Saturday
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จางเย่ากับเผยเยี่ยนก็เตรียมกลับไปทางชายหาด หลังจากจางเย่าอธิบายตำแหน่งคร่าวๆ อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้แล้วว่าควรไปทางไหน โดยกำหนดเส้นทางไว้เรียบร้อย ไม่ต้องปีนเขาสูงชันก็สามารถออกไปได้ อย่างไรเสียถ้าให้ปีนกลับขึ้นไปด้วยมือเปล่าจากเหวลึกระดับน่าขนหัวลุกอย่างที่ตกลงมาเมื่อวาน ก็จะเป็นการยากสำหรับเขาเล็กน้อย หรือไม่ก็คือโคตรยากเลยไม่ใช่แค่เล็กๆ น้อยๆ...ส่วนถ้าให้เผยเยี่ยนพูดละก็คงเป็นเรื่องง่ายสบายบรื๋อแน่
เดิมทีจางเย่าอยากเอาแขนท่อนนั้นกลับไปสอบถามสถานการณ์ดูหน่อย แต่เพียงชั่วข้ามคืน บนซากปลารวมถึงท่อนแขนที่เมื่อวานถูกแมลงเข้าไปวางไข่นั่น ต่างก็มีแมลงตัวจิ๋วสีดำฟักตัวออกมาแล้ว ทั้งยังไต่ยั้วเยี้ยอยู่บนผิวด้านนอกกับเนื้อเน่าเฟะ พอเห็นสภาพท่อนแขนมีหนอนขึ้นจนเต็มทั้งด้านในและด้านนอก จางเย่าก็ล้มเลิกว่าจะเอามันร่วมทริปไปด้วยทันที จากนั้นวางไว้กับซากปลาในแม่น้ำแบบเดิม เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับแมลงตัวจิ๋วพวกนี้อย่างใหญ่หลวง
ทั้งคู่เก็บข้าวของสำคัญบางส่วนในถ้ำพกติดตัวไปด้วย อย่างเช่นเนื้อตากแห้งที่เผยเยี่ยนแขวนไว้กลางถ้ำ กับหนังสือเล่มสำคัญที่แม่เขาทิ้งไว้ให้ จางเย่าทำกระเป๋าโดยมัดขึ้นมาง่ายๆ จากหนังสัตว์ พร้อมทั้งจัดแจงใส่ทุกอย่างรวมทั้งเบาะหนังสัตว์ผืนใหญ่ลงไปแล้วแบกขึ้นหลัง
สภาพอากาศบนเกาะตอนกลางวันร้อนและตอนกลางคืนหนาว มีเบาะขนสัตว์ผืนนี้ไว้ปูรองต้องดีกว่านอนลงบนพื้นผิวก้อนหินโดยตรงแน่นอน
จางเย่าลงไปถึงริมแม่น้ำด้านนอกถ้ำแล้วก็ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จสรรพ เอาภาชนะจากกะโหลกสัตว์มาต้มน้ำแล้วตั้งไว้จนเย็น จากนั้นก็กรอกใส่ถุงหนังบรรจุน้ำที่เผยเยี่ยนให้มา เมื่อวานเขารีบดื่มน้ำเกินไปจนลืมเอามาต้มก่อน ตอนนี้นึกขึ้นได้เลยรีบจัดการ ถึงอย่างไรน้ำในป่าก็มีแบคทีเรียที่ไม่รู้จักกับปรสิตอยู่มาก ถ้ากินแล้วเกิดท้องเสียขึ้นมาก็คงแจ่มเกิน
หลังจากเตรียมการทุกอย่างพร้อม จางเย่าก็ตามเผยเยี่ยนออกเดินทางเพื่อขึ้นจากก้นเหว ขณะก้าวเข้าสู่ป่าทึบ สัตว์รอบด้านราวกับซ่อนตัวกันหมด เหมือนกำลังเลี่ยงพวกเขา หรืออันที่จริงก็คือหลบเผยเยี่ยนคนเดียว...ดูท่าแล้วเผยเยี่ยนก็ถือว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลของที่นี่เหมือนกัน สัตว์อื่นถึงได้ไม่กล้าเข้ามายุ่งด้วยเลย
แต่จู่ๆ เผยเยี่ยนก็เกิดหยุดเดินกะทันหัน หักกิ่งไม้ที่พบกิ่งหนึ่งมายื่นให้จางเย่า
จางเย่ารับกิ่งไม้มีใบชอุ่มหนาไว้ ส่วนใบทั้งหมดเป็นรูปหัวใจสีดำและมีจุดเล็กสีเขียวบนพื้นผิว พอพลิกด้านหลังกลับเป็นสีขาว ทั้งยังมีขนเล็กละเอียด เขาสงสัยนิดหน่อยเลยถาม “นี่เอาไว้ใช้ทำอะไรเหรอ?”
“กำจัดแมลง”
“กำจัดแมลง? อ้อ...” จางเย่าคิดดูแล้วก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เล่าให้เผยเยี่ยนฟังว่าโดนกิ้งกือกินเนื้อฝูงหนึ่งไล่ล่า คิดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะจำได้ขึ้นใจ คอยสังเกตอยู่ตลอดทางเพื่อหาพืชที่มีฤทธิ์หักล้างกันมาไล่แมลงให้เขา
“แล้วต้องใช้ยังไง?”
