู้มีความสามารถมาเป็นหนึ่งในคนของตน

เซเชียนที่มีความสามารถโดดเด่นด้านการดีดกู่ฉินมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้นเป็นที่ถูกตาต้องใจพระอัยยิกาก่อนใครๆ ต่างจากพระมเหสีผู้หวาดกลัวตัวกาลกิณีที่มีเส้นผมสีดำอย่างเขา พระอัยยิกาประเมินความสามารถของเซเชียนซึ่งทำให้แม้แต่นักดนตรีที่มีชื่อเสียงยังต้องตกตะลึงไว้สูงไม่ใช่น้อย นางจึงใช้เงินส่วนตัวในการทาบทามอาจารย์มาฝึกวิชาและขัดเกลาฝีมือของเซเชียน ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เซเชียนในวัยสิบห้าปีเข้าร่วมงานประชันในวสันตฤดูก็ได้กวาดชัยชนะในทุกแขนงที่เกี่ยวกับกู่ฉินมาครองทั้งหมดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นสำหรับพระอัยยิกาแล้ว เซเชียนก็เป็นดั่งไพ่แห่งชัยชนะ

ทว่าในงานประชันก่อนเข้าสู่ฤดูวสันต์ปีที่แล้ว เซเชียนป่วยเป็นไข้หวัดอย่างรุนแรงจนไม่อาจเข้าร่วมงานได้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ศิลปินทางฝ่ายพระอัยยิกาถึงได้ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

ปีนี้นางจึงตั้งตารอเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของตนคืน แม้จะยังเหลือเวลาอีกยี่สิบกว่าวันก่อนจะถึงวันงาน ทว่าพระอัยยิกาต้องการเพียงความสมบูรณ์แบบ จึงได้เรียกตัวผู้เข้าร่วมงานมาทีละคนเพื่อตรวจสอบความสามารถของแต่ละคนด้วยพระองค์เอง และเซเชียนก็เพิ่งจะผ่านการตรวจสอบของนางไปเมื่อครู่ 

“ว่าแต่ วอนซอนกุน* (군 (คุน) : ยศและตำแหน่งของพระโอรส ประสูติแต่พระราชากับพระสนม หรือพระโอรสในองค์ชายยศแทกุน) ช่างช้าจริงเชียว”

วอนซอนกุน เทชิน อุนชิมานน ลูกพี่ลูกน้องของเซเชียน เป็นผู้มีความสามารถทางด้านการเป่าขลุ่ยและเป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวของจินวานแทกุน* (대군 (แทกุน) : ยศและตำแหน่งของพระราชโอรส ประสูติแต่พระราชากับพระมเหสี) หรือก็คือองค์ชายทรูเชียนที่รอดชีวิตจากการก่อกบฏขององค์ชายชยาเวน ซึ่งต้องเล่นดนตรีร่วมกับเซเชียนในงานประชันปีนี้

โดยส่วนตัวทั้งสองมีความสนิทสนมกันอยู่แล้ว จึงเคยร่วมเล่นดนตรีด้วยกันหลายครั้งหลายครา วันนี้พวกเขาต้องแสดงผลการฝึกฝนที่เป็นรูปเป็นร่างแล้วให้พระอัยยิกาทอดพระเนตรเป็นครั้งแรก ทว่าอีกฝ่ายกลับมาสายเสียอย่างนั้น เซเชียนจึงรีบแก้ตัวให้เทชินเมื่อพระอัยยิกาผู้ซึ่งไม่ชอบการรอคอยเริ่มมีท่าทีไม่พอใจ

“วอนซอนกุนไม่ใช่คนเสเพลที่เอาแต่เที่ยวเล่นเหมือนกระหม่อม อาจจะกำลังติดราชการสำคัญอยู่ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ เขาคงจะยุ่งน่าดู เพราะกระหม่อมได้ยินว่าช่วงนี้ฝั่งชายแดนวุ่นวายมากทีเดียว”

เทชินเป็นขุนนางซึ่งรับราชการอยู่ที่ว่าการแทกอนอย่างที่เซเชียนกล่าว ด้วยเป็นนายทหารระดับสูงที่รับผิดชอบความลับทางการทหารจึงมีงานล้นมือ พระอัยยิกาเองก็พยักหน้าเห็นด้วย 

แม้จะไม่มีสารบอกกล่าวว่าจะมาช้า แต่ก็ไม่มีสารแจ้งว่าจะไม่มาด้วยเช่นกัน พระองค์จึงตัดสินใจรออีกสักหน่อยแล้วให้เซเชียนดีดกู่ฉินต่อ

หลังจบไปหนึ่งบทเพลงและกำลังจะบรรเลงต่อในบทเพลงที่สอง เทชินก็เดินทางมาถึงพร้อมชุดขุนนาง“วอนซอนกุน ถึงงานราชการจะยุ่งเพียงใด แต่สมควรให้หญิงแก่ๆ อย่างย่าต้องนั่งรอเช่นนี้หรือ”ขณะที่เทชินกำลังโค้งคำนับก็ถูกพระอัยยิกาตำหนิเรื่องที่มาสายโดยไม่แม้แต่จะส่งสารมาบอกกล่าว นิสัยแต่เดิมของนางก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เทชินจึงไม่ได้ใส่ใจ แม้จะเอ่ยขออภัย แต่กลับแก้ตัวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ 

“กระหม่อมยุ่งมากจนไม่อาจส่งสารมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ พระอัยยิกา แม้จะได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว แต่ก็ยังต้องรับผิดชอบงานเอกสารมากมาย ทั้งยังพ่ายแพ้ศึกอย่างต่อเนื่อง กระหม่อมเกือบตายเพราะถูกฝังอยู่ใต้กองกระดาษทนั่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ กว่ากระหม่อมจะขุดร่างตัวเองออกมาได้ก็แทบแย่เลยทีเดียว โปรดประทานอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เทชินร่ายความลับทางการทหารออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย จนเซเชียนที่อยู่ข้างๆ ถึงกับเบิกตาโพลง ถึงจะได้ยินข่าวคราวมาบ้างแล้วว่าช่วงนี้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นทางฝั่งชายแดน กระนั้นก็ไม่ได้รับรู้มาก่อนเลยว่าจะปราชัยอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ แม้แต่พระอัยยิกาเองก็ตกพระทัยไม่ต่างกัน พระองค์ถามซ้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู 

“แพ้ตลอดเลยหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายทูซอนที่เป็นผู้ว่าการเมืองยูสตันก็สิ้นพระชนม์ในสนามรบไปแล้วด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชายทูซอนสิ้นพระชนม์ในสนามรบหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ ทราบมาว่าถูกธนูยิงใส่จนสิ้นพระชนม์”

“เช่นนั้น ฝ่าบาทคงเสียพระทัยมาก”

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

เซเชียนที่นั่งฟังบทสนทนาสั้นๆ ของทั้งสองอยู่ด้านข้างเดาะลิ้นในใจ เพราะมองออกถึงเจตนาที่เทชินเปิดเผยความลับทางการทหารออกมาเช่นนี้ นั่นก็เพื่อบอกเป็นนัยๆ ให้พระอัยยิกาพิจารณาถึงการรับช่วงต่อไว้ล่วงหน้า เพราะองค์ชายทูซอนที่กุมอำนาจทหารทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ทั้งยังเป็นการเรียกคะแนนจากนางและหลบเลี่ยงเสียงบ่นที่ตนมาสาย เรียกได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวอย่างแท้จริง ไหวพริบแยบยลประหนึ่งสุนัขจิ้งจอก ขณะที่บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มราวกับเด็กซุกซน 

พระอัยยิกาไม่ตำหนิเรื่องมาสายอีก แล้วสั่งให้ทั้งสองบรรเลงดนตรีแทน 

เซเชียนดีดกู่ฉินสิบสองสาย ส่วนเทชินนั้นเป่าขลุ่ย ทั้งสองต่างบรรเลงเครื่องดนตรีของตนด้วยฝีไม้ลายมืออันโดดเด่น เสียงไพเราะเสนาะหูกังวานอยู่กลางอากาศ

การบรรเลงดนตรีอันยอดเยี่ยมนี้ แม้แต่พระอัยยิกาที่ตระหนี่ตัวหนักหนายังมอบเสียงปรบมือให้

“พระอัยยิกาก็ทรงเข้มงวดเสียเหลือเกิน ไม่นึกเลยว่าจะให้เล่นถึงห้าครั้ง จนปากข้าแทบจะพองอยู่แล้ว เฮ้อ”

ทั้งสองกำลังเดินทางกลับหลังจากเล่นดนตรีที่ตำหนักพระอัยยิกาเสร็จสิ้น เทชินที่เดินเคียงข้างมากับเซเชียนทำทีทุบไหล่ตนเองอย่างเกินจริง พลางพร่ำบ่นว่าเหนื่อยนักหนา ก่อนจะถามเซเชียนว่ามือเป็นอย่างไรบ้าง 

“แค่นี้ไม่เท่าไรหรอก”

“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ดีดกู่ฉินตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะมาแล้วมิใช่หรือ”

“หนังของข้าด้านไปหมดแล้ว และตอนนี้ก็ชินมากแล้วด้วย”

สิ่งนี้คือความสามารถเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการยอมรับ เซเชียนจึงไม่เคยเกียจคร้านในการฝึกฝน หนังด้านหนาเช่นนี้ก็เกิดบนนิ้วของเขามานานแล้ว 

“เจ้าอย่าเอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร ยามที่มีคนเป็นห่วง เจ้าก็ต้องรู้จักแสดงความเหนื่อยออกมาบ้าง”

เมื่อเทชินส่งสายตากระเซ้าเย้าแหย่มาให้ เซเชียนก็แกล้งทำสีหน้าน่าสงสารทันที

“นิ้วข้าแสบร้อนอย่างกับโดนไฟเผา ทำเช่นไรดีเล่า”

“จะว่าไปมันก็มียาชั้นดีที่ช่วยคลายความวิตกของคนได้อยู่ ไม่พอยังช่วยลดความเจ็บปวดได้ด้วย ไหนๆ หนนี้ข้าก็ได้ของดีติดไม้ติดมือมาแล้ว สักหน่อยดีหรือไม่”

คำว่ายาชั้นดีที่ช่วยคลายความวิตกทำเอาดวงตาของเซเชียนเบิกโพลง มันคือสุรานั่นเอง ไม่ว่าเมื่อใดหากเป็นสุราที่เทชินซึ่งเป็นนักร่ำสุราช่างเลือกแนะนำมาจะต้องเป็นสุราคุณภาพดีเสมอ เซเชียนเองก็โปรดปรานการดื่มสุรา ทว่าหลังจากที่สถานะทางการเงินอัตคัด ก็ยากที่จะมีสุราคุณภาพดีดื่ม แต่แล้วเซเชียนที่กำลังจะตกปากรับคำด้วยความปีติกลับต้องหยุดชะงักไป เพราะนึกขึ้นได้ว่าตนยังมีงานคัดลอกที่คั่งค้างอยู่

“น่าเสียดาย แต่คงไม่ได้”

เทชินเอ่ยถามอย่างหยอกเย้าเมื่อเห็นสีหน้าเสียดายเสียเต็มประดาของเซเชียนเพราะรู้ดีว่าเซเชียนชอบดื่มสุรามากเพียงใด ถึงได้ยื่นข้อเสนอที่แสนล่อตาล่อใจนั่นให้

“เจ้าปฏิเสธสุราด้วยหรือนี่ น่าแปลกจริง”

“พอดีข้ายังมีงาน คงต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย”

“โธ่เอ๊ย ไม่ใช่ตอนนี้หรอกน่า ข้าเองก็ยังไม่เสร็จงานดี ต้องกลับไปที่ว่าการก่อน สักช่วงเย็นข้าจะไปหา”

“ได้ ข้าจะรอ”

เซเชียนตอบรับพลางยิ้มกว้าง ตัดสินใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะตั้งใจคัดลอกให้เสร็จก่อนช่วงเย็น

“ดูเจ้าชอบใจถึงเพียงนี้ เห็นทีคงจะยินดีที่ได้เจอสุรามากกว่าข้าสินะ” 

เห็นเซเชียนดูเบิกบานใจเช่นนั้นแล้วเทชินก็อดไม่ได้ที่จะหาเรื่องชวนทะเลาะ แต่เซเชียนก็ทำเพียงตีหน้าซื่อแสร้งยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น 

“ท่านโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าเองก็ยินดีที่ได้พบท่าน รวมไปถึงสุราที่ท่านจะนำมาด้วย ไม่ได้ลำเอียงไปทางสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย” 

“นี่เจ้าไม่ได้แยกคนกับสุราออกจากกันหรอกหรือ เฮ้อ นี่ข้าอยู่ระดับเดียวกับสุราหรือนี่ สงสัยจะเลือกคบสหายผิดไปเสียแล้ว”

เทชินถอนหายใจด้วยท่าทางเกินจริงไม่สมกับรูปร่างสูงใหญ่ของเขา เซเชียนที่เดินอยู่ข้างๆ พลันหัวเราะ เทชินเป็นคนสดใสอยู่เสมอ ในขณะที่ใบหน้าฉายแววหยอกล้อ แต่คำพูดคำจากลับมีชั้นเชิงและสุขุมเยือกเย็น ทั้งยังแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว

เทชิน อุนชิมานน หลัน เชา เป็นหลานชายเพียงองค์เดียวของพระราชา และเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก ได้ยินว่ามีข้อเสียคือขาดความกระตือรือร้น แต่กระนั้นในภายภาคหน้าต่อให้ไม่ได้เป็นอัครมหาเสนาบดี ก็ยังรับประกันได้ว่าจะไต่เต้าไปถึงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ได้

บางครั้งบางคราวเซเชียนก็เกิดความสงสัย ว่าเทชินผู้เพรียบพร้อมกับตนซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์เลือดผสมไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไรและอย่างไร เขาจำไม่ได้เลย รู้ตัวอีกทีก็มีเทชินอยู่เคียงข้างมาโดยตลอด 

ครั้นอายุได้สิบปี เหล่าเชื้อพระวงศ์จะมาที่เมืองหลวงแล้วเข้ารับการศึกษาตามที่กำหนดไว้ เรียกว่าการศึกษาขั้นสูง

เซเชียนเองเมื่ออายุได้สิบปีก็เข้ารับการศึกษาพร้อมกับเชื้อพระวงศ์รุ่นเดียวกัน ท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์รุ่นเดียวกันที่เมินเฉยและกลั่นแกล้งเซเชียน มีเพียงเทชินเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างใจดี คอยให้ยืมเครื่องเขียนและกระดาษที่มักจะหายไปอยู่เสมอ ทั้งยังคอยอยู่เคียงข้างและเป็นเกราะกำบังให้กับเซเชียน

ด้วยเหตุนี้เทชินเองก็พลอยถูกกีดกันออกมา ทว่าเจ้าตัวกลับไม่สนใจ อาจเป็นเพราะนิสัยอันเป็นเอกลักษณ์ จนเรียกได้ว่าเป็นคนประหลาดก็เป็นได้ 

‘ใจกว้าง’ เซเชียนคิดว่าคำนี้เหมาะกับเทชิน การที่เทชินยังมั่นคง ไม่หวั่นไหว ในขณะที่ผู้อื่นต่างตราหน้าว่าเขาเป็นสิ่งอัปมงคลนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถทำได้ 

เซเชียนที่เข้ากันได้ดีกับเทชินซึ่งถูกเรียกว่าคนประหลาดเองก็มีนิสัยที่ต่อกรได้ยากโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว แม้เทชินจะหยอกล้อว่ามีอะไรอยู่ในใจเจ้ากันแน่ถึงได้เป็นเช่นนี้ แต่เซเชียนก็ไม่ได้สนใจ ทำเพียงแค่ปล่อยผ่านไปเท่านั้น 

ทั้งสองรู้จักกันมานานกว่าสิบปีแล้ว จนตอนนี้สนิทสนมแนบแน่นถึงขั้นเป็นเพื่อนร่ำสุรากัน สำหรับเซเชียนแล้ว เทชินนับเป็นคนที่สำคัญที่สุดของตน 

“เมื่อครู่ที่ท่านบอกว่าแพ้อย่างต่อเนื่อง สถานการณ์รุนแรงถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

เซเชียนถามถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เทชินไม่ใช่คนที่มีนิสัยปั้นน้ำเป็นตัว ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเพลี่ยงพล้ำอย่างต่อเนื่องเซเชียนจึงอดรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาไม่ได้ สีหน้าของเทชินพลันฉายแววจริงจัง

“รุนแรงมากทีเดียว เพราะยูสตันได้ถูกยึดแล้ว”

“...!”

เซเชียนเองก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิชาการทหารและภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ต้องเรียนรู้ เขาจึงรู้ดีถึงความสำคัญของเมืองศูนย์กลางของอาณาจักรอย่างยูสตัน ทางเหนือเป็นแนวรบของอาณาจักรฮเวรึน ทางตะวันออกเป็นปลายทางสำหรับเปลี่ยนเส้นทางไปสู่ตอนใต้ของแผ่นดิน เป็นเมืองสุดท้ายของทางใต้ที่พ่อค้าทางฝั่งตะวันออกจะแวะพัก เซเชียนพลันตื่นตระหนกกับข่าวสารที่ว่าจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจและการทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอาณาจักรถูกยึดไป สมควรแล้วที่เทชินจะยุ่งจนตัวเป็นเกลียว เช่นนี้กองทหารไม่อลหม่านไปเลยหรือ

“ว่าแต่ อาณาจักรใดกันแน่ที่มาโจมตียูสตัน”

“รังคุน”

“รังคุนหรือ?”

“ใช่”

เซเชียนเอียงคอสงสัย หากจำไม่ผิดระหว่างเชาหลันและรังคุนจะมีพรมแดนธรรมชาติที่เรียกว่าทะเลทรายแดงกั้นอยู่ แม้จะมีเส้นทางที่ใช้อ้อมผ่านทะเลทรายได้ แต่เพราะพื้นที่ทะเลทรายนั้นแสนกว้างใหญ่ จึงไม่ค่อยมีการติดต่อแลกเปลี่ยนกันสักเท่าไรนัก 

จากรังคุนต้องข้ามทะเลทรายแดงก่อนจึงจะมาถึงยูสตันได้ แม้จะบอกว่าถูกยึดแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ สรุปแล้วการที่รังคุนเข้าโจมตียูสตันนั้นเป็นเรื่องไร้เหตุผลเกินไป

“ถ้าจะบอกว่าต้องการค่าเจรจาก็ดูเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามเกินไป”

โดยทั่วไปข้อพิพาทชายแดนมักเป็นเรื่องของการควบคุมอำนาจมากกว่าที่จะมีเป้าหมายในการขยายดินแดน ไม่ก็เข้ายึดฐานที่มั่นสำคัญหรือจับตัวคนสำคัญไปแล้วเรียกเงิน แต่เมื่อครู่เทชินบอกเองไม่ใช่หรือว่าองค์ชายทูซอนซึ่งเป็นผู้ว่าการเมืองยูสตันสิ้นแล้ว ดูเหมือนจะมีเหตุผลบางอย่างที่มากกว่าความบุ่มบ่าม

“มีข้อเรียกร้องอื่นๆ หรือไม่”

“ไม่รู้สิ แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมายึดเมืองที่ไม่จำเป็นสำหรับคนพวกนั้น แต่หากจุดประสงค์คือเงินทองก็ถือว่าทำสำเร็จแล้ว ฝ่าบาทมีคำสั่งให้ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วงชิงยูสตันกลับคืนมา ก่อนวันเข้าสู่คิมหันตฤดู* (วันเริ่มคิมหันตฤดู หรือ อิบฮา (입하 立夏) : หนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูกาลย่อยทางจันทรคติ เป็นวันที่เริ่มต้นเข้าสู่ฤดูร้อนในรอบหนึ่งปี ราวๆ วันที่ 5 พฤษภาคม) ทั้งยังรับสั่งว่าหากเป็นไปได้ก็อย่าให้เกิดความสูญเสีย”

“อ๋อ”

เซเชียนเข้าใจโดยทันทีว่าเทชินกำลังจะบอกอะไร ทุกปีเมื่อเข้าสู่คิมหันตฤดู ที่ยูสตันจะจัดตลาดสมุนไพรที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของอาณาจักรเป็นเวลาสิบวัน ในเวลานั้นจะมีการซื้อขายโสมฮยองอาซึ่งเป็นสินค้าพิเศษของเชาหลัน โสมฮยองอาที่พบได้แค่เฉพาะบางพื้นที่ทางภาคใต้ของแผ่นดินนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในนามยารักษาสรรพโรค

เหล่าพ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศจะหลั่งไหลเข้ามาที่ยูสตันเพื่อมาตลาดสมุนไพรที่จัดขึ้นในช่วงเดียวกับการลำเลียงโสมฮยองอาเพื่อส่งออก หากการค้าขายโสมฮยองอาซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเชาหลันชะงัก ก็จะเกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อการคลังของอาณาจักรในปีถัดไป ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนำยูสตันกลับคืนมาให้ได้ 

“คงต้องใช้เงินมหาศาลเลยสินะ”

“ถุงเงินของฝ่าบาทคงจะเบาลงไปมากเชียวละ และความหงุดหงิดเองก็คงจะเพิ่มมากขึ้นด้วย”

เทชินบ่นว่าต้องมีเงินค่าเจรจาจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะนำเมืองศูนย์กลางกลับคืนมา ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกเร่งรัดด้วยเวลา จึงเป็นการยากที่จะหาข้อเสนอประนีประนอมที่เหมาะสมได้ 

แม้เซเชียนจะเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างแล้ว แต่เขาก็ทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น ไม่ได้มีความกังวลใจในเรื่องใดเป็นพิเศษ 

เขารู้ดีว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ถึงขนาดที่เทชินต้องเอ่ยถึง ทว่านั่นเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากตัวเขามากนัก เพราะไม่ใช่เรื่องที่องค์ชายเลือดผสมอย่างเขาจะต้องกลัดกลุ้มและหาทางแก้ไข สิ่งสำคัญสำหรับเขาในตอนนี้มีเพียงการเล่นกู่ฉินให้สมบูรณ์แบบไร้ข้อผิดพลาด เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากพระอัยยิกาในงานประชันช่วงวสันตฤดูเท่านั้น

เซเชียนเป็นคนที่เข้าใจความเป็นจริง เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่ตนได้รับอนุญาตให้คิดหรือทำคือสิ่งใด ตกใจได้แต่จะไม่กังวล นี่คือสิ่งที่เซเชียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา

คนที่รู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าใครๆ ที่เห็นเซเชียนต้องเป็นเช่นนี้ก็คือเทชินที่อยู่ข้างเขานี่เอง 

เซเชียนตัดสินใจได้อย่างแม่นมั่นด้วยข้อมูลที่ได้รับจากบทสนทนาสั้นๆ เทชินที่คอยเฝ้าดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายขณะแบ่งปันข่าวสารอยู่ทุกๆ ครั้งรู้ดีว่าเซเชียนนั้นหลักแหลมเพียงใด เมื่อพากเพียรไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็คือความสามารถ ความละเอียดรอบคอบ ไปจนถึงนิสัยที่เกลียดความพ่ายแพ้ 

หากความสามารถนั้นเบ่งบานได้อย่างเหมาะสมก็จะได้รับอำนาจและครอบครองตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ทว่าเซเชียนกลับไม่ยึดติดต่อสิ่งที่ควรได้รับเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะถูกตีตราว่าเป็นเชื้อพระวงศ์อัปมงคลที่มีเส้นผมสีดำ ทำให้กระทั่งตำแหน่งขุนนางปลายแถวก็ยังไม่ได้รับแต่งตั้ง

กลับเป็นเทชินที่บอกให้เซเชียนเรียกร้องให้ตนเองได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมกับการเป็นองค์ชายมากกว่านี้ ทว่าเซเชียนเพียงส่ายหน้าพลางกล่าวว่าถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และตนก็ไม่อยากสร้างเรื่องวุ่นวายด้วย แม้เทชินจะโต้แย้งว่าความสามารถที่เซเชียนมีจะเสียเปล่า แต่ถึงอย่างนั้น กระทั่งเทชินที่พยายามทำสิ่งต่างๆ เพื่อเซเชียนเองก็ยังเข้าใจดีว่าทุกอย่างไม่อาจเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ได้

ขณะที่เดินพูดคุยกันไป พร้อมกับที่ต่างฝ่ายต่างก็ปกปิดสิ่งที่อยู่ภายในใจ ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงประตูนอก ก่อนจะบังเอิญสบตากับคนที่กำลังข้ามประตูมาทางนี้พอดี เป็นองค์หญิงมุนกยอง คิวโอเรนนั่นเอง

ครั้นเซเชียนเห็นคิวโอเรนที่สวมหมวกใบโต เหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอกพอดี เขาก็มีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที ทางฝั่งคิวโอเรนเองเมื่อเห็นว่าเป็นเซเชียน เรียวคิ้วของอีกฝ่ายก็ขมวดมุ่น ความสัมพันธ์ของทั้งสองแย่ยิ่งนัก

เชื้อพระวงศ์ส่วนมากจะคอยหลบเลี่ยงและเมินเฉยเซเชียน มีส่วนน้อยที่รังแกเซเชียน แต่ที่นิสัยแย่ที่สุดก็คือองค์หญิงมุนกยอง คิวโอเรนและองค์ชายวอนพยอง ดิวเทรุน หากลองไล่เลี่ยงดูแล้วจะพบว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกับเซเชียน ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเลวร้ายมาก 

โดยเฉพาะคิวโอเรนที่แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าเกลียดชังเซเชียน เกลียดที่เป็นเชื้อพระวงศ์เพียงกึ่งหนึ่ง และไม่ชอบใจที่องค์ชายเลือดผสมอย่างเซเชียนมีความสามารถโดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกัน 

ผู้ที่ตะโกนเสียงดังบอกความจริงกับเซเชียนซึ่งเชื่อมาตลอดว่าตนเป็นบุตรของพระราชาว่าคนอย่างเจ้าไม่ใช่ลูกของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็คือนางนั่นเอง

“ชิ โชคร้ายเสียจริง”

เซเชียนพึมพำเสียงเบาหวิวจนแทบกลืนไปกับลมหายใจ ประตูวังมีอยู่ตั้งมากมาย แบ่งใช้ตามจุดประสงค์ในการเข้าออกและฐานะ ในบรรดาประตูทั้งหมด ประตูที่เชื้อพระวงศ์ใช้เข้าออกส่วนตัวจะมีทั้งหมดสามแห่ง เซเชียนนึกสงสัยว่าความเป็นไปได้ที่ตนซึ่งไม่ได้เข้าออกวังบ่อยๆ กับคิวโอเรนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตจะมาใช้ประตูในเวลาเดียวกันนั้นอยู่ที่เท่าไร

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเร็วหรือช้ากว่านี้สักหน่อยก็จะแค่เพียงก้าวผ่านประตูไปแล้วแท้ๆ เซเชียนถอนหายใจอยู่ในอก เทชินที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยทักทายคิวโอเรนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ไม่ได้พบกันนานเลย องค์หญิงมุนกยอง ดูเหมือนท่านจะเพิ่งกลับมาจากข้างนอกนะ”

“ผู้ที่กำลังจะขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่จะคบค้าสมาคมกับเลือดผสมไปถึงเมื่อไรเพคะ หม่อมฉันเกรงว่าจะถูกติฉินนินทาเอาได้หากมีใครมาเห็นเข้า องค์ชายวอนซอน”

ทั้งที่เอ่ยทักทายออกไปแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นคำพูดค่อนแคะ สีหน้าของเซเชียนยิ่งบูดบึ้งกว่าเดิม ถึงจะมีความสัมพันธ์พี่น้องเพียงแค่ในนามแต่เซเชียนก็อายุมากกว่า ทว่าคิวโอเรนกลับไม่เคยใช้คำสุภาพกับเขาเลยสักครั้ง แม้จะรู้ว่านางจงใจใช้ถ้อยคำร้ายกาจเพื่อเสียดแทงจิตใจของตน แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจ 

คิวโอเรนที่อายุน้อยกว่าเซเชียนสองปีนั้น เป็นคนที่มักจะพูดและกระทำตามใจตนเอง ด้วยเป็นองค์หญิงที่ได้รับความรักใคร่อย่างล้นเหลือ ตรงข้ามกับเซเชียน ผู้ซึ่งเป็นองค์ชายเลือดผสมที่ไม่มีกระทั่งพื้นที่ให้วิงวอนแม้ว่าจะถูกกระทำอย่างรุนแรงจากนางก็ตาม

หากไม่ใช่องค์หญิงที่ได้รับความรักใคร่ เขาก็คงจะพูดจาร้ายกาจต่อนางได้บ้าง ขณะที่เซเชียนกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เทชินก็รับหน้าให้ก่อนแล้ว

“เป็นชายาของกระหม่อมหรือก็ไม่ใช่ กระหม่อมจะได้เป็นแม่ทัพใหญ่หรือไม่ เหตุใดจึงใส่ใจถึงเพียงนี้เล่า”

“องค์ชายวอนซอน!”

“หรือว่า?! ท่านมีใจให้กระหม่อมหรอกหรือ นี่กระหม่อมคงไม่ต้องไปขอให้ฝ่าบาทประทานองค์หญิงให้กระหม่อมใช่หรือไม่”

เทชินยิ้มเยาะพลางยั่วโมโหนาง ทันทีที่เทชินเข้าร่วมพิธีบรรลุนิติภาวะก็เข้าพิธีอภิเษกสมรสทันที ทว่าพระชายาได้จากไปเมื่อสองปีก่อนเพราะอาการเจ็บป่วย ตอนนี้เขาจึงอยู่เพียงลำพัง และคิวโอเรนที่อายุได้สิบเก้าปีก็อยู่ในวัยออกเรือนพอดี

เพื่อคงไว้ซึ่งสายเลือด จึงอนุญาตให้มีการสมรสกันระหว่างลูกพี่ลูกน้องได้ ดังนั้นหากเทชินขอพระราชทานสมรสกับฝ่าบาท ก็มีความเป็นไปสูงที่พระราชาจะทรงเห็นชอบให้ทั้งสองสมรสกันอย่างปลื้มปีติ

ใบหน้าของคิวโอเรนแดงจัดด้วยความโกรธ ทั้งร่างกายยังสั่นสะท้าน หากนางจะกรีดร้องออกมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ทว่าด้านหลังของนางมีผู้ติดตามรับใช้และทหารยามเฝ้าประตูยืนเรียงรายอยู่ ดูเหมือนว่านางจะพยายามข่มกลั้นความโกรธไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะไม่อาจกระทำการใดๆ ให้เกียรติขององค์หญิงเสื่อมเสียได้

ท่าทางเช่นนั้นช่างน่าขัน จนเซเชียนต้องแอบหันหน้าหนีพร้อมกลั้นหัวเราะ เทชินเป็นเหมือนศัตรูโดยธรรมชาติเช่นเดียวกับที่นางเป็นศัตรูคู่อาฆาตสำหรับเซเชียน เซเชียนได้รับความช่วยเหลือจากเทชินในลักษณะนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว 

“หน้าซีดเช่นนี้คงต้องพักผ่อนแล้วละ พวกเจ้า! รีบพาองค์หญิงไปได้แล้ว นางจะทรุดอยู่แล้วไม่เห็นหรือ”

เทชินยังคงยียวนคิวโอเรนจนถึงที่สุด องค์หญิงคิวโอเรนเต็มไปด้วยความโกรธ นางจ้องเขม็งมาที่เซเชียนและเทชินราวกับมองของแสลง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่มีแม้แต่คำลา 

ครั้นเห็นว่าแผ่นหลังของคิวโอเรนที่ห้อมล้อมด้วยข้ารับใช้ไกลออกไปแล้ว เซเชียนก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

“ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ”

“ทำไมเล่า ก็รู้สึกโล่งดีไม่ใช่หรือ”

“อ่า โล่งสิ”

“เช่นนั้นก็ช่างมัน”

“ขอบใจท่านมาก”

“ขอบใจไปใยเล่า”

เทชินหัวเราะสนุกสนาน เซเชียนก็พลอยหัวเราะตาม เขาละจนใจจะห้ามปรามอีกฝ่ายจริงๆ

เมื่อเทชินปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมขวดสุราในมือ ยามนั้นพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว เทชินที่เปลี่ยนจากชุดขุนนางมาอยู่ในชุดสีครามสำหรับออกข้างนอกเดินทางมาเพียงลำพังโดยไม่ได้นำข้ารับใช้มาด้วย จะมีก็แค่ดาบซึ่งเหน็บไว้ข้างเอวติดตัวมา เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจว่าแค่นักเลงหัวไม้ไม่มีทางคณนามือตน 

ปกติแล้วเชื้อพระวงศ์จะไม่เดินทางคนเดียว แต่คนอย่างเทชินก็ไม่ได้ใส่ใจ และเซเชียนเองก็ยินดีกับการที่เทชินมาคนเดียวด้วยเช่นกัน ยิ่งแขกที่มาเยี่ยมเยียนน้อยเท่าไรก็ยิ่งเป็นเรื่องดี เพราะความเป็นอยู่ของเซเชียนไม่ได้ดีมากพอที่จะให้การต้อนรับไปจนถึงข้ารับใช้ได้

วงสุราถูกเตรียมไว้ที่ห้องหนังสือ งานคัดลอกเสร็จสิ้นและถูกส่งให้แก่ผู้ว่าจ้างไปแล้ว พวกเขาไม่ได้เรียกจาเยรินให้เข้ามาคอยรินสุราให้ แต่เป็นเซเชียนที่อาสาทำหน้าที่นั้นเอง เมื่อเปิดหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ติดกับสวนออกก็จะพบกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนของฤดูวสันต์ เซเชียนและเทชินนั่งชมสวนอยู่ข้างกัน 

“ไม่ว่าจะคราใดที่ได้มอง สวนนี้ก็ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก”

เทชินเอ่ยขณะจิบสุราพลางทอดมองสวนตรงหน้า 

สวนของเซเชียนต่างจากสวนทั่วไปโดยสิ้นเชิง ต้นบ๊วยยังนับว่าปกติ ต้นซากวาป่า* (ซากวา (사과) : แอปเปิล) หรือไม้จำพวกสนที่อยู่ถัดมาก็ยังเป็นต้นไม้ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ทว่าตั้งแต่ต้นท้อเป็นต้นมาก็เริ่มเต็มไปด้วยพรรณไม้แปลกตาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะต้นทับทิม ต้นพลับ วอลกูล* (วอลกูล : เชอร์รี่ป่า) มาพยอนโช** (มาพยอนโช : พืชสมุนไพรเวอร์บีน่า) คึมพุลโช*** (คึมพุลโช หรือ เอเลแคมเพน (Elecampane) : สมุนไพรชนิดหนึ่ง รากของเอเลแคมเพนใช้ในการทำยาสำหรับรักษา) ต้นเทียนเกล็ดหอย โสมไซบีเรีย ต้นเก๋ากี้ และอื่นๆ ทั้งสมุนไพรหญ้าหอม และไม้ผลต่างถูกปลูกไว้ในทุกหย่อมหญ้า

เทชินจะเอ่ยถึงสวนที่อัศจรรย์นี้ทุกครั้งที่มาบ้านของเซเชียน และเซเชียนเองก็จะตอบแบบเดิมทุกครั้งไป

“แล้วอย่างไรเล่า”

แทบจะไม่มีแขกคนใดมาเยี่ยมเยือนบ้านของเซเชียนผู้เป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือนอกจากเทชินแล้ว แทบไม่มีแขกคนใดที่ทำตัวสมเป็นแขกเลย เซเชียนไม่อายแม้ตนจะตกแต่งสวนให้สวยงามอย่างใครเขาไม่ได้ เพราะสวนนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อให้ผู้อื่นเชยชม 

นอกจากสวนหน้าบ้านที่ปลูกบรรดาไม้ดอก สวนหลังบ้านก็ยังมีพืชผักอย่างกระเทียมและหัวหอมกำลังออกผลอยู่ เนื่องจากเซเชียนไม่ค่อยมีเงิน การปลูกสมุนไพรกับไม้ผลจึงมีประโยชน์มากกว่าต้นไม้ใบหญ้าที่กินไม่ได้พวกนั้น ซึ่งเป็นสวนที่นำไปใช้จริงมากกว่าที่จะเอาไว้โอ้อวดหรือรักษาหน้า 

เซเชียนที่ไม่มีอะไรบิดบังต่อเทชินซึ่งรับรู้ความเป็นอยู่ของเขาดีตอบอย่างไม่ยี่หระ เทชินนั่งมองอยู่นิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา

“อากาศดีเช่นนี้ ข้าเล่าเรื่องสนุกให้ฟังดีกว่า”

เทชินเอ่ยเริ่มต้นอย่างมีนัย โดยส่วนมากสิ่งที่อีกฝ่ายบอกว่าสนุกมักไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป แต่จะเป็นเรื่องผีสาง สัตว์ประหลาด และคำสาป

“หากเป็นเรื่องผี ข้าคงต้องขอปฏิเสธ”

เซเชียนที่ไม่ชอบเรื่องน่ากลัวเอ่ยตัดบท 

“ฮ่าๆ ไม่ใช่เรื่องผีสาง แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับรังคุนต่างหากเล่า”

“รังคุนหรือ?”

รังคุนคืออาณาจักรที่เข้ายึดยูสตันในครั้งนี้ เทชินยกสุราขึ้นดื่มพลางพยักหน้า 

เซเชียนชอบฟังเรื่องราวใหม่ๆ รองลงมาจากสุรา เทชินจึงมักจะเตรียมเรื่องราวน่าสนใจมาเล่าให้ฟังเสมอ เพราะอยากเห็นแววตาเป็นประกายและท่าทางตอนตั้งอกตั้งใจฟังของเซเชียน อย่างในตอนนี้เองเมื่อเอ่ยถึงรังคุน ดวงตาอัญมณีคู่นั้นก็เปล่งประกายแวววาวงดงาม

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเพราะมีทะเลทรายขวางอยู่จึงไม่มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกัน เรื่องของทางรังคุนเองก็ไม่ค่อยมีให้ได้ยิน ข้าเลยไปค้นหาเอกสารที่เกี่ยวกับรังคุนมา แต่ก็ไม่ค่อยได้ความเท่าไรนักจึงลำบากมากทีเดียว เอาเป็นว่าเรื่องนี้ข้ามมันไป ข้าน่ะไปเจอเรื่องสนุกๆ ของทุกอาณาจักรมา มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพเจ้าที่พวกเขานับถืออยู่ด้วย”

“เทพเจ้า...หรือ?”

“ว่ากันว่าที่เชนไรเนอร์เมืองหลวงของรังคุนมีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ ใหญ่มากเสียจนเดินทั้งวันก็ยังไม่รอบ”

อีกฝ่ายทำทีจะกล่าวถึงเทพเจ้าแต่จู่ๆ กลับพูดถึงทะเลสาบเสียอย่างนั้น หนึ่งในนิสัยที่ไม่ดีของเทชินคือการหลีกเลี่ยงเนื้อหาสำคัญ พูดอ้อมไปอ้อมมาก่อนจะเปิดเผยความจริงในตอนท้าย แม้จะเป็นทักษะการพูดที่ดี แต่เซเชียนที่คบหากับเทชินซึ่งเป็นนักเล่าเรื่องที่ชอบลงรายละเอียดมานานก็ทำเพียงเออออไปด้วยเท่านั้น

“แต่ในทะเลสาบกลับไม่มีปลาอาศัยอยู่ ไม่น่าแปลกหรือ”

“เพราะเป็นน้ำเค็มหรือ”

“เห็นว่าเป็นน้ำที่ใช้ดื่มกิน และใช้ทำการเกษตรด้วย”

“เช่นนั้น?”

“ว่ากันว่าในทะเลสาบมีมังกรหลับใหลอยู่”

“...!”