“บดละเอียด คั้นน้ำ” เผยเยี่ยนเด็ดสองสามใบจากช่วงบนของกิ่งที่จางเย่าถืออยู่มาทำเป็นตัวอย่าง ใช้นิ้วมือบดบี้จนแหลก จากนั้นก็มีน้ำสีขุ่นซึมออกมาทันที เขาเอาของเหลวพวกนี้ทาบริเวณข้อเท้าซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นดินมากที่สุด แล้วมองจางเย่า สายตาเหมือนถามว่าเข้าใจหรือยัง
“อ้อ เข้าใจละ ขอบใจ” จางเย่าพยักหน้าและยิ้มยิงฟัน เข้าใจการสาธิตของเผยเยี่ยนอย่างดี
พอได้เห็นรอยยิ้มของจางเย่า ปากคอเผยเยี่ยนพลันรู้สึกแห้งผากขึ้นมาเล็กน้อย ไล้เลียริมฝีปากเบาๆ อย่างอดกลั้น เขารู้สึกร้อนรุ่มแปลกๆ เต็มตื้นไปทั้งในกาย อยากทำอะไรบางอย่างตอนนี้เลยเพื่อบรรเทาความรู้สึกกระวนกระวายร้อนวูบวาบในตัว แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหน เพราะอารมณ์เหล่านี้เผยเยี่ยนเลยสับสนทำตัวไม่ถูก ได้แต่เบียดเข้าไปใกล้ชิดจางเย่าที่เป็นต้นเหตุของอาการ
จางเย่าเอามือยันหัวเผยเยี่ยนที่ซุกเข้ามาใกล้ทันทีเหมือนตอบสนองโดยอัตโนมัติ ก่อนขมวดคิ้วแน่นขณะเอ่ยเตือน “บอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ห้ามเลีย!”
เมื่อคืนตอนนอนหลับ ขณะสะลึมสะลือเขาก็รู้สึกว่าเผยเยี่ยนปีนมาอยู่ข้างกาย แถมยังเลียแก้มเขาหลายรอบเสียสนิทสนมจนรู้สึกอุ่นร้อนจั๊กจี้ แต่เพราะตอนนั้นเหนื่อยจนอยากนอนท่าเดียว เขาเลยคร้านจะลืมตาห้าม บวกกับหลังจากพวกเขาทั้งคู่กินเนื้อย่างแล้วยังกินผลไม้พันธุ์พิเศษไปด้วย เป็นการฆ่าเชื้อทำความสะอาดช่องปากเรียบร้อย เขาเลยไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร
แต่วันนี้เขาตื่นเต็มตาอยู่นะ ไม่มีทางปล่อยให้หมอนี่ได้ใจอีกเด็ดขาด นิสัยนี้ไม่ดี ต้องแก้! ผู้ชายตัวโตปกติดีสักคนพอเห็นใครก็เลียไปทั่ว คงโดนมองว่าเป็นผู้ป่วยสติฟั่นเฟือนแน่
ใบไม้หลังจากบดละเอียดแล้วมีกลิ่นเหมือนยาสมุนไพรเข้มข้นฟุ้งกระจายในอากาศ จางเย่าเอาของเหลวที่คั้นออกมาได้ทาทั่วเท้า ก่อนจะตั้งใจทำการทดลองอีกอย่าง เอาเศษใบไม้เหลือในมือที่ทิ้งลงตรงรังมดขนาดใหญ่บนพื้นข้างๆ มดในรังออกมาแล้วต่างวิ่งอ้อมห่างไปไกลมากถึงค่อยกล้าไต่เดินปกติเพื่อเลี่ยงให้พ้นกลิ่นของใบไม้ ดูท่าว่าใบไม้นี่จะขลังจริง วางใจขึ้นเยอะแล้ว จางเย่านั่งยองศึกษาปฏิกิริยามดเสร็จเรียบร้อยก็เงยหน้ามองเผยเยี่ยนซึ่งเดินนำไปข้างหน้าแล้ว จึงรีบยืนขึ้นออกเดินตาม
เพื่อให้กลับไปแล้วจะไม่โดนดูถูก ตอนใกล้ถึงชายหาดจางเย่าเลยขอความรู้จากเผยเยี่ยนว่าในป่ามีผลไม้ชนิดไหนกินได้บ้าง แล้วก็เด็ดลงมาเป็นกองและยกแบกใส่บ่าเอากลับไป กระทั่งถึงจุดที่ไม่ไกลจากถ้ำเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างดีอกดีใจของผู้หญิงดังขึ้น “พี่จางเย่า พี่กลับมาแล้ว! ดีจังเลย! เมื่อวานเห็นพี่ไม่กลับมาฉันทั้งห่วงทั้งกลัวอยู่ตั้งนาน นึกว่าพี่เจอเรื่องไม่คาดคิดเข้าซะอีก”
คนที่วิ่งเข้ามาต้อนรับก็คือหนูน้อยเคออี้เฉี่ยวผู้เจื้อยแจ้วนั่นเอง เธอเห็นจางเย่ากลับมาโดยสวัสดิภาพ ถึงบนหน้ากับแขนจะมีแผลนิดหน่อย แต่สภาพท่าทางดูกระปรี้กระเปร่าดีมาก บนบ่ายังแบกผลไม้ไว้เยอะแยะด้วย เธอดีใจจนเข้าไปเดินวนรอบตัว ทั้งยังจดๆ จ้องๆ ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเขาและปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันนี้ด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มผู้มาใหม่มีรูปร่างสูงมาก หน้าตาหล่อจัด สีผิวคล้ำกว่าคนอื่น แต่พอผิวสีเข้มแบบนี้อยู่บนตัวเขาแล้วดูไม่แปลกตา ตรงกันข้ามกลับเข้ากันดีเหลือเกินและยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้น่ามอง หลังจากเคออี้เฉี่ยวประสานสายตากับเผยเยี่ยนและถูกแววตาคมกริบเปี่ยมพลังโจมตีกวาดผ่าน เธอก็ลนลานก้มหน้าไม่กล้ามองประเมินอีก ถามจางเย่าอย่างระมัดระวัง “พี่ชายคนนี้ใครเหรอ?”