แม้ว่าเทชินจะพูดด้วยท่าทีจริงจัง ทว่าในชั่วขณะนั้นเซเชียนกลับพูดอะไรไม่ออก 

หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเทพเจ้านั้นซับซ้อน การถามไถ่ถึงการมีอยู่ของความศักดิ์สิทธิ์ในแผ่นดินที่ถูกครอบครองด้วยเทพเจ้าซึ่งอยู่ในธรรมชาติทั่วไปไม่ต่างอะไรกับการกระทำที่โง่เขลา จริงอยู่ที่ศาสนาเป็นพื้นฐานของความศรัทธา ทว่าตราบใดที่การมีอยู่ของเทพเจ้ามีหลักฐานเป็นรูปธรรมก็ทำให้ไร้ข้อสงสัยในเรื่องนั้น แต่สิ่งที่กระจ่างชัดคือการมีอยู่ของเทพเจ้าไม่สามารถยืนยันได้ด้วยตา

“ท่านเชื่อเช่นนั้นหรือ”

“สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าข้าเชื่อหรือไม่ ประเด็นคือพวกเขาเชื่อหรือไม่เชื่อต่างหาก”

เซเชียนพยักหน้าโดยไร้คำพูด ความเชื่อที่มนุษย์มีต่อเทพเจ้าคือพลังอย่างหนึ่ง

“ที่รังคุนมีตำนานเกี่ยวกับมังกรที่หลับใหลอยู่ใต้ทะเลสาบหลายเรื่อง แต่เรื่องที่น่าสนใจที่สุดก็คือพระราชาของรังคุนเป็นลูกหลานของเทพมังกร เทพมังกรตกหลุมรักหญิงสาวชาวมนุษย์ บุตรที่เกิดมาก็กลายเป็นปฐมกษัตริย์ของรังคุน ฉะนั้นที่รังคุนจึงเรียกขานพระราชาว่าราชามังกรอย่างไรเล่า”

“ไม่ว่าจะตำนานใดก็เหมือนกันทุกที่”

พระราชาของเชาหลันก็เป็นลูกหลานของสุริยเทพ 

“ใช่ไหมเล่า แต่ถึงอย่างนั้นหากเป็นลูกหลานของเทพเจ้า ก็ต้องใช้สิ่งนี้ได้สิ เหมือนอย่างพวกเรา”

‘เหมือนพวกเรา’ ขณะที่พูดคำนั้นเทชินก็ยื่นมือออกไปกลางอากาศ แม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เซเชียนรู้ว่าแขนของตนและเทชินสามารถทำอะไรได้บ้าง 

ไม่ใช่แค่เพียงเพราะมีเส้นผมสีเงินกับดวงตาสีแดง และถูกเรียกว่าลูกหลานสุริยเทพแล้วจะสามารถสร้างอาณาจักรขึ้นมาได้ เชื้อพระวงศ์ของเชาหลันสามารถสร้างคันธนูและลูกธนูที่สามารถเจาะทะลุทุกสิ่งได้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันแข็งแกร่ง สิ่งนั้นถูกเรียกว่าธนูทองคำแห่งสุริยเทพ

“จริงหรือไม่ข้าเองก็ไม่รู้ แต่พวกเขามีทักษะการต่อสู้ที่ดีมาก ได้ยินว่าตอนรบกันที่ยูสตัน พระราชาของพวกเขาก็ออกมาต่อสู้ที่แนวหน้าด้วย คำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์บอกว่าหากจะเรียกว่าเทพสงครามก็มิผิด”

เซเชียนวางแก้วสุราลงก่อนจะนิ่งไป พระราชาของรังคุนออกมาร่วมรบด้วยอย่างนั้นหรือ ในข้อพิพาทชายแดนที่รุนแรงเช่นนั้น? หากเป็นดังนั้นจริงคงไม่ใช่การยึดครองเพื่อเรียกเงิน “เหมือนจะมีอะไรบางอย่าง”

“ต้องมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร จึงทำได้แค่รอเท่านั้น”

ขณะพูดเรื่องเคร่งเครียด เทชินก็ยังคงเยือกเย็นราวกับไม่ใช่เรื่องของตน ไม่จำเป็นต้องลนลานหรือกังวลในเรื่องที่ยังไม่เกิด นั่นคือหลักการของเขา เซเชียนเองก็คิดเช่นเดียวกัน

“งานประชันในวสันตฤดูน่าจะตรงกับตอนที่เสร็จสิ้นภารกิจของคณะทูตและกลับมาพอดี ก่อนจะถึงเวลานั้นต้องขัดเกลาฝีมือเสียหน่อย หากแพ้ขึ้นมาพระอัยยิกาคงได้สับข้าเป็นชิ้นๆ แน่ สักหนึ่งบทเพลงเป็นอย่างไร”

เทชินหยิบขลุ่ยออกมาจากอกเสื้อ เซเชียนไม่ได้ปฏิเสธเพียงลุกไปหยิบกู่ฉินที่ตั้งอยู่มุมห้องหนังสือมา อย่างที่เทชินกล่าว หากแพ้ขึ้นมาเขาเองก็อาจจะโดนจับทอดในน้ำมันก็เป็นได้ ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็มีแต่ต้องฝึกฝนเท่านั้น 

จากนั้นเสียงขลุ่ยและกู่ฉินสิบสองสายแสนไพเราะก็ดังผสานกันขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศยามราตรี

 

หลังจากเล่นดนตรีและพูดคุยอีกเล็กน้อย เทชินก็กลับไปโดยปฏิเสธคำชวนของเซเชียนที่ให้นอนค้างเพราะฟ้ามืดแล้ว ก่อนจะหายไปตามทางยามค่ำคืน เมื่อเซเชียนออกไปส่งเทชินและกลับเข้ามายังห้องหนังสือ ก็เห็นจาเยรินกำลังเก็บโต๊ะอยู่ 

“ข้าว่าจะเก็บเองนะ”

“ท่านจะแย่งงานที่บ่าวต้องทำไม่ได้นะขอรับ”

“อะไรเล่า ไม่ใช่งานยากอะไรเสียหน่อย คนว่างงานก็ต้องเป็นคนทำสิ”

เป็นธรรมดาที่หากอยากมีชีวิตที่สุขสบาย ก็ต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงินที่มากพอเสียก่อน เขาลำบากลำบนมาหลายปีแล้ว ตอนนี้จึงชินมือขึ้นมาก

“อะ เดี๋ยว”

เซเชียนรั้งจาเยรินที่กำลังจะเก็บขวดสุราไว้

“ยังเหลืออยู่เลย”

“ท่านจะดื่มอีกหรือขอรับ”

“ไหนๆ ก็เหลือแค่ไม่กี่จอกแล้ว ข้าจะดื่มให้มันหมดๆ ไป”

“ดื่มมากไปจะไม่ดีต่อร่างกายนะขอรับ”

“ข้าดื่มเข้าไปเยอะแล้วละ ไม่เป็นไร ข้าคอแข็ง”

เซเชียนดันจาเยรินออกก่อนจะหยิบสุราและจอกมา หลังจากรินดื่มเองและรินใหม่อีกครั้ง เขาก็ยื่นให้จาเยริน

“เจ้าก็ลองดื่มดู”

“ไม่ดีกว่าขอรับ”

“ทำไมเล่า โอกาสที่จะได้ดื่มสุราชั้นดีเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ หรอกนะ”

“สำหรับบ่าวไม่จำเป็นหรอกขอรับ”

“สุราชั้นดีเลยนะ”

ถึงจะบ่นอู้อี้ แต่เซเชียนก็ไม่ได้ชวนอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าจาเยรินจะไม่ดื่มสุราในบ้าน ด้วยเป็นข้ารับใช้เพียงคนเดียว จะเมาสุราไม่ได้ นั่นคือหลักการของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม เวลาที่อยู่ข้างนอกเขาก็ไม่ปฏิเสธหากต้องดื่มสุราเพื่อพบปะผู้คน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการคบค้าสมาคม เซเชียนดื่มสุรารวดเดียวหมดจอก แม้จะมีรสเข้มจัด ทว่ากลิ่นหอมของสุรานั้นยอดเยี่ยมนัก

“ท่านนั่งเถิดขอรับ เดี๋ยวบ่าวจะเก็บกวาดเอง”

“อื้ม ฝากเจ้าด้วย”

จาเยรินยกถาดขึ้นมาก่อนเดินหายไปทางครัว ระหว่างนั้นเซเชียนก็นั่งอยู่กับที่ พลางมองออกไปด้านนอก สายลมในฤดูใบไม้ผลิเย็นสบายช่วยให้ไอร้อนบนแก้มซึ่งเกิดจากความมึนเมาจางลง เซเชียนคลี่ยิ้มให้กับความรู้สึกอ่อนล้า

เขาคัดลอกหนังสือเสร็จแล้ว ดนตรีที่เล่นให้พระอัยยิกาฟังก็ผ่านฉลุย แถมได้สัมผัสความรู้สึกสะใจเมื่อเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของคิวโอเรน นอกจากนี้ยังได้จบวันด้วยสุราชั้นดีกับสหายคนสำคัญ ช่างเป็นวันที่สมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้

“ง่วงแล้วหรือขอรับ”

จาเยรินที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรวางถ้วยชาลงตรงหน้าเซเชียน ดื่มสุรามากไปจะทำให้กระหายน้ำ เซเชียนประทับใจกับการเอาใจใส่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของจาเยริน 

“เปล่า แค่อารมณ์ดีน่ะ เจ้าเองก็นั่งสิ”

“เช่นนั้นก็ฝึกกู่ฉินได้แล้วสิขอรับ”

“กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ หากโดนตำหนิเข้าจะทำเช่นไร”

เซเชียนยกชาขึ้นดื่มให้ชุ่มคอพลางมองจาเยริน อีกฝ่ายกล่าวอย่างจริงจังว่า 

“จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเลยขอรับ ฉะนั้นฝึกได้ขอรับ”

“ก็จริง”

ใครจะกล้ามาต่อว่าเชื้อพระวงศ์ซึ่งเป็นที่เลื่องลือเรื่องความอัปมงคลกัน

การฝึกดนตรียามกลางคืนสร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่นในหลายๆ อย่าง ทว่าเซเชียนที่อารมณ์ดีเพราะอาการมึนเมาก็เลือกที่จะไม่สนใจ หยิบกู่ฉินขึ้นมาบรรเลงเพลงอย่างเพลิดเพลิน

ครั้นมองดูเซเชียนใส่ทำนองพลางขับขานบทเพลงไปด้วยแล้ว จาเยรินก็พลอยหัวเราะออกมา พวกเขาไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนบ้านเพราะถูกเรียกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์อัปมงคล และครึ่งหนึ่งของเพื่อนบ้านก็คือเหล่าคนที่มาคอยจับตาดูเซเชียน จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีเพื่อนบ้านคนใดมาต่อว่าที่เซเชียนเล่นดนตรีกลางดึกอย่างแน่นอน

 

เมื่อคณะผู้แทนพระองค์ออกจากยูสตัน ข่าวที่ว่ายูสตันถูกรังคุนตีแตกก็แพร่สะพัดมาถึงเมืองหลวง หลายคนแสดงความกังวลเมื่อได้รู้ว่ายูสตันซึ่งเป็นฐานที่มั่นของอาณาจักรถูกยึดไป 

และหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีข่าวลือแปลกๆ แพร่ไปทั่ว ว่ากันว่ารังคุนมีข้อเสนอพิเศษเพื่อแลกกับการคืนยูสตันให้

พระราชาหนุ่มของรังคุนยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส ข่าวลือที่ว่าพวกเขามาตามหาราชินีที่เชาหลันถูกพูดกันไปปากต่อปาก 

ตลอดระยะเวลากว่าสามร้อยปีที่สถาปนาอาณาจักรมา ราชวงศ์เชาหลันไม่เคยมีการสมรสระหว่างอาณาจักรอื่นเลยสักครั้ง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสายเลือดของสุริยเทพ ทว่าในครั้งนี้พวกเขาไม่อาจยืนหยัดต่อศักดิ์ศรีของตนได้อีกต่อไป เพราะยูสตันตกอยู่ในมือของรังคุนแล้ว

พระราชาโรมัลชวินมีพระธิดาสามพระองค์ องค์แรกถึงวัยแล้วจึงสมรสออกเรือนไปแล้ว ส่วนองค์ที่สามก็อายุเพียงแค่สิบขวบ ที่เหลืออยู่มีเพียงคิวโอเรนองค์หญิงองค์ที่สองเท่านั้น 

คิวโอเรนที่ตกใจจนหมดสติกับข่าวลือที่ว่าตนเองเป็นผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในการเป็นเจ้าสาวนั้น เมื่อฟื้นขึ้นมาก็รีบไปหาเสด็จพ่อของตนก่อนจะถามหาความจริงทันที ครั้งนี้หลายคนเริ่มตื่นตระหนกเมื่อมีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระบุว่า พระราชาไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ธิดาหัวแก้วหัวแหวนซึ่งนั่งอยู่บนตักของพระองค์ ว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือไร้สาระ

จากนั้นก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกไปว่าคณะผู้แทนพระองค์ของรังคุนนำพระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการมาที่เมืองหลวง ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงข่าวลือ แต่เป็นความจริง และข่าวลือที่ว่าองค์หญิงคิวโอเรนล้มป่วยก็ตามมา

วันที่ยูสตันถูกตีแตกเป็นวันที่สิบ ผู้แทนพระองค์ของรังคุนซึ่งเป็นที่โจษจันไปทั่วก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง

ในวันนั้นเองเซเชียนก็กำลังพากเพียรฝึกดนตรีเพื่องานประชันในวสันตฤดู แต่เซเชียนไม่อาจรู้ได้เลยว่าตนจะไม่ได้แสดงผลของการมุมานะฝึกฝนนั้นให้ใครได้ชื่นชมเลยแม้แต่ผู้เดียว

 

{ }

 

วัยเด็กของเซเชียนเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุข เพราะไม่รู้ว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์อัปมงคลผู้มีเส้นผมสีดำ ทั้งยังเพราะไม่อาจก้าวเท้าออกจากตำหนักเนินจันทร์ได้แม้เพียงก้าวเดียว จึงไม่รู้ว่าสถานะของตนนั้นต่ำต้อยเพียงใด เซเชียนเชื่อเพียงว่าเสด็จพ่อหรือองค์ราชาไม่สามารถมาพบตนได้เพราะยุ่งกับภารกิจในการปกครองอาณาจักร และเติบโตมาในฐานะองค์ชายที่ถูกละเลย 

กับเหล่าข้ารับใช้เองอย่าว่าแต่พูดคุยด้วย แม้แต่สบสายตายังหลีกเลี่ยง กระนั้นก็ยังมีแม่นมที่คอยโอบกอดเขา ทว่าแม่นมอายุมากแล้ว นางจึงเคลื่อนไหวร่างกายไม่ค่อยสะดวกนัก กอปรกับหูไม่ดี ทำให้นางไม่สามารถเป็นคู่สนทนาให้กับเซเชียนได้ ดังนั้นส่วนมากเขาจึงมักใช้เวลาอยู่เพียงลำพัง ด้วยเพราะยังเยาว์วัยจึงไม่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว ถูกขังอยู่ภายในกำแพงสูงและเติบโตมาโดยไม่รู้เรื่องราวใดๆ 

ชีวิตของเซเชียนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อแม่นมพาบุตรของหลานซึ่งมีนามว่าจาเยรินมาอยู่ด้วยในตอนที่เขามีอายุได้ห้าขวบ แม้แรกเริ่มจะยังไม่คุ้นเคยกัน ทว่าในไม่ช้าจาเยรินก็ได้กลายมาเป็นสหายที่เซเชียนสนิทสนมด้วยมากที่สุด

ครั้นอายุได้แปดขวบ ข้ารับใช้ที่เคยฉ้อโกงเงินสุดท้ายก็ถูกจับ พร้อมกันกับที่เซเชียนได้เริ่มเรียนเขียนอ่าน ซึ่งแม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียนช้าไปมากเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน ทว่าเซเชียนเป็นคนฉลาดหลักแหลมและกระหายในการเรียนรู้อย่างมาก กระทั่งตอนนั้นเองตำหนักเนินจันทร์ที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงก็ยังคงเป็นโลกทั้งใบของเซเชียนเช่นเดิม

ตอนที่โลกทั้งใบของเซเชียนซึ่งคงอยู่มาอย่างไม่มั่นคงนักแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ก็คือปีที่เซเชียนอายุได้เก้าขวบ วันนั้นเซเชียนตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก ราชวงศ์เชาหลันมีธรรมเนียมที่ว่าเมื่ออายุได้เก้าขวบจะต้องไปคำนับผู้อาวุโส ธรรมเนียมนี้เรียกกันว่าพิธีรวมญาติ ในวันขึ้นปีใหม่เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ จะมารวมตัวกันเพื่อสักการะสุริยเทพ และในวันนั้นเองก็จะมีพิธีการเปิดตัวครั้งแรกของบุตรหลานราชวงศ์ที่อายุได้เก้าขวบด้วย แม้จะไม่ชอบตื่นแต่เช้าตรู่ ทว่าด้วยความตื่นเต้นที่จะได้พบกับเสด็จพ่อผู้ซึ่งเป็นพระราชาครั้งแรกนั้นก็ทำให้เซเชียนกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก

'เจ้าดูสิ นี่คือชุดผ้าแพร เขาบอกว่าเสด็จพ่อมอบให้ข้า ในที่สุดวันนี้ก็จะได้พบท่านแล้ว ดูดีใช่หรือไม่'

‘พ่ะย่ะค่ะ เหมาะกับพระองค์มากพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย’

‘จริงหรือ เจ้าว่าเสด็จพ่อจะทรงจำข้าได้หรือไม่’

‘ต้องทรงจำได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ’

ไม่ว่าจะเป็นการออกนอกตำหนัก หรือการได้สวมชุดผ้าแพรเช่นนี้ ก็ล้วนเป็นครั้งแรกของเซเชียนทั้งสิ้น ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ตระเตรียมไว้ก็เพื่อการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของตน

ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อไม่นานมานี้ข้ารับใช้ทั้งหมดถึงได้ถูกเปลี่ยน และชีวิตความเป็นอยู่ของเซเชียนก็ดีขึ้นมากกว่าเดิม แต่สิ่งที่เซเชียนพึงพอใจเป็นที่สุดคือสำรับอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ยิ่งกว่าที่เคย

‘ระวังด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ’

‘ข้าทำได้ เจ้าไม่ต้องห่วง วิธีถวายความเคารพก็เรียนมาแล้ว’

‘พ่ะย่ะค่ะ มีผู้อาวุโสอยู่มาก อย่าได้ทำผิดพลาดนะพ่ะย่ะค่ะ’

‘เจ้านี่ขี้กังวลนัก ข้าจะไม่ทำพลาด ถวายคำนับเสร็จก็กลับแล้ว อย่าได้กังวลไป’

เซเชียนฉีกยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจไปทางจาเยรินที่เป็นห่วงเป็นใย

เซเชียนเดินตามขันทีไปยังพระราชวังที่ใช้จัดงานพิธีรวมญาติ นอกตำหนักเนินจันทร์นั้นหรูหราโอ่อ่าจนตาพร่า เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างใหญ่โตงดงาม

เริ่มแรกได้เดินชมหลายสิ่งอย่าง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะแววตาของผู้อาวุโสหลายคนที่เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกนั้นมองมาที่ตนด้วยความเย็นชาอย่างน่าประหลาด ข้ารับใช้ที่เคยอยู่ตำหนักเนินจันทร์เองก็มองตนเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าคนเหล่านี้กลับแสดงออกอย่างเปิดเผยยิ่งกว่า 

หลังเดินผ่านระเบียงยาวและสวนกว้างแล้ว สถานที่ที่มาถึงก็คือห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ในห้องนั้นมีเด็กอีกสี่คนที่เข้าร่วมพิธีรวมญาติเพราะอายุเท่าๆ กับเซเชียน เด็กๆ ที่แต่งตัวมาอย่างเต็มที่นั้นต่างมีเส้นผมสีเงินเป็นประกาย 

‘สวัสดี พวกเจ้าเองก็มาร่วมพิธีด้วยหรือ”’

แม้ไม่เคยได้คบหากับสหายใดๆ แต่ด้วยความดีใจที่ได้พบเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เซเชียนจึงชวนเด็กเหล่านั้นคุยก่อน ทว่าไม่มีใครตอบกลับมาเลยสักคนเดียว ทั้งยังหลบเลี่ยงและเอาแต่กระซิบกระซาบกันในกลุ่มของตนเท่านั้น 

ตอนนั้นเซเชียนไม่รู้ว่าตนเองถูกกีดกัน แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ความตั้งใจรอที่จะได้พบกับเสด็จพ่อนั้นมีมากกว่า เขาจึงไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นอีก ทว่าเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น

ในพระราชวังที่ขันทีพาเข้าไปมีเชื้อพระวงศ์ยืนเรียงแถวกันอยู่กว่าหนึ่งร้อยคน เซเชียนตกตะลึงอย่างหนัก เมื่อเห็นว่าทุกคนในนั้นล้วนมีเส้นผมสีเงินแสนงดงามและดวงตาสีแดง 