“เขาอะเหรอ? เป็นผู้รอดชีวิตเหมือนกัน ฉันบังเอิญเจอเขาตอนไปหาอาหาร เลยพากลับมาด้วย ชื่อเผยเยี่ยน” จางเย่าทำท่าประกอบการแนะนำเผยเยี่ยนที่อยู่ข้างหลัง
“อ้อ...” เครื่องบินลำที่เธอโดยสารมามีคนหล่อจัดอย่างเขาด้วยเหรอ? เคออี้เฉี่ยวสงสัยว่าตัวเองไม่มีภาพจำนี้ได้อย่างไร อาจเพราะพี่ชายสุดหล่อคนนี้นั่งอยู่โซนด้านหน้าละมั้ง เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็น
เคออี้เฉี่ยวพยักหน้า เชื่อคำอธิบายอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เงยหน้ายิ้มคุยกับจางเย่าต่อ “ลำบากพวกพี่แล้ว กลับถ้ำมาพักผ่อนกันเถอะ คนอื่นก็หาของกินกลับมาได้เยอะแยะเหมือนกัน!”
“ว้าว งั้นเหรอ?” เป็นเพราะระหว่างทางลองกินผลไม้หน้าตาแตกต่างกันสารพัดชนิดที่เผยเยี่ยนเด็ดให้ จนตอนนี้จางเย่ารู้สึกอิ่มจัด จึงไม่ค่อยกระตือรือร้นกับเรื่องของกินเท่าไรแล้วจริงๆ
“อื้มๆ พวกเขายังได้หอยตัวเบ้อเริ่มเทิ่มมาด้วยนะ ตัวเท่านี้แน่ะ เก็บได้วันนี้ตรงหาดน้ำตื้น ตอนนี้ทุกคนกำลังช่วยกันเปิดเปลือกมันแหละ” เคออี้เฉี่ยวทำท่าวาดมือขึ้นวงใหญ่ประกอบขณะพูดถึงขนาดหอยตัวนั้นอย่างตื่นเต้น แหงนหน้าขึ้นมองจางเย่ากับเผยเยี่ยนที่สูงกว่าเธอมากพร้อมกระโดดโลดเต้น
แม้เคออี้เฉี่ยวจะยังเด็ก แต่โชคดีว่ารอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก บนเครื่องบินมีเพียงคุณป้าคนเดียวที่สนิทกับเธอ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนไหนแล้ว ตอนนี้ถึงจะอยู่ตัวคนเดียวแต่กลับมองโลกในแง่ดีและมีชีวิตชีวาขนาดนี้ ถือว่านิสัยใช้ได้จริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาพวกเด็กวัยรุ่นหรืออ่อนวัยกว่านั้นไม่ค่อยทำให้จางเย่ารู้สึกซาบซึ้งใจได้นัก จึงยากมากที่จะชื่นชมเด็กผู้หญิงแสนเข้มแข็งแบบนี้สักคน
เคออี้เฉี่ยวคิดจะยื่นมือไปดึงจางเย่าให้รีบเดินเข้าถ้ำเร็วๆ แต่กลับถูกมือคู่หนึ่งแทรกเข้ามาขวาง พอเลื่อนสายตาขึ้นจึงสบเข้ากับดวงตาเหมือนสัตว์ป่าคู่นั้นอีกครั้ง สายตาที่จ้องมาแฝงแววโหดเหี้ยมน่ากลัวมาก จนเคออี้เฉี่ยวสั่นไปทั้งตัวโดยอัตโนมัติ สายตาแบบนี้เขย่าขวัญผู้คน เหมือนสัตว์ป่าดุร้ายตอนปกป้องอาหารอย่างที่เธอเคยดูในรายการโลกสัตว์ป่าเมื่อก่อน จึงรีบลดมือตัวเองลงอย่างว่าง่ายและไม่เข้าไปใกล้พวกเขาอีก
เคออี้เฉี่ยวไม่คิดเลยว่าตอนพี่ชายสุดหล่อคนนี้ถลึงตาจ้องคนอื่นขึ้นมาจะน่ากลัวมากเหลือเกิน ให้ความรู้สึกว่าไม่ควรเข้าไปแหย็ม เมื่อเทียบกับจางเย่าที่ดูเหมือนดุโหดแต่ความจริงกลับเข้าถึงง่ายมากแล้ว ฝ่ายนั้นจึงอันตรายกว่ามาก