มีตนเพียงผู้เดียวที่มีเส้นผมสีดำท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น...เซเชียนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดพลาด ทว่าความผิดพลาดนั้นคืออะไร เขาก็ไม่อาจรู้ได้

สายตาราวกับคมดาบทิ่มแทงทั่วทั้งร่างขณะที่เดินไปพร้อมกับเด็กคนอื่นๆ แววตานั้นประหนึ่งกำลังมองสิ่งสกปรกและอัปมงคล แม้แต่เด็กน้อยยังรู้ว่าคนพวกนั้นเกลียดชังตน ทั้งยังตระหนักได้โดยสัญชาติญาณว่าตนที่มีเส้นผมสีดำไม่สมควรมาอยู่ในที่แห่งนี้ 

เซเชียนขนลุกชัน ลมหายใจติดขัด ทั้งที่ไม่ได้เป็นหวัดแต่เหงื่อกลับโซมกาย และยังรู้สึกวิงเวียน ทว่าเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด จึงรวบรวมเรี่ยวแรงสุดกำลังเพื่อเดินไปยังเบื้องหน้าของพระราชา ความทรงจำในพิธีรวมญาติของเซเชียนจบลงเพียงแค่นั้น ใบหน้าของเสด็จพ่อเป็นอย่างไร ถวายคำนับเสร็จแล้วกลับมาที่ตำหนักได้อย่างไร เขาเองก็จำไม่ได้แล้ว 

และหลังจากวันนั้น เขาก็ไม่สบายต่อเนื่องไปสิบกว่าวัน นั่นเป็นความทุกข์ทรมานเกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะรับได้

เซเชียนฝันร้ายตลอดเวลาที่นอนซมเพราะพิษไข้ เงาร่างสีดำที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ตัวโตๆ ต่างล้อมรอบตัวเขา เส้นผมสีเงินแปรเปลี่ยนเป็นงูเลื้อยคดเคี้ยว ดวงตาสีแดงเป็นประกายดูน่ากลัว

คนพวกนั้นกำลังคิดว่าจะกำจัดสิ่งอัปมงคลและไร้ประโยชน์นี้อย่างไรดี ฆ่า? ลอบสังหาร? พิษโอสถ? จัดฉากว่าเป็นอุบัติเหตุ? ล้วนมีเพียงความปรารถนาที่จะกำจัดออกไปให้พ้นตา เพราะไม่อยากเห็นเจ้าตัวสกปรกตัวนี้

ในตอนนั้นเซเชียนไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงถูกรังเกียจนักหนา เชื้อพระวงศ์ที่มีเส้นผมสีดำอัปมงคล ความอัปยศของราชวงศ์ องค์ชายเลือดผสมที่จะอยู่ก็ไม่ได้จะฆ่าก็ไม่ได้ 

เซเชียนไม่ต้องการดวงตาอัญมณี หากไม่ใช่เพราะดวงตาคู่นี้ ท่านแม่ของเขาก็คงไม่ต้องตาย และเขาเองก็จะได้เติบโตมาอย่างสามัญชนทั่วไป จะได้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายในใจคนเหล่านั้น ไม่ต้องฝันร้ายและทุกข์ทรมาน

ไม่ว่าเมื่อไรความฝันที่ถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่เกลียดชังตนและอยากจะฆ่าให้ตายนั้นก็น่ากลัวเสมอ ลำคอถูกบีบรัดด้วยความหวาดกลัวที่ไม่รู้ว่าจะถูกสังหารเมื่อใด

น่ากลัวเหลือเกิน...แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงฝันร้าย ทว่าเพราะไม่อาจหลุดพ้นจากฝันนั้นได้ มันจึงยิ่งทรมาน 

“ท่านเซเชียน ท่านเซเชียน ตื่นเถิดขอรับ ท่านเซเชียน”

เซเชียนลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงปลุกพร้อมกับแรงเขย่าที่ไหล่ ดวงตาสีแดงที่จ้องมองเขาราวกับจะกลืนกินจางหายไป แล้วแทนที่ด้วยใบหน้าเป็นกังวลของจาเยริน

“บ่าวได้ยินเสียงครวญจึงเข้ามาปลุก ฝันร้ายหรือขอรับ”

“อา อื้ม ข้าตื่นแล้ว”

เซเชียนจับมือของจาเยรินที่ลูบอยู่บนไหล่ตนเบาๆ ก่อนจะยันตัวขึ้นนั่ง ฝันร้ายเฮงซวย เซเชียนเช็ดเหงื่อพลางปรับลมหายใจ จากนั้นจาเยรินก็ยื่นน้ำมาให้ เซเชียนรับมาดื่มรวดเดียวจนหมด 

“เฮ้อ ข้าไม่อยากไปเลย”

ลมหายใจหนักๆ พรูออกมาจากริมฝีปากของเซเชียนที่ส่งถ้วยคืนจาเยริน วันนี้ต้องไปที่พระราชวัง มันเท่ากับว่าเซเชียนต้องไปพบต้นเหตุแห่งฝันร้ายพวกนั้น ขณะที่คิดว่าไม่อยากไปก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น อายุยี่สิบสามแล้วยังฝันร้ายเพราะเรื่องพวกนั้นอีกหรือ

“อาจจะเร็วไปหน่อย แต่ท่านจะลุกเลยหรือไม่ขอรับ”

จาเยรินถามอย่างเย็นชา เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เซเชียนจึงรู้สึกเศร้าที่ตอนนี้จาเยรินไม่แม้แต่จะถามแล้วว่าตนเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งที่เมื่อครั้งยังเด็กหากเซเชียนฝันร้ายจาเยรินก็จะคอยจับมือตนไว้เสมอ

“ข้าจะนอนต่อ พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย”

เซเชียนดึงผ้าห่มขึ้นมาก่อนล้มตัวลงนอน [I]หากเจ้าเดินออกไปทั้งอย่างนี้ข้าจะโกรธแล้วจริงๆ [I]ในใจของเซเชียนโกรธขึง

“เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”

“เพิ่งนึกได้หรือว่าต้องถาม ข้าไม่เป็นไร แค่อยากนอนต่อ ฉะนั้นอยู่ข้างๆ จนกว่าข้าจะหลับที”

“บ่าวต้องทำงานขอรับ”

“ข้ารู้ เลยบอกให้อยู่ถึงแค่ตอนที่ข้าหลับไงเล่า แต่บางทีอาจจะฝันอีกระหว่างที่เจ้าทำงานบ้าน เข้ามาดูข้าบ่อยๆ ด้วย”

เซเชียนรู้ดีว่าตนกำลังเอาแต่ใจ จาเยรินที่เป็นคนรับใช้ในบ้านเพียงคนเดียวนั้นยุ่งแสนยุ่ง แม้เซเชียนบอกว่าจะช่วย แต่ส่วนใหญ่ทั้งการทำอาหาร ทำความสะอาด ไปจนถึงการดูแลสวนก็เป็นหน้าที่ของจาเยรินทั้งหมด งานเยอะเสียจนต้องตื่นมาทำตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น 

ถึงอย่างนั้นเซเชียนก็ยังทำตัวเหมือนเด็ก เพราะรู้ว่าท้ายที่สุดจาเยรินก็จะยอมแพ้ตน ความต่างทางสถานะนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ เติบโตมาด้วยกัน หัวเราะร้องไห้มาด้วยกัน แม้จาเยรินจะใช้คำสุภาพกับเซเชียนอย่างเคร่งครัด ทว่าพวกเขาทั้งสองก็ไม่ต่างอะไรกับพี่น้อง คำบ่นมากมายเหล่านั้นแท้จริงก็คือความอ่อนโยนที่มอบให้กัน 

“เข้าใจแล้วขอรับ”

จาเยรินนั่งบนเก้าอี้ข้างตั่งนอนโดยไม่แสดงอาการไม่พอใจใดๆ เซเชียนนอนลงไปพร้อมกับพลิกตัวยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม [I]ชนะแล้ว[I] แม้จะดูเป็นการกระทำแบบเด็กๆ แต่เซเชียนก็หลับตาลงด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เซเชียนที่หลับลึกอย่างรวดเร็วไม่อาจรู้ได้เลยว่าจาเยรินลุกออกไปตั้งแต่เมื่อใด และไม่รับรู้ถึงสัมผัสที่ลูบลงมาบนศีรษะ รวมถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยคู่นั้นด้วย

 

เซเชียนไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนคลาคล่ำ โดยเฉพาะที่ที่มีเหล่าเชื้อพระวงศ์มารวมตัวกันนั้นยิ่งไม่ชอบมากที่สุด เซเชียนจำเป็นต้องตั้งสติให้มาก เมื่อตนเป็นคนเดียวที่มีเส้นผมสีดำราวกับอีกาท่ามกลางเส้นผมสีเงินเป็นประกาย โดยเฉพาะการที่ต้องเอาชนะสายตาของคนพวกนั้นที่มองมายังตน ก็ยิ่งต้องประคองสติให้มั่น

เซเชียนที่มีดวงตาอัญมณีจะมองเห็นความรู้สึกของมนุษย์เป็นสีสันหลากหลาย มันคือความสามารถที่เกิดขึ้นหลังจากล้มป่วยหลังเข้าร่วมพิธีรวมญาติในครั้งนั้น เซเชียนจึงสามารถเข้าใจความรู้สึกที่ผู้อื่นมีต่อตนได้อย่างง่ายดาย สีแดงและสีดำที่วนเวียนไปมาคือจิตใจมุ่งร้ายซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยาม เซเชียนกลัวแสนกลัวเมื่อคนพวกนั้นกลายเป็นดั่งดาบที่มองไม่เห็น และพุ่งตรงมายังตน 

แต่โชคดีที่วันนี้ความสนใจของคนพวกนั้นไปอยู่ที่จุดอื่น 

ขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหาร และเชื้อพระวงศ์ต่างมารวมตัวกันในพระราชวังเพื่อต้อนรับราชทูตที่มาจากรังคุน พระราชาและราชทูตยังไม่ปรากฏตัว แต่ละคนจึงกระซิบกระซาบพูดคุยกันถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ทางขวาเป็นเชื้อพระวงศ์ ส่วนทางซ้ายเป็นเสนาบดีขั้นต่างๆ นั่งเรียงยาวออกมาราวกับปีกโดยมีบัลลังก์เป็นศูนย์กลาง ส่วนเซเชียนนั้น แม้จะเป็นองค์ชายแต่ก็ออกไปอยู่นอกวังแล้ว จึงได้ยืนอยู่ปลายสุดของแถว ทำให้มองเห็นภายในพระราชวังได้ทั่วทั้งหมด 

เซเชียนที่กำลังมองพิจารณาคนเหล่านั้นรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป เชื้อพระวงศ์มีจำนวนมากมายนัก นับด้วยตาแล้วส่วนมากจะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในเมืองหลวง ประมาณหนึ่งร้อยคน

หากเป็นเพียงการต้อนรับคณะทูตจากรังคุนไม่ใช่งานเลี้ยงต้อนรับ เชื้อพระวงศ์ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม โดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์เลือดผสมอย่างเขาที่ไม่มีกระทั่งตำแหน่งใดๆ ยิ่งไม่จำเป็น แต่กลับมีรับสั่งของพระราชาว่าเขาต้องมาเข้าร่วมให้ได้และที่แปลกที่สุดก็คือการที่คิวโอเรนที่ได้ยินมาว่าทำการอดอาหารหลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบจากพระราชาก็อยู่ที่นี่ด้วย หากเป็นนิสัยในยามปกติของนางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรับสั่งของพระราชาหรือใครก็ตาม นางจะนอนซมอยู่บนตั่งนอนโดยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ 

“แปลกใช่หรือไม่”

ขณะที่เซเชียนโคลงศีรษะด้วยความฉงน เทชินที่มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างก็ชวนคุยขึ้นมา เป็นเทชินที่ไม่ได้อยู่ในพระราชวังจนถึงเมื่อครู่นั่นเอง 

“กระหม่อมคิดว่าท่านจะไม่มาเสียอีก”

“ทำไม่ได้น่ะสิ มีรับสั่งลงไปว่าเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในเมืองหลวงทุกคนต้องมาเข้าร่วมโดยไม่มีแบ่งแยก”

“ข้าทราบ”

“ข้าเองก็เพิ่งได้ยินตอนที่เดินทางมา ว่านี่เป็นคำขอจากรังคุนที่ให้เชิญเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงมาทั้งหมด” 

“เช่นนั้นหรือ?”

“เห็นว่าจะขานนามผู้ที่จะสู่ขอที่นี่”

“...!”

“ตกใจใช่ไหมเล่า”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เซเชียนเบิกตาโต เขาต้องตกใจอยู่แล้ว [I]ขานนามผู้ที่จะสู่ขอหรือ[I]

ขั้นตอนพิธีอภิเษกสมรสของพระบรมวงศานุวงศ์ไม่ได้แตกต่างจากขั้นตอนการสมรสทั่วไปมากนัก โดยเริ่มจากการขอพระราชทานสมรสจากพระราชาเสียก่อน และเมื่อได้รับการเห็นชอบจากพระองค์แล้วจึงจะสามารถตระเตรียมพิธีต่อไปได้ ลำดับขั้นตอนยังคงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจะมีการตัดสินใจไปก่อนที่พระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสจะมาถึงก็ตาม แน่นอนว่าความคิดเห็นขององค์หญิงซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก 

ทว่านี่ยังไม่ได้กำหนดผู้ที่จะสู่ขออย่างนั้นหรือ แล้วยังจะมาประกาศ ณ ที่แห่งนี้เสียด้วย 

เห็นชัดถึงเจตนาที่ต้องการประกาศคู่สมรสในสถานที่ที่มีผู้คนมารวมตัวกันเช่นนี้ นั่นก็เพื่อไม่ให้ปฏิเสธได้โดยใช้คนจำนวนมากเป็นพยาน เพราะมียูสตันเป็นตัวประกัน ดังนั้นหากเป็นคนที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากก็จะไม่อาจปฏิเสธได้

“ช่างมีความรอบคอบยิ่งนัก”

“เจตนาของพวกเขาคืออะไร ข้าไม่เข้าใจเลย”

“สุดท้ายแล้วก็คือองค์หญิงมุนกยองหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”

เซเชียนหรี่ตาลงพลางมองไปยังคิวโอเรน ดูเหมือนว่าเรื่องที่เทชินได้ยินมาจะแพร่สะพัดไปทั่วพระราชวังนี้แล้ว ใบหน้าของคิวโอเรนเองก็ขาวซีดเพราะรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ดังกล่าว เซเชียนไม่รู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าโชคชะตาของนางช่างน่าตลกเหลือเกิน

ขณะที่ภายในพระราชวังกำลังจอแจ ข้ารับใช้ในท้องพระโรงก็ประกาศว่าพระราชาเสด็จแล้ว เหล่าเชื้อพระวงศ์และเสนาบดีทั้งหมดจึงโค้งคำนับ 

เมื่อพระราชาโรมัลชวินนั่งลงบนบัลลังก์ คณะผู้แทนพระองค์จำนวนมากของรังคุนก็ปรากฏตัว ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเป็นชายวัยกลางคนที่มีเส้นผมสีขาวอยู่ประปรายและมีท่าทีสุภาพอ่อนโยน เขาคือราชทูตจากรังคุน จากนั้นก็มีชายหนุ่มจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมหีบขนาดใหญ่ในมือ เซเชียนรู้โดยทันทีว่าหีบพวกนั้นก็คือของหมั้นหมาย 

ดูท่าคงจะตัดสินใจมาแล้วจริงๆ ภายในพระราชวังเกิดความวุ่นวายเล็กๆ เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่ากล่องพวกนั้นคือของหมั้น 

เมื่อประตูถูกปิดลงหลังจากที่คณะของรังคุนเข้ามาจนหมด ราชทูตที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ก่อนจะถวายบังคมแก่พระราชาโรมัลชวิน 

“กระหม่อมโยเมรุน เคลพุชจากรังคุน ขอถวายบังคมองค์ราชาแห่งเชาหลันพ่ะย่ะค่ะ”

เป็นการถวายบังคมที่เหมาะสมโดยไม่มากหรือน้อยเกินไป เซเชียนที่ยืนอยู่ปลายสุดของแถวเห็นเพียงภาพด้านหลังของโยเมรุนเท่านั้น จึงพอได้มองพินิจท่าทางของอีกฝ่ายแทนการมองสีหน้าโดยตรง รูปร่างภายนอกผอมโปร่งดูราวกับขุนนางฝ่ายบุ๋นทั่วไป แต่เมื่อได้เห็นฝีเท้าของอีกฝ่ายแล้ว ก็พบว่าท่านผู้นี้จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้คนหนึ่งอย่างแน่นอน 

เซเชียนลอบสังเกตคนที่ถือกล่องเข้ามาอย่างระมัดระวัง บุรุษที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นล้วนเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวยากที่จะเรียกว่าเป็นข้ารับใช้ แม้จะสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายธรรมดาๆ ทว่ารูปร่างที่แข็งแกร่งบึกบึนและบุคลิกภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้นเหมือนไม่ใช่ข้ารับใช้ธรรมดาทั่วไป แต่ดูราวกับทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี 

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ดวงตาอัญมณีมองเห็นก็ดูต่างออกไป รอบตัวผู้คนที่กำลังก้มศีรษะอยู่นั้นมีไอสีเทาประกายฟ้าเข้มข้นปรากฏให้เห็น โดยที่สีเทาประกายฟ้าหมายถึงความกระสับกระส่ายและความกังวล ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะกังวลเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพระราชาของอาณาจักรอื่น ทว่าความกังวลนั้นดูเหมือนจะมีมากจนเกินเหตุคนพวกนั้นมีแผนการใดกันแน่ ทั้งราชทูตและข้ารับใช้ที่ติดตามมาล้วนปราศจากอาวุธ แม้ไม่ได้แสดงความเกลียดชังให้เห็น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเหล่านี้จะเดิมพันด้วยชีวิตแล้วเข้าจู่โจมและลอบสังหารขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหาร รวมไปถึงพระราชาของเชาหลัน อีกทั้งหากรังคุนรุกรานเข้ามาในเวลาเดียวกับที่มีการลอบสังหารบุคคลสำคัญของเชาหลันแล้วละก็ เชาหลันที่สูญเสียศูนย์กลางสำคัญของอาณาจักรไปก็จะสิ้นท่าในที่สุด 

เซเชียนสันนิษฐานไปในทางเลวร้ายพลางเดาะลิ้น รู้ดีว่าความคิดของตนไร้สาระที่สุด คนพวกนั้นกังวลถึงเพียงนั้นก็หมายความว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน 

เซเชียนย้ายสายตาไปยังกลุ่มคนที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ด้านหลังสุดของคณะทูต คนพวกนั้นยืนแยกซ้ายขวาหันหน้าเข้าหากัน ต่างจากข้ารับใช้ที่กำลังคุกเข่าอยู่ และพวกเขาทั้งหมดเองก็เป็นบุรุษวัยฉกรรจ์เช่นเดียวกับผู้ติดตามคนอื่นๆ ของราชทูต

นับรวมแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน ทางฝั่งของเซเชียนดูสงบนิ่งกว่า เซเชียนที่ลอบสังเกตคนเหล่านี้อย่างเงียบๆ ก็ได้ประสานสายตากับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงข้ามเข้าพอดี เพราะทางฝั่งนั้นก็เขม็งมองทางนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันและกัน [I]สบตากันจนได้[I] เซเชียนพลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด นานมาแล้วเขาก็เคยรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ทว่าต่อให้พยายามครุ่นคิดเพียงใดก็คิดไม่ออก 

เซเชียนลอบมองชายคนนั้นช้าๆ ขณะที่เบนสายตากลับมา ผู้ที่ยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์นั้นมีหน้าตาหล่อเหลางดงาม ดวงตาที่จ้องมองมาก็ดูแปลกประหลาด ดวงตาข้างซ้ายที่แดดตกกระทบเป็นสีฟ้าอมเขียวเข้ม ทว่าข้างขวากลับเป็นสีดำ หรือบางทีอาจเพราะสีฟ้าอมเขียวนั้นเข้มเกินไปจนทำให้มองดูคล้ายสีดำก็เป็นได้

ขณะที่กำลังคิดว่ามีดวงตาแบบนั้นอยู่ด้วยหรือ เซเชียนก็พลันรู้ตัวว่าชายคนนั้นคงจะเห็นดวงตาของตนเข้าแล้ว หากถามถึงความแปลก ก็คงเป็นดวงตาของตนที่แปลกยิ่งกว่า นอกจากนี้ยังยิ่งสะดุดตา เมื่อตนเป็นคนเดียวที่มีเส้นผมสีดำท่ามกลางเส้นผมสีเงิน เพราะอย่างนั้นถึงได้มองมาหรือ... 

เซเชียนเผลอเอียงคอโดยไม่รู้ตัว ชายคนนั้นขมวดคิ้วอย่างน่าสงสัย ก่อนจะค่อยๆ หันหน้าไปอีกทาง

แม้จะพูดไม่ได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาท แต่ก็มากพอที่ทำให้รู้สึกถูกมองข้าม เซเชียนพลันรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็มองทางนี้ไม่วางตาแท้ๆ แล้วทำไมถึงได้ทำท่าทางเช่นนั้นกัน ดวงตาอัญมณีก็เป็นของแปลกสำหรับคนอาณาจักรอื่นอย่างนั้นหรือ เซเชียนที่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจก้มหน้าพลางพึมพำ 

ขณะที่เซเชียนสนใจอย่างอื่นอยู่นั้น ราชทูตของรังคุนที่ถวายบังคมตามพิธีการเสร็จสิ้นแล้วก็เปิดประเด็นสำคัญขึ้นมา 

“ปีนี้ท่านยาชแบร์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรรังคุนทรงมีพระชนมพรรษายี่สิบสามพรรษาและยังไม่ได้เข้าพิธีราชาภิเษกสมรส พระองค์ทั้งองอาจและมีชีวิตชีวาพร้อมด้วยรูปโฉมงดงาม”

เมื่อโยเมรุนที่กล่าวเยินยอพระราชาของตนทำสัญญาณมือ ข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านข้างก็คลี่ม้วนกระดาษขนาดใหญ่ออก ม้วนกระดาษถูกคลี่ออกไปยังเบื้องหน้าของพระราชา ทำให้ตำแหน่งที่เซเชียนยืนอยู่นั้นมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่บนแผ่นกระดาษ 

บนม้วนกระดาษเป็นภาพวาดครึ่งตัวของชายคนหนึ่งที่ถูกวาดด้วยน้ำหมึก หากจะบอกว่าหล่อเหลาก็หล่อเหลาอยู่ ทว่าภาพวาดไม่มีทางเหมือนตัวจริง ฉะนั้นแค่เพียงได้เห็นรูปวาดจึงไม่อาจตัดสินได้ 

“วันนี้กระหม่อมเป็นตัวแทนของท่านยาชแบร์ องค์ราชาของกระหม่อมเพื่อส่งพระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสแก่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ และนี่คือของหมั้นที่ท่านยาชแบร์มอบให้พ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นคำพูดฝาของหีบขนาดใหญ่ก็ถูกเปิดออก ด้านในเต็มไปด้วยผ้าแพรและอัญมณีหลากชนิด เสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นจากตรงนั้นทีตรงนี้ที แม้แต่เซเชียนยังมองว่ามันคือของขวัญที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

“เป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ทำให้สัมผัสถึงความรู้สึกของพระราชายาชแบร์ได้ดียิ่ง เพียงแต่ยังมิรู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด จะไม่กล่าวถึงเจ้าของของหมั้นนี้หน่อยหรือ”

บรรยากาศโดยรอบเริ่มตึงเครียดเมื่อพระราชารับสั่งให้ประกาศนามของผู้ที่จะขออภิเษกสมรส เซเชียนยิ้มเล็กน้อยขณะมองไปยังคิวโอเรนที่ยืนสั่นจนดูน่าสงสารอยู่ด้านล่างของบัลลังก์ ท่าทางที่กำลังกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวนั้นราวกับจะหมดสติได้ทุกเมื่อ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน เซเชียนคิดอย่างไม่อินังขังขอบเพราะไม่ใช่เรื่องของตน เพราะนี่เป็นพระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสที่ได้รับต่อหน้าผู้คนมากมาย ซ้ำยังเป็นการอภิเษกสมรสระหว่างสองอาณาจักร จึงยิ่งไม่อาจปฏิเสธได้ แม้ว่านางจะเป็นเจ้าหญิงที่สองที่ได้รับความรักอย่างล้นเหลือจากพระราชาก็ตาม

โยเมรุน ราชทูตของรังคุนหยิบเอากระดาษที่ถูกเคลือบด้วยทองแผ่นออกมาจากอกเสื้อ

“สิ่งนี้เป็นพระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสที่ท่านยาชแบร์มอบให้แก่ท่านเซเชียน คานิปชวอร์ หลัน เชา แห่งอาณาจักรเชาหลันพ่ะย่ะค่ะ”

แม้ว่าโยเมรุนจะยื่นพระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสออกมาเบื้องหน้าแล้ว แต่กลับไม่มีใครมารับมันไป ความเงียบอันน่าหนักอึ้งโรยตัวปกคลุมทั่วบริเวณ ทุกคนต่างสอดส่ายสายตาหาเซเชียนด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึงว่าชื่อนั้นจะออกมาจากปากของราชทูต

ถึงจะมีสายตาหลายสิบคู่จ้องมองมา แต่เซเชียนก็ไม่สามารถหลุดออกจากความตะลึงงันนี้ได้ เขาพลันสงสัยว่าตนหูฝาดไปหรืออย่างไร 

ณ ที่แห่งนี้ผู้ที่สามารถเอ่ยถามความจริงได้มีเพียงพระราชาเท่านั้น 

“เราได้ยินว่าเซเชียน คานิปชวอร์...ท่านราชทูต ท่านกล่าวนามถูกแล้วหรือ”

สีหน้าของพระราชาที่เอ่ยถามออกไปนั้นดูเคร่งเครียด พระองค์เองก็คิดว่าตนได้ยินผิดไป

“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ โปรดดูที่พระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสพ่ะย่ะค่ะ”

ในตอนนั้นเอง ขุนนางคนหนึ่งจึงได้รับเอาหนังสือฉบับนั้นมาแล้วนำไปถวายแก่พระราชาโรมัลชวิน ครั้นสีหน้าของพระราชาที่อ่านข้อความในหนังสือฉบับนั้นเคร่งเครียดขึ้น ผู้คนโดยรอบก็เริ่มส่งเสียงขึ้นมา เหงื่อกาฬไหลท่วมแผ่นหลังของเซเชียนเมื่อถูกสายตาของแต่ละคนจับจ้อง 

[I]เป็นข้าจริงๆ หรือ...ข้าน่ะหรือ[I] ขาของเซเชียนสั่นเทาด้วยความสับสน แต่ก็ได้เทชินที่ยืนอยู่ข้างๆ ตบหลังเบาๆ 

“ใจเย็นๆ”

คำเตือนสั้นๆ ทำให้เซเชียนได้สติ เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ พระราชาโรมัลชวินกำสาสน์ขออภิเษกสมรสไว้ในมือพลางจ้องมองราชทูตที่อยู่เบื้องหน้า 

“ในหนังสือเป็นนามของเซเชียน คานิปชวอร์อย่างที่ท่านราชทูตกล่าว แต่เราคิดว่าคงมีบางอย่างผิดพลาด ท่านทราบหรือไม่ว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษ”

“ทราบพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นกษัตริย์ของรังคุนเป็นสตรีหรือ”

“เป็นบุรุษพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ทำเพื่อให้เราอับอายหรือ บุรุษจะอภิเษกสมรสให้แก่บุรุษด้วยกันได้อย่างไร”

สีหน้าของพระราชาโรมัลชวินฉุนเฉียวขึ้น ที่เชาหลันการแต่งงานระหว่างบุรุษเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แม้จะมีข่าวลือว่าคนที่มีรสนิยมแปลกๆ จะชมชอบคนเพศเดียวกัน หรือไม่ก็มีนายบำเรอชายไว้ปรนนิบัติ แต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น จึงเป็นธรรมดาที่พระราชาซึ่งได้รับสาสน์ขออภิเษกสมรสต่อหน้าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายจะต้องเดือดดาล ทว่าโยเมรุนยังคงสงบนิ่ง

“ขอพระองค์ทรงอย่าพิโรธพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ทรงเข้าพระทัยผิดไป ที่รังคุนราชินีไม่ได้แบ่งแยกเพศ ทว่าตำแหน่งนี้จะถูกตัดสินด้วยประกาศิตจากเทพมังกร และท่านเซเชียน คานิปชวอร์ หลัน เชาได้รับเลือกให้เป็นคู่ครองของท่านยาชแบร์พ่ะย่ะค่ะ”

คำอธิบายของโยเมรุนได้เปิดเผยสาเหตุที่รังคุนต้องลงทุนลงแรงทำถึงเพียงนี้เพื่อขออภิเษกสมรส หากไม่ยึดเมืองยูสตัน เชาหลันก็จะไม่สนใจสาสน์ขออภิเษกสมรสของรังคุน แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมรับ เมื่อพวกเขาสู่ขอองค์ชายไม่ใช่องค์หญิง 

หากถูกขออภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการต่อหน้าผู้คนมากมาย และมียูสตันเป็นตัวประกันแล้ว ก็ยากที่จะหาเหตุผลมาปฏิเสธ ทั้งยังเป็นเทวบัญชาก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก แม้ว่าจะขัดต่อประเพณีของเชาหลัน แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว 

แม้จะสับสนแต่เซเชียนก็เข้าใจถึงความจริงข้อนั้นเป็นอย่างดี ชาวรังคุนนับถือเทพมังกรที่หลับใหลอยู่ใต้ทะเลสาบไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกว่าเป็นคู่ครองของพระราชาด้วย...[I]ข้าเนี่ยนะ[I] เซเชียนหันไปมองเทชินทันที ใบหน้าของเทชินเองก็ยับย่นไม่น่ามอง ใบหน้าของเขาเองก็คงไม่ต่างกัน เซเชียนยกมือลูบแก้มตนเบาๆ เขารู้สึกราวกับว่าเป็นความฝัน

[I]ข้าต้องสมรสกับบุรุษหรือ[I]

เซเชียนอดกลั้นต่อบรรยากาศเย็นยะเยือกนี้ มองพระราชาผู้ที่จะตัดสินชะตาชีวิตของตน ไม่เพียงเซเชียน ทั้งหูและตาของทุกคนที่อยู่ในพระราชวังล้วนจับจ้องไปยังพระราชาโรมัลชวิน พระราชาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำ

“ด้วยเป็นการสู่ขอเพื่อรับรองความจริงใจของสองอาณาจักร เราจึงต้องตัดสินใจให้ถี่ถ้วน เห็นชัดว่าองค์ชายวอนรยุนเป็นบุรุษ เราคงต้องถามความคิดเห็นของเขาก่อนที่จะตัดสินใจ...องค์ชายวอนรยุน เจ้าคิดเห็นอย่างไร”

เซเชียนที่กำลังเคร่งเครียดถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอกับคำถามที่ไม่คาดคิด เซเชียนไม่อาจรู้ถึงเจตนาที่จู่ๆ พระราชาโรมัลชวินก็ถามความเห็นของเขาเลยแม้แต่น้อย

หากพูดอย่างเด็ดขาดว่าไม่ได้ การสู่ขอนี้ก็อาจจะถูกยกเลิกไป แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะไม่ได้ยูสตันกลับคืน ในทางตรงข้ามหากตอบตกลงก็จะขัดต่อประเพณีของอาณาจักร สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเห็นของเขาเลย 

เมื่อตระหนักได้ว่านี่คือหลุมพราง เซเชียนก็พลันถอนหายใจออกมา แม้จะรู้มานานแล้วว่าพระราชาไม่ได้พึงใจตนเท่าไรนัก แต่ไม่นึกว่าจะผลักไสให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบากเช่นนี้ ในเมื่อไร้หนทางแล้วยังจะสั่งให้เลือกสิ่งใดกันเล่า

เซเชียนวางสองมือทับกันบนหน้าท้อง ก่อนจะค้อมตัวไปทางพระราชาช้าๆ

“กระหม่อมเซเชียน คานิปชวอร์ หลัน เชา ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ขอกราบทูลว่ากระหม่อมพร้อมที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์เสมอ โปรดรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

คำตอบนั้นแสนง่าย ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของพระราชา เซเชียนรอพระราชโองการด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แม้ความเป็นไปได้จะเล็กน้อย แต่เซเชียนก็ยังภาวนาอย่างแรงกล้าให้พระองค์ปฏิเสธการสู่ขอครั้งนี้

“แม้ว่าที่เชาหลันจะไม่มีธรรมเนียมนี้ แต่ก็เป็นพระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการที่พระราชาของรังคุนส่งมา ทั้งยังเป็นเทวบัญชา เช่นนั้น เราขอประกาศว่า เรายอมรับสาสน์ขออภิเษกสมรสที่ราชายาชแบร์ส่งมา การสู่ขอครั้งนี้จะเป็นรากฐานในการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรของรังคุนและเชาหลันสืบต่อไป”เมื่อพระราชามีพระราชโองการลงมา โยเมรุนก็ค้อมตัวถวายความเคารพ ทว่าภายในพระราชวังกลับไม่มีใครเอ่ยแสดงความยินดีออกมาแม้แต่คนเดียว เซเชียนหลับตาลงภายใต้ความเงียบงัน ภาวนาให้ช่วงเวลานี้เป็นเพียงภาพฝัน 

 

เซเชียนเหม่อมองออกไปยังสวนที่สะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ สวนในวังเต็มไปด้วยดอกไม้งามนานาพันธุ์ บุปผาหลากสีสันที่เบ่งบานอยู่นั้นกำลังโอ้อวดความงดงามของวสันตฤดู ที่แห่งนี้ดูคล้ายสวนสวรรค์เมื่อเทียบกับบ้านของตนที่มีแต่พืชผักสวนครัวไร้ความสง่างาม

ผักกาดหอมในสวนก็โตขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว ได้เวลาต้องถอนเสียที กระเทียมเองก็ใกล้จะได้เวลาต้องเก็บแล้ว จะว่าไปคงต้องขายบ้านด้วย หากไปรังคุนแล้วบ้านที่อยู่ในเมืองก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ของที่ควรขายก็ต้องขาย แต่จะมีเวลาหรือเปล่า…เดี๋ยวสิ ถ้าจะขาย สู้มอบให้จาเยรินเสียดีกว่า เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมอบของดีๆ ให้เขาเลย ของที่ต้องนำติดตัวไปด้วยก็ไม่ได้มีมากนัก ดังนั้นให้จาเยรินหมดเลยแล้วกัน

เซเชียนที่คิดมาจนถึงตรงนี้ก็พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความคิดที่อยากจะไปหาของที่เปลี่ยนเป็นเงินได้มาเยอะๆ แล้วก็หนีไปเสียเดี๋ยวนี้อัดแน่นอยู่เต็มอก ทว่าเซเชียนก็ไม่ได้โง่เขลาจนถึงกับเอาแต่คิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นานมาแล้วที่เซเชียนได้เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพราะมีชีวิตอยู่อย่างอับโชคมาโดยตลอด

ทันทีที่การต้อนรับคณะทูตจากรังคุนจบลง ขันทีก็พาเซเชียนมายังเรือนรับรอง ด้านนอกมีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ แม้จะบอกไปแล้วว่ามีเรื่องที่ต้องกลับไปจัดการที่บ้าน ทว่าอีกฝ่ายก็เอาแต่บอกให้คอยเท่านั้นเพราะเป็นรับสั่งของพระราชา ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการถูกคุมตัว

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากคิดหนีก็เป็นตนเองที่โง่เขลา

“เซเชียน”

เซเชียนหันกลับไปมองตามเสียงเรียก เป็นเทชินนั่นเอง เซเชียนตกใจจนดวงตาเบิกโต เพราะด้านนอกมีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ จึงไม่มีใครเข้ามาได้

“ขะ เข้ามาได้อย่างไรกัน”

“เพราะเป็นห่วงอย่างไรเล่า”

แม้เทชินจะตบไหล่พลางถามว่าเป็นอย่างไร แต่เซเชียนกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความจริง 

“ตะ แต่ว่า ด้านนอกมีทหารองครักษ์”

“พวกนั้นนับเป็นอะไรได้ เจ้าเถอะ เซเชียน ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ข้า...เป็น”

เซเชียนตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง แม้จะคอยปลอบตัวเองว่าต้องไม่เป็นไร แต่นั่นก็เป็นเพียงการหลอกตัวเองเท่านั้น เขาต้องแต่งงานกับบุรุษ มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ง่ายๆ เลย 

ขณะที่สีหน้าของเซเชียนไม่สู้ดี เทชินที่มีสีหน้าเคร่งเครียดก็โน้มตัวลงมากระซิบเสียงเบา

“หนีไป”

“...!”

“ที่บอกว่าเทวบัญชาให้บุรุษเป็นราชินีคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เจ้าหนีไปเถอะ”

น้ำเสียงของเทชินจริงจัง เซเชียนขนลุกชันพร้อมกับตัวสั่นเทาเล็กน้อย เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อสายตา [I]หนีหรือ[I] เทชินพยักหน้าให้เซเชียน

“หากเป็นตอนนี้ข้ายังพอช่วยให้เจ้าหลบหนีออกไปได้ เจ้ามุ่งหน้าลงสู่ทิศใต้ ไปยังทะเลแดนใต้จากนั้นขึ้นเรือข้ามฝั่งไปรูรูบัน”

“ขะ ข้าไม่ใช่คนโง่นะ ถึงอย่างไรก็ต้องถูกจับแน่นอน ข้าไม่อาจเสี่ยงทำในสิ่งที่ไม่มีทางสำเร็จได้”

“ถึงถูกจับก็ไม่ถูกฆ่า ยูสตันยังอยู่ในมือคนพวกนั้น อีกอย่างเมื่อเทวบัญชาระบุมาเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางที่รังคุนจะเลือกเชื้อพระวงศ์องค์อื่น เจ้าต้องลองเสี่ยง แม้จะมีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่นก็ตาม”

“ไม่ ไม่มีทาง ฝ่าบาทจะต้องไม่อยู่เฉยแน่ ข้าอาจจะรอด แต่หากข้าถูกจับแล้วท่านเทชินเล่า จาเยรินก็ด้วย พวกท่านไม่มีทางหลีกเลี่ยงโทษทัณฑ์ได้ ฉะนั้นข้าจึงไม่อาจเสี่ยง”

เซเชียนส่ายหน้า แม้จะหวั่นไหวกับข้อเสนอของเทชิน แต่เขาก็เผชิญหน้ากับความจริงได้ในทันที 

พระราชาคือผู้ปกครองที่โหดเหี้ยม ถึงตนจะปลอดภัย ทว่าคนอื่นๆ รอบตัวจะต้องไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นสหายและครอบครัวสำหรับเซเชียน มีเพียงเทชินและจาเยรินเท่านั้น จะทำให้ทั้งสองต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายเพราะตนไม่ได้เป็นอันขาด

“เช่นนั้นก็หนีไปด้วยกัน”

“ไม่ได้ กระทั่งเมืองหลวงก็คงไม่สามารถหลุดออกไปได้ ข้ากับท่านเทชินสะดุดตาถึงเพียงนี้ กลับกันหากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหลบหนีไประหว่างที่เดินทางไปรังคุนยังจะดีเสียกว่า...”

เซเชียนพลันชะงักเมื่อตนเผยความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ระหว่างเดินทาง...?”

“ท่านเทชิน ไม่ใช่นะ นี่เป็นแค่คำพูดพล่อยๆ เท่านั้น”

“ไม่ เจ้าพูดถูก แบบนั้นดูจะมีความเป็นไปได้ยิ่งกว่า พอออกจากเชาหลัน ระหว่างที่อยู่ตรงเส้นพรมแดน หากเตรียมการดีๆ ละก็...ดี เจ้าจำที่ข้าบอกไว้ ส่วนเรื่องเตรียมการให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

“ข้าบอกว่าข้าแค่พูดคนเดียวไงเล่า”

เซเชียนห้ามเทชินไว้ เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแล้ว ทว่าเทชินกลับยิ่งฮึกเหิม

“ไม่เป็นไร เจ้าเชื่อข้า”

“ท่านเทชิน...”