พอทั้งสามคนกลับถึงถ้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกในนั้นเทียบกับเมื่อวานแล้วต่างกันมาก ด้านในสุดมีกิ่งไม้ใบหญ้าจำนวนมากประกอบร่างกันเป็นพื้นที่ยกสูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อไว้ให้คนนอนหลับพักผ่อน กองไฟก็เผาไหม้อยู่ตลอดเวลา คนเดินขวักไขว่ไปมา เหมือนไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อคืนชายหนุ่มเจ้าของแขนข้างนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
คิดแล้วก็จริง เดิมทีคนบนเครื่องบินต่างก็ไม่รู้จักกันอยู่แล้ว ใครจะไปจำได้ว่ามีคนแปลกหน้าคนหนึ่งหายสาบสูญหรือหายตัวไปล่ะ? หากไม่ใช่จางเย่าบังเอิญจำปานบนมือกับเสียงกรนของฝ่ายนั้นได้ และบังเอิญเจอแขนข้างนั้นเข้า เขาเองก็คงไม่รับรู้การมีตัวตนของคนผู้นี้เช่นกัน
ตอนนี้ในถ้ำสงบดีจนเหมือนไม่เคยมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นเลย เมื่อวานชายหนุ่มเจ้าของแขนข้างนั้นอาจเป็นหนึ่งในคนที่ถูกส่งตัวไปหาน้ำและอาหารในพื้นที่ค่อนข้างอันตรายเหมือนกันก็เป็นได้ ไม่รู้ว่าตกลงแล้วเดินไปที่ไหนและพบเจออะไรเข้า สุดท้ายอวัยวะร่างกายถึงได้กลายเป็นชิ้นส่วน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ย่อมไม่อาจฟันธงด้วยการวิเคราะห์แค่ผิวเผินว่าอีกฝ่ายตายแล้ว เพราะเขาเก็บแขนได้แค่ข้างเดียวเท่านั้น ไม่แน่ว่าตอนชายคนนั้นดื่มน้ำอยู่ริมแม่น้ำอาจถูกปลาปีศาจกัดแขนขาดเฉยๆ ส่วนอวัยวะอื่นยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดีก็เป็นได้
ในใจจางเย่าคาดเดาสิ่งที่เจ้าของแขนคนนั้นพบเจออยู่ตลอด สุดท้ายจึงได้ข้อสรุป มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรม เพราะถ้าจู่ๆ ถูกกระชากแขนท่อนใหญ่ขนาดนี้ออกจากตัว บนเกาะเล็กที่ไม่มียารักษาลำพังแค่เลือดไหลก็อาจทำให้สิ้นใจได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาสิ่งมีชีวิตโหดเหี้ยมอื่นๆ ว่าจะได้กลิ่นเลือดแล้วตามไปโจมตีเขาหรือเปล่าด้วยซ้ำ
จางเย่าเอาเรื่องท่อนแขนไปบอกกับคนที่ส่งพวกเขาไปหาอาหารและน้ำเมื่อวาน อีกฝ่ายแค่พยักหน้าเฉยๆ แสดงออกว่ารับรู้แล้ว ท่าทีตอนตกใจก็ดูปกติมาก บอกว่าจะสอบถามคนอื่นดูว่ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับคนคนนั้นบ้างไหม และจะรายงานเรื่องนี้กับพวกหลิวหรงกับจ้าวเสียงกว๋อด้วย
รายงานคนอย่างพวกหมอนั่นจะไปมีประโยชน์อะไร? จางเย่าร้องเหอะเสียงเย็นในใจ อย่างมากก็แค่แสดงท่าทีเสียใจแบบผิวเผิน แต่กลับไม่คิดตั้งสมมติฐานพิจารณาอย่างจริงจังว่าชายคนนี้ที่อาจถูกจู่โจมทำร้ายตกลงแล้วถูกอะไรโจมตีกันแน่ จะมีอันตรายตามมาบุกทำร้ายถึงทุกคนหรือไม่ สถานการณ์เหล่านี้จางเย่าก็ได้แต่ขบคิดอยู่เพียงลำพัง ตอนนี้เขาปราศจากหลักฐานอื่น มีเพียงชิ้นส่วนอวัยวะ ย่อมไม่อาจอธิบายอะไรได้ชัดเจน