“องค์ชายวอนซอน ได้เวลาต้องไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระองค์เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ขณะที่เซเชียนกำลังจะโน้มน้าวเทชิน เสียงของขันทีก็ดังขึ้นจากด้านนอกพอดี 

“ข้าต้องไปแล้ว เจ้ารอข้า เซเชียน เชื่อเพียงข้าก็พอ เข้าใจหรือไม่”

เซเชียนเพียงพยักหน้า ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะเทชินยืนกรานหนักแน่น เขาเชื่อเทชิน แต่ก็ไม่อาจสลัดความไม่สบายใจนี้ออกไปได้ เทชินยื่นมือออกมาลูบแก้มเซเชียน เมื่อเห็นสีหน้าเขาหม่นหมองลงเพราะจิตใจที่เป็นกังวล 

“อย่าทำสีหน้าเช่นนั้น ตัดสินใจให้แน่วแน่ พวกเขาบอกว่าทุกอย่างเร่งรีบไปหมดแปลว่าคงมีเรื่องให้เจ้าต้องทำอีกมาก”

“ขอบพระทัยท่านมาก”

“แล้วก็เซเชียน”

“หืม”

เซเชียนจ้องมองไปที่เทชิน เมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อตน แววตาของเซเชียนสั่นไหวด้วยความกังวล ท่าทางเช่นนี้ดูน่าสงสารเสียจนหัวใจของเทชินแทบขาดวิ่น 

เทชินยังมีบางอย่างที่อยากจะบอกแก่เซเชียน คำพูดที่เก็บไว้อยู่ภายในใจมาเนิ่นนาน ทว่าเทชินไม่อาจเพิ่มความกังวลให้กับคนที่กำลังสับสนในตอนนี้ได้ 

“หากท่านมีเรื่องจะกล่าว ก็กล่าวออกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ มีอะไรหรือ”

“ไม่มี ไม่ใช่คำที่ควรพูดในตอนนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ?”

เซเชียนเอียงศีรษะถามว่าเรื่องนั้นคือเรื่องอะไร ทว่าเทชินกลับตัดบท เพียงบอกให้เขาตัดสินใจให้แน่วแน่ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

เซเชียนมองตามแผ่นหลังของเทชินพร้อมกับยกมือลูบแก้มของตน แสงแห่งความปรารถนาดีส่องสว่างออกมาจากตัวเทชิน นั่นคือความเห็นใจและความรักอันลึกซึ้ง ข้างในใจพลันรู้สึกโล่งสบายขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับความอบอุ่นนี้ 

“องค์ชายวอนซอน ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ให้พระองค์เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่เทชินเดินออกไป ขันทีก็เข้ามาแจ้งว่าพระราชาทรงมีรับสั่งให้ตนเข้าเฝ้า เซเชียนกำมือแน่น

ใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เซเชียนตระหนักได้ ชีวิตที่ถูกมองข้ามเพราะถูกเรียกว่าองค์ชายเลือดผสมนั้นแสนลำบาก ทว่าก็ไม่มีใครที่ไหนจะสามารถใช้ชีวิตแทนตนได้ หากเอาแต่หดหัวอยู่กับที่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ แม้จะเจ็บปวด ทว่านั่นก็เป็นหน้าที่ของตน คติของเซเชียนก็คือทำสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้อย่างเต็มที่ 

ถึงจะหวาดหวั่นเพียงใดก็ต้องไปอยู่ดี เรื่องหลบหนีค่อยขบคิดอีกครั้งในภายหลัง

เซเชียนสูดหายใจเข้าลึกก่อนเดินออกไป

 

โรมัลชวิน เชมิน กษัตริย์องค์ที่ยี่สิบสามแห่งเชาหลันเกลียดชังเซเชียนเข้ากระดูกดำ การที่ต้องรับเซเชียนเป็นบุตรบุญธรรม และนำมาเลี้ยงดูในวังก็เป็นเพียงทางเลือกที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ดวงตาอัญมณีคือความโชคดี แต่เส้นผมสีดำที่เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเชื้อพระวงศ์คือสัญลักษณ์ของความโชคร้าย โรมัลชวินตระหนักรู้อย่างถ่องแท้ว่านั่นคือตัวตนที่จะก่อให้เกิดเภทภัย เขาถือว่าทุกเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในรัชสมัยที่ตนปกครองทั้งหมด ล้วนเป็นเพราะมีเชื้อพระวงศ์ผู้มีเส้นผมสีดำซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้เป็นการตัดสินโดยไร้เหตุผล แต่กระนั้น ก็ยากที่จะเปลี่ยนความเชื่อที่หยั่งรากลึกนี้ได้โดยง่าย 

หลายครั้งที่เกิดความคิดว่าจะสังหารคนผู้นี้ทิ้งไปเลยดีหรือไม่ ทว่าเพราะดวงตาอัญมณี จึงไม่อาจตัดสินใจอย่างหนักแน่นได้ 

โรมัลชวินมองเซเชียนซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าตนพลันนึกเสียใจขึ้นมา ไม่ว่าจะเพราะเทวบัญชาหรืออะไรก็ตาม ที่รังคุนเข้ายึดครองยูสตันอย่างบ้าระห่ำเช่นนี้ ต้นเหตุก็คือเซเชียนทั้งสิ้น 

หากสังหารทิ้งไปแต่แรกก็คงจะไม่เกิดความอัปยศอดสูเช่นนี้ขึ้น แม้จะเป็นเพียงเลือดผสม แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ต้องเดินทางไปต่างอาณาจักรเพื่อแลกกับการนำเมืองซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางกลับคืนมา ไม่เพียงแค่นั้นการที่ต้องส่งคนผู้นี้ไปเพื่อสมรสกับบุรุษ ก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก

มานึกเสียดายเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ในยามนี้เซเชียนไม่ได้ไร้ประโยชน์อีกต่อไป ค่อยจัดการเจ้าตัวอัปมงคลนี่หลังจากได้เมืองยูสตันกลับคืนมาจึงจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า 

การลอบสังหารบุคคลสำคัญที่อาณาจักรอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เงินและเวลามากทีเดียว ดังนั้นจะง่ายกว่าหากอำพรางโดยการทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดระหว่างเดินทางไปยังรังคุน เช่น เกิดการโจมตีของโจรที่ต้องการปล้นเครื่องบรรณาการ หรือการปรากฏตัวของอสูร

เซเชียนที่ก้มหน้าอยู่นั้นมองเห็นถึงความอาฆาตของพระราชาผู้ซึ่งกำลังวางแผนลอบสังหารตน แม้จะหลุบตาลงต่ำ ทว่าไออาฆาตสีแดงเข้มก็แผ่ออกมาจนถึงปลายเท้าของอีกฝ่าย 

เซเชียนเองก็เกลียดชังพระราชาเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายเกลียดชังตน เพราะเป็นตัวการที่ทำให้เขาต้องมีความทรงจำอันเลวร้าย 

เซเชียนเคยเข้าเฝ้าพระราชาเป็นการส่วนตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือในตอนฤดูหนาวที่เขาอายุได้สิบเอ็ดขวบ เซเชียนถูกเรียกไปที่ห้องส่วนพระองค์เพื่อพบกันตามลำพัง ในตอนนั้นเซเชียนยังคงคิดว่าบิดาของตนคือพระราชา แต่เพราะตนมีเส้นผมสีดำจึงต้องถูกนำไปเลี้ยงดูที่วังอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

เซเชียนเฝ้ารอที่จะพบบิดาด้วยความตื่นเต้น ทว่าพระราชาที่ประทับอยู่บนบัลลังก์กลับไม่กล่าวคำใดออกมาเลย แม้แต่รับสั่งให้นั่งลงก็ไม่มี เซเชียนจึงต้องยืนท่ามกลางความเงียบงันเป็นเวลานาน

กระทั่งตอนนี้เองก็จำไม่ได้แล้วว่ารออยู่นานเพียงใด ความเงียบงันอันหนักอึ้งจบลงเมื่อขันทีแจ้งว่าพระราชาทรงมีงานอื่นรออยู่ พระราชาจึงลุกขึ้น และในขณะที่เดินผ่านเขาไปก็เอ่ยออกมาว่า[I]‘เลือดผสมที่จะฆ่าก็ฆ่าไม่ได้’[I]

ความรู้สึกที่ขนลุกชันไปทั่วสรรพางค์กายเป็นเช่นไร เซเชียนได้รับรู้ในวันนั้นเอง ทั้งยังได้รู้ว่าพระราชารังเกียจชิงชังตนอย่างรุนแรง และหลังจากนั้นไม่นานเซเชียนก็ได้รู้ความจริงว่าตนไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของพระราชาด้วยการเปิดเผยของคิวโอเรน

สิ่งที่เชื่อมาจนถึงตอนนี้ล้วนเป็นเพียงคำหลอกลวง เสด็จพ่อผู้เป็นที่รักคือคนที่สังหารแม่แท้ๆ ของตน และตนก็ไม่ใช่องค์ชายสายเลือดแท้ แต่เป็นเพียงเลือดผสมอัปมงคล 

ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่เซเชียนจะกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับจุดที่ตนยืนอยู่ได้ อีกฝ่ายเป็นถึงกษัตริย์ แม้จะเกลียดชังมากเพียงใดก็ไม่มีที่ให้เขาได้วิงวอนร้องทุกข์

“ขอบใจเจ้าที่ทำเพื่ออาณาจักร”

ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินประโยคแสดงความขอบคุณ คำพูดเย็นชาที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ เจือปนอยู่ในนั้น เซเชียนพลันรู้สึกถึงความแสบร้อนบางอย่างที่พุ่งขึ้นมาจากภายใน

ตัดสินใจทำเพื่ออาณาจักรอะไรกัน ในสถานการณ์เช่นนั้นหากเขาปฏิเสธ อีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน กระทั่งตอนนี้เองก็เช่นกัน เซเชียนสะกดกลั้นความคับแค้นในอกแล้วก้มศีรษะลง 

“ตรัสชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ได้ตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เช่นนี้ นับเป็นเกียรติของกระหม่อม”

เซเชียนภูมิใจในตัวเองมากที่สามารถเอ่ยคำพูดประจบประแจงได้โดยไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะเซเชียนรู้ดีว่ายิ่งตนโค้งคำนับให้เท่าไร พระราชาก็จะยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการก็คือสภาพที่ไม่น่าดูและการกระทำราวกับคนโง่เขลาของตน

เซเชียนเฝ้ารอประโยคต่อไปของอีกฝ่าย เดิมทีนึกว่าจะโดนไล่ออกไป ทว่าพระราชากลับโยนหนังสือเล่มหนึ่งมาที่ปลายเท้าของเซเชียน ปกหนังสีแดงดูเก่าแก่และไร้ชื่อหนังสือ 

“สิ่งนั้นคืออะไรเจ้ารู้หรือไม่”

“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“มันเรียกว่าบันทึกแห่งการสรรค์สร้าง”

เซเชียนที่กำลังก้มศีรษะอยู่ตรงหน้าตัวแข็งค้างไปทั้งอย่างนั้น ในบันทึกแห่งการสรรค์สร้างซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือพยากรณ์ซึ่งบันทึกถ้อยคำของเทพแห่งการสรรค์สร้างนั้น ได้ระบุถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในภายภาคหน้าไว้ เป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติของเชาหลัน จึงมีเพียงพระราชา ผู้สืบทอด และนักบวชชั้นสูงที่นับถือทีรนผู้ซึ่งเป็นสุริยเทพ เพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถเปิดอ่านได้

เซเชียนมองเจตนาของพระราชาที่โยนบันทึกแห่งการสรรค์สร้างมายังปลายเท้าของตนไม่ออก 

“ดวงตาอัญมณีหยั่งรู้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นความสามารถที่ได้รับจากพระเจ้า และเป็นทั้งคำสาปแช่ง”

“...!”

“ในนั้นเขียนไว้ว่าดวงตาอัญมณีหยั่งรู้อนาคตได้ ทั้งความสามารถของผู้ครอบครองดวงตาอัญมณีในอดีตเองก็ถูกบันทึกไว้ตรงกับข้อความนั้น ด้วยเหตุนี้เจ้าถึงยังมีลมหายใจมาจนทุกวันนี้”

เซเชียนพลันขาสั่นเมื่อได้ยินเรื่องราวที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ดวงตาของตนสามารถมองเห็นอนาคตได้อย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นถึงมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้?

“ข้าตัดสินใจจะฆ่าเจ้า แต่เสด็จพ่อและนักบวชชั้นสูงคัดค้าน ด้วยเห็นว่าเจ้าจะกลายมาเป็นกำลังสำคัญของเชาหลัน ทว่าสุดท้ายเป็นข้าที่คิดถูก”

น้ำเสียงเย็นชาของพระราชามีความหมายเช่นไร เซเชียนเข้าใจได้ในทันที เป็นสิ่งที่ตนไม่เคยคาดคิดมาก่อน นี่หรือความหมายของเลือดผสมที่ไม่อาจกำจัดทิ้งได้ ความรู้สึกขณะที่ก้มศีรษะและยืนอยู่เบื้องหน้าผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จที่อยากจะสังหารตนมานานแล้วนั้น น่าสะพรึงกลัวจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

“หากสิ่งที่รังคุนต้องการคือดวงตาแห่งการหยั่งรู้นั่น ก็นับเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์แล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ”

พระราชาโรมัลชวินลุกจากบัลลังก์พระที่นั่งก่อนจะเดินตรงมาทางเซเชียน อันที่จริงพวกเขาไม่รู้ถึงจุดประสงค์ใดๆ ของรังคุน เลย รังคุนจะไปรู้เนื้อหาที่ถูกระบุไว้ในบันทึกแห่งการสรรค์สร้าง ซึ่งมีเพียงคนสามคนบนโลกเท่านั้นที่อ่านได้ แล้วร้องขอตัวเซเชียนได้อย่างไร 

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่สามารถยืนยันได้ก็คือไม่อาจส่งดวงตาอัญมณีซึ่งเป็นสมบัติของอาณาจักรให้แก่รังคุนไปทั้งอย่างนี้ได้ 

“ดันไว้ชีวิตตัวปัญหาเสียได้ หึ”

เสียงที่อยู่เหนือศีรษะเป็นดั่งดาบที่มองไม่เห็นทิ่มแทงเซเชียน

“ออกไป”

เซเชียนขบฟันพร้อมกับถวายความเคารพ

“กระหม่อมขอถวายบังคมลาพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเซเชียนก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม พร้อมกับก้าวถอยหลังออกจากห้องไป โรมัลชวินก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าต้องทำอะไรต่อไป สำหรับโรมัลชวินแล้ว ยังมีข้ารับใช้อีกหลายคนที่จัดการคำสั่งลับของเขาได้ หนึ่งในนั้นคือโฮรุนเดอร์ที่ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว

โรมัลชวินเรียกข้ารับใช้เข้ามา แล้วสั่งให้ไปตามโฮรุนเดอร์มาพบตน

 

หลังเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้าพระราชาแล้ว เซเชียนต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปกปิดความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลซึ่งมองไม่เห็น 

ตลอดสิบเอ็ดปีที่ใช้ชีวิตมาโดยไม่รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เซเชียนทั้งรัก ทั้งคะนึงหา และเฝ้าฝันถึงผู้ชายคนนั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาซึ่งเขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายรังเกียจเดียดฉันท์เขามาเป็นเวลานานแสนนาน

ทั้งที่เป็นเพียงการยืนยันข้อเท็จจริงที่ตนรู้อยู่แล้ว แต่เซเชียนกลับเจ็บปวดเหลือเกิน และอดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้ เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ว่าเสียดายหนักหนาที่ไม่อาจสังหารตนได้ต่อหน้า 

ใครเล่าจะอยากเกิดมาเป็นเช่นนี้ เคยคร่ำครวญอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากก่นด่าโชคชะตาของตน เซเชียนกัดฟันอดกลั้น เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะมานั่งท้อแท้กับชีวิตเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ 

เมื่อปรับลมหายใจและเดินออกมานอกระเบียงก็พบขันทียืนรออยู่ ขันทีที่แนะนำตัวเองว่าชื่อทาเกอร์รุน แจ้งไว้แต่ต้นแล้วว่าจะคอยอำนวยความสะดวกให้กับเซเชียนจนกว่าจะออกเดินทางไปรังคุน 

เซเชียนออกเดินตามการนำทางของขันที หลังจากผ่านระเบียงทางเดินและตำหนักหลายต่อหลายหลังแล้ว ก็มาถึงสถานที่ที่แตกต่างจากเมื่อครู่ ตำหนักหลังนี้ใหญ่โตและหรูหรากว่ามาก ทหารรักษาการณ์ที่ยืนอยู่ด้านนอกเองก็มีจำนวนมากเช่นกัน แต่สุดท้ายก็คงเป็นกลุ่มคนที่ถูกส่งมาเพื่อจับตาดูเขา ครั้นเดินเข้าไปข้างในก็พบว่านางกำนัลและสาวใช้ทั้งหลายรออยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยผ้าไหมหลากสีราคาแพงแขวนเรียงราย 

“มันคือสิ่งใด”

“ต้องตัดชุดพิธีการเพคะ หลังจากวัดตัวก็ต้องเลือกผ้าด้วยเพคะ”

“เฮอะ”

เซเชียนส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว สถานภาพของเขาเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เลยหรือ ดูเหมือนว่าแม้การสมรสกับบุรุษด้วยกันจะเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติ ทว่าเพราะเป็นการสมรสของเชื้อพระวงศ์ จึงจำเป็นต้องรักษาหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เซเชียนทำตามอย่างว่าง่ายเพราะไม่สามารถปฏิเสธใดๆ ได้ 

ขณะที่สาวใช้เข้ามาช่วยถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เซเชียนก็พลันนึกถึงเรื่องที่ต้องจัดการขึ้นมาได้

“เจ้าชื่อทาเกอร์รุนใช่หรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”

“ก่อนจะเดินทางไปรังคุน ข้าต้องกลับไปที่บ้านสักครั้ง เพราะยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ”

“พิธีอภิเษกสมรสถูกกำหนดแล้ว จึงไม่อาจออกไปนอกพระราชวังได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีรับสั่งลงมา เรื่องใดๆ ล้วนให้จัดการจากภายในวังพ่ะย่ะค่ะ”

“ออกไปไม่ได้หรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ข้ามีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อขันทียืนกรานปฏิเสธ ใบหน้าของเซเชียนก็พลันยับย่น แต่ในเมื่อนี่เป็นรับสั่งของพระราชาก็ช่วยไม่ได้ “เช่นนั้นคงต้องเรียกคนที่บ้านมาแล้วละ เจ้าส่งคนไปบอกให้จาเยรินมาที่นี่ที ข้าจะได้ไม่ต้องสั่งให้ทหารรักษาพระองค์มาพาข้าไปที่บ้านด้วยตัวเอง แบบนี้คงได้กระมัง” 

“องค์ชาย...”