ขณะนี้คนที่จางเย่าไม่ได้รู้สึกดีด้วยอย่างจ้าวเสียงกว๋อกำลังนั่งปรึกษาอะไรบางอย่างกับคนสองสามคนซึ่งให้ความเชื่อถือเขา ทั้งหมดอยู่บนลานไม้พักผ่อนชั้นลอยที่ทุกคนสร้างไว้อย่างสบายอกสบายใจ จางเย่าไม่อยากใส่ใจเพราะจะเป็นการทำลายอารมณ์ดีๆ ของตัวเอง เลยเบือนสายตาออกไป มองผู้คนรอบๆ เริ่มกินเนื้อหอยยักษ์อย่างเงียบเชียบ
เอ๊ะ? แกะเปลือกหอยยักษ์ออกแล้ว? เห็นสิ่งมีชีวิตจำพวกหอยตัวเบ้อเริ่มเทิ่มลักษณะเหมือนหอยเชลล์ยักษ์สองเปลือกประกบบนพื้น มีขนาดพอๆ กับเคออี้เฉี่ยวถึงขั้นใหญ่กว่าด้วยซ้ำ จางเย่าก็เพ้อฝันว่าในตัวเจ้านี่ไม่รู้ว่าจะมีของมีค่าอยู่หรือเปล่า? เพราะเหตุนี้เขาจึงเบียดเข้าไปใกล้ด้วยสงสัยใคร่รู้ท่วมท้นใจ เขาไม่เห็นไข่มุกล้ำค่าเม็ดเป้งอยู่ด้านในอย่างจินตนาการบรรเจิด แต่กลับเห็นสิ่งที่ชวนตะลึงมากกว่านั้น
ภายนอกของเปลือกหอยเป็นสีเทาเข้ม ภายในกลับเป็นสีขาวราวหิมะ ลักษณะของเนื้อหอยเหมือนกับท่าทางของทารกยักษ์นอนขดตัวแน่นอย่างยิ่ง ส่วนหัวมหึมา ขนาดร่างกายเป็นแค่หนึ่งในสามเท่านั้น เนื้อสีชมพูขาวอ่อนๆ ส่วนหัวเหมือนเอ็นหอยเชลล์ทั่วไป มีเยื่อสีเนื้ออมชมพูโปร่งแสงเหนียวเหนอะหุ้มอยู่บนเนื้อหอยทรงเด็กทารกทั้งตัวหนึ่งชั้น มองท่าไหนยังไงก็เหมือนเด็กทารกคนหนึ่ง เห็นแบบนี้แล้วยังรู้สึกอยากอาหารได้อีกเหรอ?
จางเย่าคิดพลางเงยหน้ามองบรรดาคนที่รายล้อมอยู่ แท้จริงแล้วเขาดูถูกความใจกล้าของมนุษย์เกินไป ครึ่งร่างของเนื้อหอยเด็กทารกถูกคนพวกนี้กินหมดไปแล้ว กล้ากินจริงๆ แฮะ...
“นี่มันกินได้เหรอ?” เพราะไม่รู้ว่าถ้ากินของพรรค์นี้เข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร จางเย่าเลยถามเผยเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ
เผยเยี่ยนส่ายหน้า เขาไม่ค่อยสนใจอาหารทะเล กับสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลยิ่งไม่เคยใส่ใจว่าแบบไหนกินได้ไม่ได้ แค่กินสิ่งมีชีวิตบนบกก็เพียงพอแล้ว
“นายก็ไม่รู้เหรอ?” คิดไม่ถึงว่ายังมีสิ่งที่กูรูเกาะไม่รู้จักด้วย จางเย่าเลยผิดหวังหน่อยๆ
“นาย อยากกิน?” เผยเยี่ยนนึกว่าจางเย่าก็อยากกิน เลยครุ่นคิดว่าตัวเองควรลงทะเลไปช่วยจางเย่าหาอาหารกลับมาบ้างดีไหม
“เปล่า...ฉันไม่อยาก...” เขาส่ายหน้าหวือ ไม่อยากกินเจ้านี่เลยแม้แต่นิด
“เฮอะ นายรอดกลับมาได้ด้วย?”
จู่ๆ เสียงฟังดูอวดดีชวนให้คนอารมณ์เสียอย่างแรงก็พลันดังขึ้นอยู่ทางด้านหลัง จางเย่าไม่ต้องหันหัวไปก็รู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังตัวเองคือใคร เสียงเรียกแขกให้เกลียดชังจนอยากรุมกระทืบแบบนี้มีอยู่คนเดียว ก็หนุ่มน้อย ‘วัยแรกแย้ม’ เซี่ยงเฉินคนทุเรศที่สุดนั่นไง
“ขอโทษทีนะ ก็ฉันรอดชีวิตกลับมาน่ะ” หลังยกมุมปากขึ้นอย่างหยิ่งผยอง ยิ้มกริ่มได้ใจแล้ว จางเย่าก็หันร่างกลับไปมองเซี่ยงเฉินที่เตี้ยกว่าหนึ่งช่วงหัวแล้วเอ่ยถาม “ทำไม? นายไม่มากินเนื้อหอยล้ำค่านี่ด้วยกันหน่อยเหรอ?”
เซี่ยงเฉินทำหน้ารังเกียจบอกถึงความรู้สึกขยะแขยงใส่ แล้วมองเนื้อหอยอย่างเหยียดหยาม เชิดคางสูงอย่างหยิ่งยโส “อาหารทะเลสุดยี้ขนาดนี้ ฉันไม่กิน!” เมื่อก่อนเขากินแต่อาหารทะเลชั้นสูงทำจากวัตถุล้ำค่า ถูกคนจัดขึ้นโต๊ะอย่างประณีต วัตถุชวนคลื่นเหียนที่จับมาอย่างมั่วๆ ซั่วๆ จากทะเลแบบนี้ เขากินไม่ลงโดยเด็ดขาด
“เฮ้อ สหายตัวน้อย นายอย่าพูดแบบนี้สิ เนื้อนี่อร่อยมากนะ เข้าปากปุ๊บละลายปั๊บ ไม่คาวเลยสักนิด” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เธอเอ่ยกำลังกินเนื้อหอยอยู่ พอได้ยินคำดูถูกของเซี่ยงเฉินเลยอ้าปากอธิบายให้ฟัง
“นั่นสิ มีของให้กินแต่ไม่กิน วางมาดทำไม” ผู้ชายสวมแว่นตากรอบดำด้านข้างรู้สึกไม่ถูกชะตากับเด็กที่เอาแต่เชิดหน้ามองคนอื่นต่ำกว่ามานานแล้ว จึงไม่ยอมแพ้และแค่นเสียงใส่บ้าง
“มีของกินก็ต้องกิน ถ้าไม่กินก็รอหิวตายเอาเหอะ” ผู้หญิงคนนั้นใช้มือกอบเนื้อหอยบนหินขึ้นมาอย่างเว่อร์วัง หลังจากกินหมดโดยใช้เวลาเพียงอึดใจเดียวก็ลุกขึ้นยืน รีบเข้าไปคว้าเนื้อหอยอีกชิ้นมาวางบนหินอีกกินอย่างเอร็ดอร่อย ของเหลวเหนียวหนืดจากเนื้อหอยไหลย้อยเปรอะข้างปากเต็มไปหมด หากว่าตามความรู้สึกของเธอคือไม่เคยกินเนื้อหอยที่อร่อยเด็ดขนาดนี้มาก่อน อยากให้ท้องมีพื้นที่ใส่ได้พอเหลือเกิน จะกวาดเนื้อหอยทั้งหมดที่เหลืออยู่ลงไปให้เรียบ
เดิมทีคนอื่นๆ ยังกลัวรูปลักษณ์ของมันจนไม่กล้ากิน พอเห็นคนที่กินเนื้อหอยเข้าไปแล้วแววตาต่างเปลี่ยนเป็นลุ่มหลงอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ต่างเริ่มรู้สึกหิวตงิดๆ ค่อยทำใจกล้า บางคนก็เดินไปข้างหน้าคว้าเอามาลองนิดหน่อย จากนั้นก็พ่ายแพ้ให้กับรสชาติของเนื้อหอยกันหมด ยอบตัวลงข้างเปลือกด้วยกันแล้วแย่งส่วนแบ่งเนื้อหอยที่เหลืออยู่มากิน
เมื่อเห็นส่วนที่คล้ายหัวของเด็กทารกโดนมือแต่ละคู่รุมทึ้ง ฉีกเนื้อสีชมพูขาวแต่ละริ้วออก ก่อนจะส่งเข้าไปในปากอ้ากว้างอย่างหิวกระหายของคนแล้วคนเล่า จนของเหลวเหนียวหนืดโปร่งแสงไหลเยิ้มเลอะข้างปาก จางเย่าก็รู้สึกคลื่นไส้ เคออี้เฉี่ยวที่อยู่ข้างๆ ก็อุดปากทำหน้าตกตะลึง มองคนที่กินเสียเบิกบานใจพวกนั้นอย่างอึ้งงัน
“เธอไม่กินเหรอ?” เธอเป็นคนเรียกเขามาดูหอยยักษ์นี่แท้ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้กลับสีหน้าแข็งค้างนิ่งสนิท
“มะ...ไม่คิดว่าข้างในจะเป็นแบบนั้น รู้สึกประหลาดชะมัด ฉันไม่อยากกิน...” ไม่ว่าเคออี้เฉี่ยวจะเตรียมใจให้ตัวเองแข็งแกร่งไว้แค่ไหน ก็ไม่กล้าไปแตะต้องเนื้อหอยหน้าตาเหมือนเด็กทารกสุดขีดนั่นหรอก
“ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่อยากกินเหมือนกัน” จางเย่ายักไหล่อย่างจนใจ แล้วก็หันหน้าไปถามเผยเยี่ยน “นายอยากไปกินไหม?”
เผยเยี่ยนไม่พูดไม่จา แค่ขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากยิ่งเม้มแน่นขึ้นอีก
“...ก็ได้ ฉันรู้แล้ว ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน”
“...”
สำหรับการเปิดตัวของคนหน้าใหม่อย่างเผยเยี่ยนผู้นี้ ทำเอาคนในถ้ำไม่ว่าจะชายหรือหญิงล้วนเหลือบมองพินิจโดยละเอียดสักรอบกันหมด อย่างไรก็เป็นผู้ชายงานดีจัดคนหนึ่งจริงๆ โดยเฉพาะหญิงสาววัยรุ่นบางส่วน ตอนนี้ลูกกวางตัวน้อยในใจยังอดไม่ไหวโลดเต้นเบาๆ เผลอจัดเสื้อผ้าหน้าผม กลัวว่าภาพลักษณ์ตัวเองกระเซอะกระเซิงและขายหน้า
ทว่าหลังจากผ่านไปไม่นาน สถานการณ์เช่นนี้ก็ดีขึ้น ไม่มีสายตามากมายขนาดนั้นสนใจเผยเยี่ยนแล้ว อย่างไรเสียตอนนี้สภาพจิตใจของทุกคนหลักๆ ก็ยังจัดอยู่ในหมวดเสี่ยงอันตรายและร้อนรน เรื่องสำคัญคือยังมุ่งสติไปที่การรอคอยทีมกู้ภัยและหาวิธีเอาตัวรอดของตัวเองอยู่ จึงไม่มีอารมณ์และเวลาเหลือให้ติดตามใส่ใจคนมาใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวนานเกิน
หลังจากเอาผลไม้ที่พวกเขาหอบกลับมาด้วยกันไปทิ้งไว้ให้ผู้ดูแลอาหารแล้ว จางเย่าก็พาเผยเยี่ยนเดินไปยังมุมหนึ่งในส่วนลึกของถ้ำเพื่อหาพื้นที่นั่งพัก แต่ต่อให้ได้นั่งลงบนพื้นจางเย่าก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยสักนิด เหตุเพราะเผยเยี่ยนตามเกาะหนึบ เอาแต่ง้องแง้งใส่เขาไม่หยุด ถามคำถามเป็นกระบุงชนิดไม่ยอมเอาความสนใจไปวางไว้ที่ ‘เผ่าพันธุ์’ เดียวกันคนอื่นเลย โดยเฉพาะกับผู้หญิงอย่างสาวน้อยเคออี้เฉี่ยวที่ปากเจื้อยแจ้วไม่เคยเงียบ เอาแต่ชวนคุยตลอดเวลา จางเย่ารู้สึกว่าสองวันมานี้ความอดทนของเขาถูกฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ...
จวบจนช่วงพลบค่ำ หลิวหรงกับจ้าวเสียงกว๋อก็เรียกทุกคนรวมตัวประชุมอีกแล้ว จางเย่าลุกขึ้นแบบไม่เต็มใจเท่าไร ขยับไปนั่งกองรวมกับคนอื่นฟังคนที่ยืนอยู่ตรงกลางพูด หลังฟังอารัมภบทน้ำท่วมทุ่งยาวเหยียดไปจบหนึ่งก็เอ่ยเรื่องสำคัญออกมาได้สักที ใจความคือวันนี้ได้ส่งคนไปออกสำรวจมาเต็มวัน รักษาให้กองไฟลุกโชนอยู่ตลอด ทั้งยังทำสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือขนาดยักษ์ไว้บนพื้นเพื่อหวังให้ดึงดูดความสนใจ แต่กลับยังไม่เห็นแม้แต่เงาของทีมกู้ภัยใดเลย ไม่ว่าจะทางเรือหรือเครื่องบินก็ตาม พวกเขาไม่รู้ว่าทีมกู้ภัยจะมาได้เมื่อไร จึงได้แต่ปลอบโยนทุกคนให้ใจเย็น รักษาจิตใจตัวเองให้มั่นคงไว้ ข้ามผ่านวันคืนที่ลำบากช่วงนี้ไปให้ได้ก่อน ถ้ามีปัญหาอะไรยังพึ่งพาพวกเขาได้ทั้งนั้น และยังพูดพล่ามอีกมากมาย
พอรู้ว่าทีมกู้ภัยยังไม่มาจางเย่าก็ไม่ใส่ใจฟังคำพูดเพ้อเจ้อตอนท้ายพวกนั้นให้ละเอียดอีก ส่วนเรื่องที่เขาเคยพูดถึงชายหนุ่มเหลือแขนท่อนเดียวนั่น เหมือนพวกเขาจะลืมไปโดยสิ้นเชิงไม่ได้เอ่ยขึ้นมาอีก เพราะอย่างไรคนก็ออกไปแล้ว หากพูดประเด็นที่เหลือแขนท่อนเดียวนี้ละก็จะต้องทำให้ทุกคนไม่กล้าออกไปเสี่ยงภัยข้างนอกอีกแน่นอน ในอนาคตก็จะไม่มีใครกล้าออกไปหาอาหาร ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ยินดีพูดออกมาอยู่แล้ว
กระทั่งมีผู้รอดชีวิตคนหนึ่งคล้ายจะรู้จักผู้ชายนอนกรนคนนั้นยกมือบอกว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมาเลย ครั้นถามว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ตำรวจที่ชื่อหลิวหรงถึงค่อยผุดรอยสงสัย หันหน้าไปถามจ้าวเสียงกว๋อด้านข้าง จ้าวเสียงกว๋อกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยคเหมือนอธิบายอะไรบางอย่าง หลิวหรงพยักหน้า เอ่ยปลอบโยนให้ทุกคนเข้าใจว่า “เขาเกิดอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เขาไม่ได้กลับมา แต่ทุกคนโปรดวางใจ จากนี้เพื่อความปลอดภัยของทุกคน พวกเราจะแบ่งทีมเพื่อให้หลายคนทำงานร่วมกัน แบบนี้จะปลอดภัยกว่า”