“เจ้าคิดให้ดี”

ครึ่งหนึ่งนั้นคือการข่มขู่ ขันทีผู้นี้มีไหวพริบชาญฉลาด จึงก้มศีรษะตอบรับอย่างเข้าใจความหมาย ขณะนั้นเองที่ด้านนอกพลันมีเสียงเอะอะ เสียงใครบางคนโต้เถียงกันดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขันทีมีสีหน้าตื่นตกใจ หันขวับไปมองทางประตู

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ฝ่าบาททรงรับสั่งห้ามมิให้ใครเข้าออกพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าบอกจะเข้าไป เจ้ากล้าขวางหรือ”

“องค์หญิง”

“ข้าจะไปบอกเสด็จพ่อเอง เจ้าถอยไป”

เซเชียนกุมหัวที่ปวดตุบๆ ของตนทันที เพียงได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นผู้ใด องค์หญิงคิวโอเรนนั่นเอง ขณะที่เซเชียนกำลังถอนหายใจ ประตูก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาแล้ว

คิวโอเรนเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า ราวกับเตรียมพร้อมที่จะเย้ยหยันเซเชียน ทว่าก่อนจะได้เอ่ยปากพูด สีหน้าก็พลันบูดบึ้งขึ้นมาเสียก่อน เพื่อที่จะวัดตัว เซเชียนจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อตัวในเท่านั้น 

แม้จะมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ทว่าการที่สตรีซึ่งยังไม่ออกเรือนมาเผชิญหน้ากับบุรุษที่สวมใส่เพียงเสื้อตัวในนั้นเป็นเรื่องผิดธรรมเนียม แน่นอนว่าปัญหามาจากการเปิดประตูอย่างกะทันหันนั่นต่างหาก

นางกำนัลที่อยู่ในห้องบรรทมหยุดมือจากงานที่กำลังทำอยู่ ก่อนจะกระวีกระวาดถอยร่นไปด้านหลัง ทว่าเซเชียนยังคงมองไปที่คิวโอเรนโดยไร้ซึ่งความตื่นตระหนกใดๆ ทันใดนั้นใบหน้าของคิวโอเรนก็แดงเรื่อขึ้นมา

“มัวทำอะไร ยังไม่รีบแต่งตัวอีก”

“ก่อนจะสวมเสื้อผ้าควรปิดประตูก่อนไม่ใช่หรือ...อ๋อ แต่ท่านดันเข้ามาเสียก่อนนี่นะ”

เซเชียนเอ่ยตอบคิวโอเรนที่แสดงอาการหงุดหงิดอย่างสุภาพ ทว่าด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น

คิ้วเรียวสวยของคิวโอเรนขมวดเข้าหากัน เมื่อเจอปฏิกิริยาที่ต่างจากปกติของเซเชียน ทว่านางก็ไม่อาจดึงดันต่อไปได้ เพราะคนที่เป็นฝ่ายผิดคือนางเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสดงท่าทีทะนงตนเดินฉับๆ เข้าไปข้างใน ก่อนเอ่ยเสียงเย็นกับขันทีที่เดินตามหลังมาว่า

“เปิดประตูไว้เช่นนั้น”

กระทำการเอาแต่ใจยิ่ง ทว่าก็ไม่มีใครติติงนิสัยนั้นได้ กระทั่งเซเชียนเองก็เพียงทอดถอนใจ แล้วหยิบชุดที่แขวนอยูบนราวขึ้นมา นางกำนัลที่อยู่โดยรอบจึงรีบปรี่เข้ามาช่วยสวมใส่ทันที 

คิวโอเรนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งถูกตั้งไว้ทางฝั่งหนึ่งของห้องมองเซเชียนอย่างเย็นชา

“ข้าต้องกล่าวคำยินดีด้วยสินะ พิธีอภิเษกสมรสเป็นเรื่องมงคลนี่ แล้วยังจะได้เป็นราชินีของอาณาจักรด้วยร่างกายของบุรุษเช่นนี้ เจ้าคงดีใจละสิ...ดูสิ ได้สัมผัสกระทั่งเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหม ที่เจ้าไม่อาจจับต้องได้ตลอดชีวิตเสียด้วย”

ถ้อยคำเปี่ยมเจตนาร้ายพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากสีแดงที่กำลังยกยิ้ม เซเชียนเบื่อหน่ายเกินกว่าจะตอบโต้ใดๆ กลับไป พ่อลูกคู่นี้ผลัดกันทำร้ายจิตใจเขาไม่หยุดหย่อน เซเชียนจึงไม่คิดจะแยแสคิวโอเรนที่ถ่อมาเพื่อดูหมิ่นดูแคลนตน

เมื่อเห็นเซเชียนไม่โต้ตอบ มุมปากของคิวโอเรนก็ยิ่งโค้งเป็นรอยยิ้มที่เด่นชัดขึ้น 

“ทำไมเล่า เจ้าไม่ดีใจหรือ ข้าแสดงความยินดีแล้ว เจ้าก็ต้องขอบคุณข้าไม่ใช่หรือ”

คิวโอเรนอายุน้อยกว่าเซเชียนสองปี ทว่าเซเชียนไม่เคยได้ยินถ้อยคำสุภาพจากปากนางเลยสักครั้ง หากไม่มองข้ามก็พูดจาดูหมิ่น นั่นคือสิ่งที่นางทำกับเขา

คนที่ฝักใฝ่กับการระรานเซเชียนถึงขนาดนี้มีเพียงไม่กี่คน แค่ทำเหมือนเขาเป็นหัวหลักหัวตอก็มากพอที่จะสร้างความเจ็บปวดให้เขาแล้ว และการได้รับแต่ถ้อยคำหยามเหยียดก็ทำให้เขารู้สึกแย่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

เซเชียนคิดว่าไม่ใช่ว่าคิวโอเรนนิสัยไม่ดี แต่เป็นเพราะหัวไม่ดีมากกว่า เขาจึงไม่คิดจะใส่ใจและมองข้ามไปประหนึ่งเป็นเพียงเสียงสุนัขเห่าหอน หากไปต่อล้อต่อเถียงกับคนหัวไม่ดีก็จะกลายเป็นคนแบบเดียวกัน ทว่าในตอนนี้จิตใจของเซเชียนยังคงขมุกขมัวเพราะพระราชาไม่หาย

เซเชียนที่ตั้งธงเอาคืนจ้องเขม็งไปทางคิวโอเรนที่กำลังยกยิ้มหยิ่งยโส นางคือสตรีที่แม้แต่พระราชาซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดยังไม่สามารถโต้เถียงใดๆ ได้ ทว่าคิวโอเรนผู้เป็นที่รักของเสด็จพ่อนั้นไม่นับเป็นอะไรสำหรับเซเชียนเลย

“ตอนนี้กระหม่อมกำลังยุ่ง ท่านกลับไปเถิด องค์หญิงมุนกยอง”

เซเชียนเริ่มด้วยการพูดอย่างสุภาพ แน่นอนว่าคิวโอเรนไม่ใช่คนที่จะยอมกลับไปง่ายๆ แววตาของนางเป็นประกายราวกับกำลังหาเรื่องจับผิด 

“ทำไม ไม่อยากฟังหรือ ข้าก็บอกแล้วว่ามาแสดงความยินดีไงเล่า”

“เช่นนั้นกระหม่อมจะรอของขวัญแต่งงานที่ยอดเยี่ยมนะพ่ะย่ะค่ะ ของขวัญที่เป็นสิ่งของย่อมดีกว่าการยินดีด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

“เฮอะ เห็นแก่สิ่งของเสียจริง เอาสิ เจ้าอยากได้อะไรล่ะ ประเดี๋ยวต้องเดินทางไกล เอารองเท้าผ้าไหมดีหรือไม่ ถึงจะไม่มีขนาดที่พอดีกับเท้าของเจ้าก็เถอะ”

คิวโอเรนยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับกำลังมอบความกรุณาให้ เซเชียนเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ ยังคงจ้องตากลับพลางยกยิ้ม

“ถ้าได้ของพิเศษหน่อยก็คงจะดีนะ หากเป็นพิธีอภิเษกสมรส นกหนึ่งคู่น่าจะเหมาะสมดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ อา...จะว่าไปกระหม่อมได้ยินว่าองค์หญิงมีต้นปักษาสวรรค์แห่งรันเบอยู่ใช่หรือไม่”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ! คิดว่าข้าจะมอบของมีค่าที่ได้รับมาจากเสด็จพ่อให้คนน้ำหน้าอย่างเจ้าหรือ อย่าฝันไปเลย!”

“เช่นนั้นสร้อยมุกแห่งรูทเพนเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ หรือจะเป็นชาแกจัง* (자개장 (ชาแกจัง) : เครื่องเรือน จำพวกตู้ หรือหีบใส่ของที่มีการสลักลวดลายของเปลือกหอยมุก หรือฝังตัวเปลือกหอยมุกลงไป) ที่ได้ช่างฝีมือที่ดีที่สุดจากโยรุอันเป็นผู้แกะสลักก็ยอดเยี่ยมไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”

เซเชียนจงใจเอ่ยถึงแต่ของมีค่าที่คิวโอเรนหวงแหนเพื่อที่จะยั่วโมโหนาง แม้จะมีความจองหองอยู่ในคำพูดคำจาของตน กระนั้นเซเชียนก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ พอเห็นใบหน้าของคิวโอเรนที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มงดงามบึ้งตึงขึ้นมา เซเชียนก็รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจ

เซเชียนรีบปล่อยหมัดเด็ดออกไปทันที 

“กระหม่อมคาดหวังและเชื่อว่าองค์หญิงผู้มีพระทัยงดงามราวกับบุปผาจะต้องมองของขวัญล้ำค่าให้กระหม่อมอย่างแน่นอน”

เมื่อถูกเย้ยหยัน คิวโอเรนก็บันดาลโทสะในที่สุด นางหอบหายใจกระฟัดกระเฟียดแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะฟาดมือลงไปบนแก้มของเซเชียนดัง ‘เพียะ’ เสียงกระทบรุนแรงดังขึ้นพร้อมเสียงแผดร้องของนาง

“น้ำหน้าอย่างเจ้า กล้าดีอย่างไร!” 

ฝ่ามือเพรียวของคิวโอเรนแสดงพลังออกมามหาศาลเพราะความโกรธ แก้มของเซเชียนที่หันขวับไปทั้งหน้าบวมแดงขึ้นมาทันที 

เซเชียนลูมแก้มที่แสบร้อนของตนอย่างเงียบเชียบ

“เจ้าประชดข้าหรือ”

“องค์หญิงคิดว่าถูกประชดอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“จะ...เจ้า!”

คิวโอเรนเงื้อมือขึ้นด้วยความโกรธที่ถูกดูหมิ่น ทว่าครั้งนี้เซเชียนไม่ยอมยืนอยู่เฉยๆ อีกต่อไป เขาเบี่ยงตัวหลบมือของนาง คิวโอเรนจึงซวนเซไปมาอย่างไม่น่าดูและพยายามจะตบเขาอีกครั้ง คราวนี้เซเชียนไม่หลบอีก แต่คว้าแขนของนางไว้ก่อนจะผลักออกไป

แม้จะตัวผอมบาง แต่อย่างไรเซเชียนก็เป็นบุรุษ คิวโอเรนจึงล้มลงไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น 

ทั้งสาวใช้และเหล่าขันทีที่เฝ้ามองเหตุการณ์หวาดเสียวตรงหน้าพากันสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าของคู่กรณีอย่างคิวโอเรนแดงเถือกด้วยความแค้นเคือง นางกำนัลหลายคนเข้ามาช่วยพยุงคิวโอเรนให้ลุกขึ้น ทว่านางกลับสะบัดมือของนางกำนัลเหล่านั้นออกไป ก่อนจะขบฟันแล้วลุกขึ้นยืน 

“เจ้าคงอยากตายจริงๆ สินะ! ข้าจะไปบอกเสด็จพ่อเดี๋ยวนี้!”

“จะไปกอดขา บีบน้ำตาอ้อนวอนฝ่าบาทให้ประหารข้าหรือ”

“...!”

“สำหรับฝ่าบาทแล้ว หากเป็นคำขอขององค์หญิงตัวน้อยผู้งดงามแล้วก็คงจะยอมทำให้ทุกอย่างสินะ หรืออาจจะไม่?”

“เจ้าคิดว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้งั้นหรือ!”

คิวโอเรนกรีดร้องสุดเสียง เซเชียนจ้องนางด้วยสายตาเย็นชา เมื่อครู่เขาเพียงแค่อยากกวนโทสะให้คิวโอเรนแสดงพฤติกรรมไม่น่าดูเท่านั้น ทว่าตอนนี้เซเชียนเองก็โมโหขึ้นมาแล้วจริงๆ นางมีเจตนาฆ่าให้ตายอย่างชัดเจนต้องเป็นคนอย่างไรถึงได้เห็นแก่ตัวและโง่เขลาขนาดนี้นะ เซเชียนพลันรู้สึกว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยกับสิ่งที่ตนต้องประสบพบเจอมาโดยตลอด 

มันคือโชคชะตาที่ผันผวนไปมาโดยไร้ซึ่งความสมัครใจของเขา ทั้งการเกิดมาเป็นลูกนอกสมรสของรัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไป หรือการที่เกิดมามีเส้นผมสีดำก็ไม่ใช่เพราะตัวเขาต้องการ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามมาโดยตลอด และต้องจากไปไกลต่างบ้านต่างเมือง ทั้งตัวเขาที่เป็นบุรุษยังต้องไปแต่งงานกับบุรุษด้วยกัน [I]แล้วพวกเจ้ายังจะเอาชีวิตข้าไปเพื่ออะไรอีก…[I]

ความขุ่นเคืองที่ถูกสั่งสมอยู่ภายในใจเบียดเสียดกันจนเอ่อล้นขึ้นมาจากส่วนลึกที่สุด 

คิวโอเรนที่มักจะเป็นผู้ชนะมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ ไม่อาจล่วงรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเซเชียน จึงเอาแต่ตะโกนจะว่าจะฆ่าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย 

“อย่างที่เจ้าบอก ข้าจะไปร้องไห้อ้อนวอนกับเสด็จพ่อ แล้วก็จะมองดูเจ้าถูกตัดหัวด้วยตาตัวเอง!”

“เช่นนั้นองค์หญิงก็คงต้องไปเข้าพิธีอภิเษกสมรสแทนข้าน่ะสิ”

“...?!” 

“หากข้าตาย ตัวสำรองที่ต้องไปแทนจะเป็นใครก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าคิดว่าเทวบัญชานั้นระบุว่าเป็นข้าจริงๆ หรืออย่างไรกัน หากต้องการดวงตาอัญมณี แต่ตัวข้าที่เป็นผู้ถือครองดวงตาคู่นี้ตายไป ก็ต้องเป็นองค์หญิงที่พระราชาของเชาหลันทะนุถนอมไม่ใช่หรือ” 

คิวโอเรนพลันนิ่งไป เมื่อเซเชียนที่มักก้มหน้าก้มตา จู่ๆ ก็พูดจาไม่สุภาพและแสดงความเป็นศัตรูออกมาให้เห็น หลังจากนั้นพอสมองทึ่มๆ ของนางเข้าใจแล้วว่าเซเชียนหมายถึงอะไร สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที 

หากไม่ใช่ดวงตาอัญมณีก็ต้องเป็นองค์หญิงที่พระราชาหวงแหนอย่างแน่นอน ดังนั้นนางก็คือลำดับต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย

“หัวสมองที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานของเจ้าคงจะเข้าใจได้กระมัง หากข้าหนักแน่นแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าไม่ต้องการแต่งงานกับบุรุษ ผู้ที่ต้องไปก็คือเจ้า หากไม่อยากออกเรือนไปยังอาณาจักรต่างแดนก็จงรีบออกไปจากที่นี่เสีย ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก”

เซเชียนเอ่ยชัดทีละคำอย่างคับแค้นใจ เขาไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมามากขนาดนี้มาก่อน แม้หัวใจจะเต้นอย่างหนักหน่วง ทว่าด้านหนึ่งในหัวกลับปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด ถึงกับคิดว่าดีแล้วที่พูดออกไปเช่นนั้น 

ได้เห็นใบหน้างดงามของคิวโอเรนบิดเบี้ยวแล้วก็รู้สึกสาแก่ใจไม่น้อย ที่เอ่ยขู่นางไปนั้นเป็นความรู้สึกจากใจจริง แม้แต่ตัวเซเชียนเองก็ไม่รู้ว่าหากความรู้สึกของเขายุ่งเหยิงมากไปกว่านี้ ตนจะลงมือทำอะไรไปบ้าง

“ข้าไม่ต้องการของขวัญ กลับไปซะ”

แววตาของคิวโอเรนวาวโรจน์อย่างน่ากลัวเมื่อถูกขับไล่อย่างเย็นชา ไอสีเหลืองและสีแสดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธซึ่งพวยพุ่งออกมาจากตัวนาง รุนแรงราวกับจะกลืนกินเขาทั้งเป็น ทว่าเซเชียนก็มิได้เกรงกลัว เพียงยกมือขึ้นชี้ไปทางประตูที่เปิดอยู่แทนการบอกให้ออกไป คิวโอเรนเดินฉับๆ ออกไปโดยไม่แม้แต่จะกล่าวคำลา 

หลังมรสุมรุนแรงพัดผ่านไปก็เหลือเพียงความเงียบงัน เซเชียนที่มองขันทีคนหนึ่งปิดประตูอย่างเงียบเชียบก็เอ่ยขึ้นว่า

“อีกไม่นานข้าก็จะไปจากเชาหลันแล้ว และคงไม่กลับมาอีก พวกเจ้าจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ไปพูดว่าอะไรข้าไม่สนใจ แต่หากเรื่องในวันนี้ถึงหูฝ่าบาทเมื่อไร พวกเจ้าคงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

เซเชียนเตือนเหล่านางกำนัลที่สบตากันอยู่ด้านหลังให้ระวังคำพูด

“วันเวลาไม่คอยท่า หากอยากเสร็จงานไวๆ ก็ต้องรีบหน่อย”

การบุกรุกของคิวโอเรนทำให้การวัดตัวยังไม่เสร็จสิ้นดี ซึ่งกำหนดการเดินทางคืออีกห้าวันหลังจากนี้แล้ว ฉะนั้นหากจะตัดชุดพิธีการทั้งเจ็ดตัวให้ทันเวลา ก็จะต้องเร่งมือโดยด่วน เมื่อเซเชียนเอ่ยเตือน นางกำนัลก็พลันได้สติและเริ่มเร่งไม้เร่งมือกันในทันทีทันใด 

 

เมื่อนางกำนัลทั้งหลายออกจากห้องไปหลังวัดตัวเสร็จ เซเชียนจึงกลับมาเหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง ขันทีฝ่ายพิธีการแจ้งเพียงว่าการเตรียมการเกี่ยวกับพิธีอภิเษกสมรสนั้นทางอาณาจักรจะเป็นผู้จัดการทั้งหมด ไม่มีคำสั่งให้เซเชียนต้องทำอะไรเซเชียนจมอยู่ในห้วงความคิดขณะรอคอยจาเยริน ไม่เพียงเป็นความอัปยศอดสูที่ต้องแต่งงานกับบุรุษด้วยกัน แต่ยังเป็นคำสู่ขอที่มาจากอาณาจักรศัตรูอีกต่างหาก แม้ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการทูต แต่เซเชียนก็พอรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่การแต่งงานธรรมดา 

ผู้ติดตามในนามจำนวนไม่น้อยจะได้เดินทางไปยังรังคุนอย่างเป็นทางการ นี่จึงเป็นโอกาสทองของเชาหลัน จะส่งสายลับเข้าไปแฝงตัวมากแค่ไหนกันนะ...เซเชียนไม่มีทางได้รับรายงานข้อมูลเหล่านี้อย่างแน่นอน 

ถึงอย่างไรตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญใดๆ ทั้งยังไม่ได้อยู่ในส่วนของการบริหารปกครองบ้านเมืองด้วย จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะทำให้ความลับรั่วไหล ทว่านี่ก็ออกจะเกินไปหน่อย 

ไม่สิ เชื้อพระวงศ์เลือดผสมไร้ประโยชน์เช่นเขา หากจะเขี่ยทิ้งก็ต้องใช้โอกาสนี้ถึงจะเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายหรือน่าเศร้าแต่อย่างใด ทว่าก็คงจะต้องวุ่นวายจนปวดเศียรเวียนเกล้ากันเลยทีเดียว

โชคชะตาของตนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เซเชียนถอนหายใจพลางกุมศีรษะ เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นพร้อมกันในคราเดียวทำเอาเขามึนงงไปหมด 

“จะบ้าตาย”

เซเชียนตัดสินใจค่อยๆ เรียบเรียงทีละเรื่อง

ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีคำสั่งให้เขาไปสืบข่าวจากทางฝั่งนั้นมา เมื่อไปถึงรังคุนแล้ว การปรับตัวให้เข้ากับที่นั่นก็เป็นปัญหาเช่นกัน [I]เป็นราชินีแล้วต้องทำอะไรบ้างนะ[I]

เดี๋ยวสิ ถ้าก่อนหน้านั้นสามารถหนีออกมาได้ก็ดีสิ เซเชียนนึกกังวลว่าเทชินจะเตรียมการให้เขาหนีออกไปอย่างไร และดูเหมือนก่อนออกเดินทางไปรังคุนจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งเพื่อรับฟังวิธีการอย่างละเอียดเสียด้วย 