เมื่อบรรดาผู้คนได้ยินว่ามีคนเกิดเรื่องขึ้นต่างก็แตกตื่นทันที เป็นห่วงความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองเมื่อต้องอยู่บนเกาะ สุมหัวกระซิบกระซาบกัน
หลิวหรงเห็นสถานการณ์กลายเป็นวุ่นวายหน่อยๆ ก็เกาหัวแกรก เริ่มร้อนใจบ้างแล้ว จึงพูดเสียงดังขึ้น อยากปลอบประโลมจิตใจของทุกคน “ทุกคนไม่ต้องกังวลขนาดนั้นนะครับ นี่เป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น! พวกคุณดูสิ คนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าปลอดภัยกลับมากันหมดหรอกเหรอ? อีกอย่างถ้าไม่ออกไปหาอาหาร พวกเราก็จะหิวตาย เชื่อพวกผมนะครับ จากนี้ไปจะไม่เกิดเรื่องทำนองนี้อีก”
จ้าวเสียงกว๋อเห็นภาพตรงหน้าว่าหลิวหรงคุมสถานการณ์ไว้ไม่อยู่ เลยออกปากตามมาติดๆ ช่วยสงบสติอารมณ์ของเหล่าผู้รอดชีวิตที่จิตใจไม่มั่นคง
เหตุการณ์วุ่นวายดำเนินมาถึงตอนนี้ก็จบลง กลายเป็นเสียงโต้แย้งและอธิบายปลอบใจอันไร้จุดสิ้นสุดเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์ใดทั้งสิ้น มีแต่สะกดจิตคนฟัง ท่ามกลางเสียงเอ่ยของจ้าวเสียงกว๋อกับเสียงถกเถียงของทุกคน จางเย่าถูกสะกดจิตจนคางทิ้งดิ่ง เผยเยี่ยนที่นั่งเฝ้าข้างตัวอยู่ตลอดเห็นดังนั้นเลยดึงเสื้อจางเย่าเบาๆ ให้เขาเอนหัวล้มมาพิงตัวเอง เมื่อจู่ๆ หัวโงนเงนอยู่กลางอากาศไร้จุดรองรับได้ซบบนวัตถุอบอุ่นมั่นคงทั้งนุ่มเด้งเต็มที่ จางเย่าผู้สัปหงกอย่างรุนแรงเลยไม่ขบคิดอะไรนัก แนบลงไปพิงทันทีกระทั่งหลับสนิทอย่างสบาย
เผยเยี่ยนเห็นจางเย่าพิงหัวตัวเอง เส้นผมสั้นสีดำชี้ตรงกระเพื่อมไหวตามจังหวะหายใจและปราดผ่านแก้มเขาเบาๆ จนรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ร่างกายก็พลันก่อเกิดอารมณ์พิเศษบางอย่างตามมาด้วย นิ้วมือเหมือนจะชาดิกขึ้นตอนนี้เอง อยากแตะสัมผัสหรือเลียจางเย่าสักที หรือไม่ก็ใช้วิธีที่สนิทแนบแน่นกว่านี้ ขณะสูดลมหายใจเผยเยี่ยนได้กลิ่นบนตัวจางเย่าชัดเจนขึ้น จึงบีบปลายนิ้วมือตัวเองไปมาอย่างรุ่มร้อนกระวนกระวายใจ เขาเติบโตและใช้ชีวิตกลางป่าเขาลำเนาไพรมาตลอด อยากได้อะไรก็ใช้ความสามารถของตัวเองไปแย่งชิงเอามา ทว่าในยามนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ต้องการเป็นอย่างไร จึงยิ่งพะวักพะวนใจเพราะเรื่องนี้เข้าไปอีก
เขาไม่เคยได้สัมผัสความรักมาก่อน และไม่เคยคบหามีความรักกับใคร ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าถ้ารักแล้วต้องทำอย่างไรถึงจะได้อยู่ด้วยกัน เผยเยี่ยนเติบโตมากับสัตว์ป่า ย่อมไม่รู้ว่าขณะนี้ตัวเองเกิดความรู้สึกแสนพิเศษกับจางเย่าเข้าแล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่าจะแสดงออกและปลดปล่อยอย่างไร จึงทำได้เพียงกลัดกลุ้มสงสัยอยู่คนเดียว
ส่วนจางเย่าที่ไม่รู้ตัวว่าทำเอา ‘คนป่า’ ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ว้าวุ่นใจเข้าให้แล้ว ก็กำลังถูกเสียงประชุมสะกดจิตทีละนิดจนทำให้หลับสนิทเหลือเกิน
กระทั่งเสียงหวีดร้องปลุกเขาจนตื่นขึ้น
“อ๊าก!”