เรื่องคิวโอเรนเองก็น่าเป็นห่วง เมื่อลองค่อยๆ ใคร่ครวญด้วยหัวที่เย็นลงก็รู้สึกว่าเขาทำพลาดไปเสียแล้ว คิวโอเรนที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจะทำอะไรบ้างก็สุดจะรู้ ไม่แน่อาจจะไปกอดขาร้องไห้อ้อนวอนพระราชาก็เป็นได้ หากฆ่าไม่ได้ก็อาจจะขอให้ทำให้ดวงตามืดบอดข้างหนึ่ง หรือหากไม่สามารถระบายความแค้นกับเซเชียนได้ก็อาจจะไปลงที่คนรอบข้างแทนแม้ว่าการมานั่งกังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเช่นนี้จะไม่สมกับเป็นเขาเท่าไรนัก แต่มันทั้งกระวนกระวายและอึดอัดใจไปหมด ตัวเขาเองจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทว่าเซเชียนคงทนไม่ไหวหากคนที่ตนรักถูกรังแก เซเชียนหลับตาที่แสบร้อนของตนลง 

ความคิดมากมายหลั่งไหลสร้างความทุกข์ใจให้แก่เขาไม่ขาดสาย นอกจากจะจัดการกับความคิดพวกนั้นไม่ได้แล้ว ยังมีแต่จะพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆสถานการณ์ที่พลิกผันไปมาโดยที่ตนไม่ได้ตั้งใจทำเอาอึดอัดไปหมด สิ่งที่รังคุนต้องการจะเป็นดวงตาอัญมณีหรือไม่ก็ยังไม่รู้แน่ชัด 

แต่ถึงอย่างนั้น มีเพียงการต้องเดินทางไปยังอาณาจักรอันไกลโพ้นที่เป็นความจริง เขาทั้งกระวนกระวายและหวาดกลัว เซเชียนเช็ดหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะลูบใบหน้าตนเอง 

หยิบดาบนั้นมาแล้วฆ่าตัวตายไปเสียเลยดีไหมนะ แค่ตายทุกอย่างก็จะจบ ทุกสิ่งอย่าง 

แม้จะดิ้นรนแทบตายเพื่อใช้ชีวิต แต่บางคราเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน แค่เหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ก็กระตุ้นให้เขาอยากปลิดชีพตัวเองแล้ว ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ทางเลือกนั้นก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย

[I]ไม่สิ

หากคิดจะตายจริงๆ ก็คงตายไปนานแล้ว [I]

เซเชียนเผลอลูบรอยแผลเป็นที่หน้าผากโดยไม่รู้ตัว รอยแผลเป็นนี้ยังให้ความรู้สึกชัดเจนที่ปลายนิ้ว หน้าผากที่แตกเพราะกู่ฉินที่ดิวเทรุนองค์ชายที่สองเขวี้ยงใส่ ทำให้เลือดไหลอย่างหนักจนเกือบถึงแก่ชีวิตไม่เหน็ดเหนื่อยกับการเมินเฉยและรังแกกันบ้างเลยหรือ ทว่าถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีชีวิตรอด แม้จะมีบาดแผลและทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แต่ท้ายที่สุดก็คือเรื่องของจิตใจ 

หากกล่าวว่าเพราะเขาเกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์เลือดผสม ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่เขาสมควรถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม คำกล่าวนั้นก็นับเป็นคำโกหก ทว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถูกกำหนดจากความอาภัพในชาติกำเนิด การใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรสำคัญกว่าการใคร่ครวญว่าตนเกิดมาในฐานะใด ขณะที่ก่นด่าโชคชะตาของตน เซเชียนก็ไม่เคยหยุดคิดถึงเรื่องนี้เลย เขาคิดแล้วคิดอีก คิดอยู่ตลอดเวลา ในภายภาคหน้าตนจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นไร นั่นเป็นสิ่งที่ตนต้องเลือกเอง 

เมื่อคิดวกไปวนมาเรื่อยๆ แล้วท้ายที่สุดก็เกิดคำถาม

[I]ตัวข้าอยากทำสิ่งใดกันแน่[I]

เซเชียนปรารถนาบางอย่างที่ตนจะสามารถทุ่มเทกับมันได้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเทได้มากกว่าการถูกตีตราว่าเป็นเพียงเลือดผสมหรือองค์ชาย สิ่งนี้คือสัญชาติญาณ บางอย่างที่ไม่ยิ่งใหญ่เกินไป แต่ก็ไม่เล็กจนเกินพอดี 

[I]หากค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้ละก็...[I]

“องค์ชาย จาเยริน บูเนียมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เซเชียนที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนพลันได้สติกลับคืน

“เข้ามา”

ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของจาเยริน เซเชียนลุกพรวดจากเก้าอี้ เมื่อได้เห็นหน้าจาเยริน เขาก็พลันรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลด้วยความรู้สึกโล่งใจ 

“ท่านเซเชียน”

จาเยรินวิ่งเข้าหาราวกับโผบิน มาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเซเชียน เขาได้ฟังเรื่องราวที่ยากจะเชื่อระหว่างเดินทางมาแล้ว ข่าวที่เซเชียนจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระราชาของรังคุนเป็นที่โจษจันไปทั่วถนนหนทาง องค์ชายเลือดผสมเช่นเขา บุรุษเช่นเขาต้องกลายเป็นราชินีของอาณาจักรอื่น บ้างก็ด่าทอ ดูหมิ่นว่าทำให้บ้านเมืองต้องอับอาย

ไม่อยากจะเชื่อ คนจากวังออกไปตามเขาจนมาถึงที่นี่แล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

“ท่านเซเชียน เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ”

มองจาเยรินที่เอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนรนแล้วเซเชียนก็ได้แต่ฝืนยิ้ม เรื่องราวถูกลือออกไปถึงข้างนอกแล้วอย่างนั้นหรือ

เซเชียนที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพียงพยักหน้ารับ 

“อืม”

“ดะ ได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้ขอรับ เป็นไปได้อย่างไรกัน! ท่านเซเชียน!”

“ใจเย็นๆ ก่อน ข้าไม่เป็นไร ริน”

ไม่เป็นอะไรที่ไหนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเซเชียนก็จับมือจาเยรินไว้เพื่อให้อีกฝ่ายสงบลง เมื่อสัมผัสกับมือของจาเยรินที่สั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว กลับเป็นเซเชียนที่สงบจิตสงบใจได้เสียเอง 

“มีเรื่องที่ข้าต้องจัดการให้เสร็จก่อนไปรังคุน”

“เชิญท่านกล่าวมาได้เลยขอรับ”

เซเชียนยื่นเอกสารมอบอำนาจที่เตรียมไว้ให้จาเยริน 

“ต้องจัดการเรื่องบ้าน ข้าคงไม่ได้กลับมาอีก บ้านหลังนั้นข้ามอบให้เจ้า”

“ท่านเซเชียน?!”

“เป็นของตอบแทนที่เจ้าดูแลข้าอย่างดีมาตลอด ถ้าดูแลไม่ไหวเจ้าก็ขายซะ ของในบ้านเจ้าก็จัดการตามใจได้เลย ถ้าจะส่งมอบบ้านยังต้องมีเอกสารอีกหลายอย่าง เจ้าคงต้องเข้ามาที่นี่อีกหลายครั้ง จริงสิ แล้วก็ช่วยนำปิ่นปักผมของท่านแม่มาให้ข้าหน่อย ข้าจะเอาไปด้วย”

เซเชียนกำลังเอ่ยถึงเรื่องที่ต้องทำต่อไป แต่จาเยรินกลับลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าถอดสี 

“ท่านเซเชียนจะทิ้งบ่าวไปหรือขอรับ”

“หืม?”

“ท่านบอกจะมอบบ้านให้บ่าว ไม่ให้บ่าวไปด้วยหรอกหรือขอรับ”

“อา...เรื่องนั้น”

เซเชียนพูดไม่ออก เพราะไม่มีความคิดที่จะพาจาเยรินไปด้วยแม้แต่เสี้ยวเดียว จาเยรินเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดก็จริง ทว่าที่แห่งนั้นไกลเกินไป ความยากลำบากที่จะต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีคนรู้จัก แค่ตนคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เซเชียนครุ่นคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมจาเยรินอย่างไรดี

“ท่านเซเชียน บ่าวจะไปด้วยขอรับ”

“ไม่ได้”

“ท่านจะไปคนเดียวได้อย่างไร บ่าวจะคอยรับใช้ท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่ขอรับ”

“ข้าขอบใจเจ้า แต่อย่างไรหน้าที่นั้นจะมีคนอื่นมาทำแทน”

“มีคนทำได้ดีกว่าบ่าวด้วยหรือขอรับ เป็นการเดินทางที่ยาวไกลมากนะขอรับ” 

จาเยรินพูดอย่างเด็ดขาดราวกับจะไม่ยอมจำนนต่อคำสั่ง เซเชียนจึงส่ายหน้าไปมา

“ไม่ได้ ริน...รังคุนไกลมาก คนรู้จักก็ไม่มี”

“ก็เพราะว่าไม่มีคนรู้จัก พาบ่าวไปด้วย จะได้เป็นเพื่อนคุยของท่านเซเชียนไงเล่าขอรับ”

น้ำเสียงนุ่มนวลของจาเยรินได้แสดงให้เห็นถึงความรักอันลึกซึ้ง เซเชียนตื้นตันใจเสียจนพูดไม่ออกว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ ทั้งยังรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง เซเชียนรู้สึกว่าดวงตาของตนร้อนผ่าวจึงก้มหน้าลง

“ประทับใจจะแย่แล้ว”

“...!”

“ข้าบอกว่าข้าดีใจ ดีใจมากจนน้ำตาจะไหลเลย”

การแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งก็ยังมีขอบเขตของมันอยู่ การพูดออกไปอย่างซื่อตรงว่าดีใจนับเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด และผลที่ได้นั้นก็ชัดเจนเพราะสามารถกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาให้กลับลงไปได้ 

“ขอบใจนะ ขอบใจจริงๆ ริน”

“หาไม่ได้ขอรับ นี่คืองานของบ่าว บ่าวจะคอยรับใช้ท่านเซเชียนไปตลอดชีวิตขอรับ”

จาเยรินพูดอย่างจริงใจไร้ซึ่งคำโกหก การได้อยู่เคียงข้างเซเชียน ได้เป็นพลังให้กับเซเชียนจนกว่าชีวิตจะหาไม่คือความปรารถนาของจาเยริน และไม่อาจแบ่งปันหน้าที่นี้ให้กับใครอื่นได้ ความปรารถนาที่มากยิ่งกว่านี้นั้น แม้แต่ฝันจาเยรินยังไม่กล้า ดังนั้นจึงต้องการเพียงได้ยืนอยู่ด้านหลังของเซเชียนก็พอ

“ตลอดชีวิตหรือ พูดจาใหญ่โตไปได้”

“บ่าวพูดจากใจจริงขอรับ”

“ข้ารู้”

เซเชียนจับมือจาเยริน เพราะรับรู้ถึงความรู้สึกของจาเยริน เขาจึงทั้งรู้สึกขอบคุณและขอโทษจากใจจริง

อันที่จริงเซเชียนอยากพาจาเยรินไปด้วย ทว่าเขาเอาแต่ทำให้จาเยรินต้องลำบากมาโดยตลอด หากจะขอให้ละทิ้งทุกอย่างแล้วตามเขาไปก็ออกจะไร้ความละอายใจเกินไป เซเชียนจึงไม่อาจพูดออกไปได้ มีแต่แสดงความรู้สึกดีใจที่จาเยรินพร้อมจะไปด้วยกัน

“ขอบใจเจ้าที่อยู่เคียงข้างข้าเสมอ ทั้งทำตัวเป็นเด็ก ทั้งขี้รำคาญ ข้ารู้ว่าเจ้ายอมให้ข้ามาโดยตลอด นอกจากคำว่าขอบใจ ข้าก็ไม่รู้จะกล่าวคำใดแล้ว” 

การยิ้มคือสิ่งเดียวที่เซเชียนสามารถทำได้ดีที่สุด และจาเยรินเองก็ยิ้มไปกับเขา นั่นทำให้เซเชียนวางใจได้ในที่สุด เหมือนว่าหากมีจาเยรินอยู่ด้วยก็จะสามารถไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะรังคุนหรือที่ใดก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นความคิดอีกด้านหนึ่งก็ยังวางแผนว่าต้องเตรียมเงินฉุกเฉินสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอนไว้ด้วย 

 

{ }

 

ในวันเดียวกันนั้นเอง ข่าวลือที่ว่าผู้ได้รับพระราชสาสน์ขออภิเษกสมรสจากกษัตริย์แห่งรังคุนเป็นเชื้อพระวงศ์เลือดผสมอย่างเซเชียนไม่ใช่องค์หญิงมุนกยองก็แพร่กระจายไปทั่วถนนหนทาง ทั้งร้านค้า ร้านน้ำชา และร้านรวงต่างๆ

ไม่มีใครไม่รู้จักเซเชียน เชื้อพระวงศ์อัปมงคลที่มีดวงตาอัญมณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด การถือกำเนิดอันน่าเศร้าที่ไม่เป็นความลับแต่อย่างใดจากมารดาผู้เป็นคณิกา กระทั่งก่อให้เกิดความเชื่องมงายที่ว่าหากเห็นเส้นผมสีดำนั่นให้บ้วนน้ำลายลงบนฝ่ามือแล้วถูๆ เพื่อขจัดความโชคร้าย ข่าวลือเกี่ยวกับเซเชียนแพร่สะพัดไปทั่ว 

ในวันนั้น ตั้งแต่ก่อนที่จะมีประกาศจากพระราชวังอย่างเป็นทางการในช่วงบ่าย หากมีการรวมตัวกันมากกว่าสองคนขึ้นไปก็จะพูดถึงแต่เรื่องของเซเชียน เช่นว่า รังคุนยินยอมให้บุรุษเป็นราชินีด้วยหรือ ประเพณีของพวกเขาแปลกยิ่ง ก็นั่นไงเล่า เลือดผสมเป็นตัวทำให้อาณาจักรอับอายโดยแท้ ได้ยินว่าพระราชาหนุ่มของที่นั่นเป็นสัตว์ประหลาดมีเขา เจ้าเลือดผสมนั่นก็ไม่สมประกอบ ใช้คำพูดล่วงเกินถึงงานอภิเษกสมรสอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับสั่งมาจากเทวบัญชาเช่นนั้นเหมาะสมแล้วหรือ ได้ยินว่าทางฝั่งรังคุนเตรียมของหมั้นหมายมาให้พร้อมแล้ว พระราชาของเราเองก็คงจะใช้อำนาจบางอย่างกระมัง ดูเหมือนทหารอารักขาก็จะถูกส่งไปกว่าสามร้อยคน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกังวลอยู่ดี ชาวบ้านชาวเมืองพูดคุยกันไปทั้งคืนแต่ข่าวลือก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงในวังเองก็วิ่งวุ่นไม่น้อย การอภิเษกสมรสของเชื้อพระวงศ์เป็นพิธีทางการที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจและความมั่งคั่ง ตั้งแต่วินาทีที่พระราชามีรับสั่งลงไป กรมพิธีการเยรองที่รับผิดชอบงานพิธีการของพระราชวังก็ยุ่งขึ้นมาก

เดิมทีจะต้องค่อยๆ จัดเตรียมเป็นระยะเวลาหลายเดือน แต่เนื่องจากต้องนำยูสตันกลับคืนมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงต้องดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในห้าวัน 

แม้ว่าพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นที่รังคุน แต่สิ่งที่เชาหลันต้องเตรียมด้วยก็มีมากมายเช่นกัน 

การมอบของขวัญตอบแทนที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าของมีค่าที่รังคุนจัดเตรียมมาให้เต็มกล่องของหมั้นนั้นก็เป็นทั้งการรักษาเกียรติและเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามมารยาท เชื้อพระวงศ์อาวุโสและข้าราชการชั้นสูงของกรมพิธีการเยรองต่างปรึกษาหารือกันว่าจะมอบสิ่งใดเป็นของตอบแทน

ในห้องบรรทมเองก็วุ่นวายเช่นเดียวกัน นางกำนัลในห้องต่างขยับมือเป็นระวิงเพื่อที่จะตัดชุดให้ตัวเอกของงานสมรสได้สวมใส่

ขณะเดียวกันก็เริ่มดำเนินการส่งคืนยูสตัน โดยมีข้อตกลงว่าจะคืนในตอนที่เซเชียนไปถึงยูสตัน และกองทหารก็จะออกเดินทางกลับรังคุนพร้อมกัน เชื้อพระวงศ์ที่ดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือราชการในการส่งคืนยูสตันและจะเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีอภิเษกสมรสซึ่งจะจัดขึ้นที่รังคุนได้ถูกเลือกไว้แล้ว 

ช่วงที่หลายๆ อย่างถูกเตรียมการอย่างเร่งรีบ งานที่เซเชียนต้องทำมีเพียงการขายบ้านที่อยู่ในเมืองและอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับรังคุนหลายต่อหลายเล่ม

ไม่ได้มีคำสั่งให้เซเชียนต้องทำอะไรเมื่อไปถึงรังคุน มีเพียงการเฝ้าจับตาดูเขาเท่านั้นที่เพิ่มมากขึ้น สี่วันหลังจากได้รับพระราชสาสน์ขออภิเษกสมรส ทาเกอร์รุน ขันทีกรมพิธีการถึงได้เข้ามาแจ้งกำหนดการออกเดินทาง คนที่สามารถเข้าพบเขาได้ก็มีเพียงจาเยรินเท่านั้น ทว่าเซเชียนกลับไม่แสดงความไม่พอใจกับสถานการณ์ของตนในเวลานี้เลยแม้แต่น้อย

แม้ว่ากว่าสามร้อยปีหลังก่อตั้งอาณาจักรจะไม่เคยจัดพิธีอภิเษกสมรสระหว่างอาณาจักรเลย แต่ในหนังสือพิธีการก็มีลำดับขั้นตอนบันทึกไว้อย่างละเอียด เซเชียนต้องตื่นแต่เช้าตรู่ กราบไหว้สุริยเทพและบรรพบุรุษ สุดท้ายจึงไปถวายความเคารพกษัตริย์และผู้อาวุโส 

ต่อไปก็เหลือเพียงออกเดินทาง เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ รวมเซเชียนและข้าราชการระดับสูงไม่กี่คน ข้ารับใช้ที่ติดตามพวกเขา ทหารอารักขาอีกไม่กี่สิบนาย ข้ารับใช้ที่คอยดูแลของขวัญอีกหลายสิบคน และสุดท้ายคือองครักษ์หลายร้อยคนที่จะคอยอารักขาพวกเขาให้เดินทางโดยสวัสดิภาพไปจนถึงยูสตัน รวมแล้วจำนวนคนทั้งหมดมีมากกว่าสี่ร้อยคน 

 

ปี 4224 วสันตฤดูที่อากาศสดชื่นแจ่มใส เชียอินเมืองหลวงของเชาหลันต่างคับคั่งด้วยผู้คน ซึ่งมารอดูเชื้อพระวงศ์เลือดผสมที่เลื่องลือกัน ขบวนที่ประดับด้วยธงหลากสีและเสียงดนตรีกึกก้องนั้นงดงามเหลือคณา ชาวบ้านที่มาชมขบวนต่างโห่ร้องไปพร้อมกับกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมา พร้อมด้วยเสียงดนตรีครื้นเครง ก่อนจะหันเหความสนใจไปยังตัวเอกของงานในวันนี้เซเชียนขี่ม้าขาวที่ถูกประดับตกแต่งอย่างสง่างามอยู่หน้าสุดของขบวน ชายหนุ่มในชุดพิธีสมรสปักดิ้นทองบนผ้าไหมสีแดงไม่ได้มีรูปโฉมอัปลักษณ์ตามที่ร่ำลือกัน ทั้งยังมิได้พิการตรงที่ใด กลับมีดวงหน้างดงามรับกับผิวขาว เป็นหนุ่มรูปงามที่ยากจะพานพบ บางคนชี้ไม้ชี้มือไปทางเซเชียนที่เงยหน้าขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย พร้อมกับถามว่าคนคนนั้นใช่องค์ชายเลือดผสมที่เล่าลือกันจริงหรือ 

เซเชียนเพียงมองตรงไปข้างหน้าไม่ได้สนใจเสียงวุ่นวายรอบกาย หลังจากออกมาพ้นเขตเมืองหลวงได้ครู่หนึ่ง มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เซเชียนหันกลับไปมองด้านหลัง 

เมืองหลวงที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตระหง่านเบื้องหลังธงหลากสีค่อยๆ ไกลออกไปจากครรลองสายตาของเซเชียน

เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสถานที่ที่ตนเกิดและเติบโตขึ้นมาจากนอกกำแพง 

และเป็นครั้งสุดท้าย...

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal