Saturday
สุดท้ายเจ้าสิ่งของสุดสยองนั่นก็ถูกนำมามาสก์อยู่บนหน้าจางเย่าอยู่ดี ถึงจะดูแล้วน่ารังเกียจจริงจัง แต่การใช้ชีวิตบนเกาะที่แค่เป็นแผลก็อาจติดเชื้อตายได้ทันทีนี้ ชีวิตย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น อีกอย่างเขาก็เป็นผู้ชายตัวโต จะกลัวของแบบนี้ได้ที่ไหน? จึงพยายามสุดชีวิต ไม่ใส่ใจว่าตัวยาบนหน้าสกัดมาจากอวัยวะภายในของสัตว์ นั่งอยู่ข้างกองไฟที่เผยเยี่ยนก่อไว้เรียบร้อยและรอกินเนื้อสัตว์ตากแห้งย่าง
เดิมทียังนึกว่า ‘คนป่า’ ผมยาวสยาย ห่มกายด้วยเนื้อหนังสัตว์อย่างเผยเยี่ยนผู้นี้จะชอบกินเนื้อสดๆ เสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่าที่แท้เขาก็ก่อไฟหุงหาอาหารเป็นเหมือนกัน จากคำอธิบายเขาบอกว่าจำกองไฟที่เคยเห็นเมื่อสมัยเด็กได้ เลยลองก่อไฟเองและทดลองย่างของกินดู ถ้าเคยกินอาหารดิบมาย่อมไม่ยอมกลับไปกินอีกเป็นอันขาด แน่นอนว่าบางครั้งถ้าไม่มีเวลาก่อไฟเตรียมไว้ล่วงหน้า เขาก็สามารถกินอาหารดิบได้เลยเหมือนกัน
กริชเล่มที่เผยเยี่ยนใช้ก่อไฟได้ประหนึ่งไฟแช็กเมื่อครู่คือกริชแบบหยาบๆ สีม่วงเข้ม เหมือนทั้งอัญมณีและให้ความรู้สึกคล้ายโลหะ ถูกลับคมจนคมกริบอย่างยิ่ง เพียงแตะลงบนผิวเนื้อที่เพิ่งย่างเสร็จและกรีดอย่างเบามือก็แยกชิ้นเนื้อได้แล้ว ตำแหน่งด้ามจับใช้เอ็นสัตว์มาพันรอบจึงควบคุมได้สะดวกมือ กริชที่ทำขึ้นมาจากวัสดุแสนพิเศษเล่มนี้ไม่เพียงใช้งานง่าย แต่ยังเอามาฝนให้เกิดประกายเพื่อก่อไฟได้ด้วย เป็นเครื่องมือชั้นยอดโดยแท้
“ชอบ?” พอเห็นจางเย่าถือเล่นอย่างอารมณ์ดี เผยเยี่ยนที่อยู่ข้างกายก็เอ่ยถาม
“ใช้ได้สุดๆ เลยแหละ มีอาวุธแบบนี้อยู่ในมือแล้วทำให้รู้สึกเหมือนเข้าออกเกาะนี้ได้มั่นใจดี” ตอนนี้เขามีเพียงสองมือ แค่ขยับตัวบนเกาะแต่ละทีก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ถ้าจะต้องใช้มือเปล่าเผชิญหน้ากับอันตรายทั้งปวง นี่คือสุดแสนจะพึ่งพาไม่ได้จริงๆ
“ให้นาย” เผยเยี่ยนยื่นมือไปกุมทับมือจางเย่าที่ยังกำกริชไว้ จับจ้องจางเย่าด้วยสายตาจริงจังขณะบอก
“...” อาวุธที่ทำจากวัสดุพิเศษแบบนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้เครื่องมือช่วยเหลือยังทำออกมาได้ถึงระดับนี้ ทั้งยังเป็นวัสดุหายากมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มองปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นของล้ำค่า จางเย่าคิดไม่ถึงว่าพ่อหนุ่มเผยเยี่ยนนี่จะแสดงออกว่าอยากมอบให้เขาอย่างง่ายดาย อันที่จริงเขาอยากพยักหน้าตอบรับอยู่แล้วแน่ๆ แต่เพื่อแสดงความเกรงใจก็ยังต้องปฏิเสธสักหน่อยให้พอเป็นพิธี
“กริชเล่มนี้ดูมีค่ามากนะ นายจะยกให้ฉันจริงเหรอ” เขาอยากดึงมือขวาข้างที่ถูกเผยเยี่ยนกอบกุมไว้ออกมา แต่ยื้อยุดอยู่หลายทีก็แพ้ราบคาบ จางเย่าผู้มีเรี่ยวแรงสู้ ‘คนป่า’ ไม่ไหวจึงกลอกตามองบนด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ได้แต่ใช้อีกมือหนึ่งคว้าเนื้อย่างสุกกำลังดีมากินซะ
“คนรัก ให้ได้” เผยเยี่ยนพยักหน้า แล้วตอบออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเหลือเกิน
คนรักกับผีนายน่ะสิ! จางเย่าเพิ่งยัดเนื้อชิ้นนี้เข้าปากเลยหวิดจะพ่นออกมา คิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้เผยเยี่ยนยังไม่ลืม ติดใจเรื่องคนรักอยู่อีก ตกลงว่าได้อ่านหนังสือทุกประเภทที่แม่เก็บไว้ให้เข้าใจหรือเปล่าเนี่ย? ผู้ชายต้องมีผู้หญิงเป็นคนรักถึงจะสอดคล้องกับความรู้สึกที่เรียกว่าปกติสิ
“แล้วตัวนายจะทำยังไง?” จางเย่าเมินประเด็นเรื่องคู่รักอีกครั้ง โพล่งถามเผยเยี่ยนขึ้นมาว่าถ้าไม่มีกริชแล้วจะทำอย่างไรต่อไป
“ฉัน มีอีกเล่ม” เผยเยี่ยนคว้าอาวุธอีกเล่มลักษณะคล้ายดาบยาวทำจากหินแร่สีม่วงประเภทเดียวกันแต่เรียวยาวกว่าออกมาจากตรงด้านหลังบั้นเอวซึ่งสวมกระโปรงกางเกงหนังขนสัตว์อยู่ มีฝักทำจากหนังและกระดูกสัตว์ห่อหุ้มตรงส่วนคมดาบไว้ จึงเก็บแนบตัวโดยไม่บาดถูกผิวและสามารถพกพาไปด้วยได้ตลอดเวลา
“ตกลง งั้นก็ขอบคุณนะ” ในเมื่อเผยเยี่ยนยังมีอาวุธอยู่ จางเย่าจึงไม่ปฏิเสธ รับเอากริชที่อีกฝ่ายมอบให้มาพกติดตัว
หลังจากกินดื่มเต็มคราบ จางเย่าก็เริ่มพิจารณาเรื่องย้อนกลับไปทางชายหาด เขายังต้องกลับไปดูว่ามีทีมกู้ภัยมาบ้างหรือเปล่า ถึงแม้สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นของเผยเยี่ยนจะเหมือนกับพวกเขา เกิดอุบัติเหตุแล้วระหกระเหินขึ้นเกาะมาโดยไม่มีใครตามหาเจอ แต่เมื่อเวลาผ่านมานานหลายปี เทคโนโลยีของทีมกู้ภัยยุคปัจจุบันจะต้องพัฒนาล้ำหน้ากว่ายุคก่อนบ้างถึงจะถูกสิ หากเทียบกับเมื่อสิบกว่าปีก่อน เรื่องการค้นหาคนน่าจะพอมีหวังมากกว่า จางเย่าพยายามคิดในแง่ดีสุดความสามารถ ต่อให้ไม่ชอบบรรดาผู้รอดชีวิตกลุ่มนั้นที่นิสัยแปลกพิกล เขาก็ยังต้องกลับไปดูหน่อยว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
“พรุ่งนี้ฉันคิดว่าจะกลับไป นาย...” บางทีเผยเยี่ยนที่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตบนเกาะแล้วอาจไม่อยากกลับเข้าเมืองก็เป็นได้ จางเย่าไม่รู้ว่าลึกๆ ในใจเขาคิดเห็นแบบไหน ยินดีจะออกจากที่นี่ไปพร้อมกันเพื่อเสาะหาทางออกหวนคืนสู่โลกความเจริญหรือเปล่า
“ฉัน ไปกับนาย”
“นายยินดีจะออกจากที่นี่?” แต่ในถ้ำนี้มีความทรงจำที่พ่อแม่และตัวเผยเยี่ยนเองทิ้งไว้อยู่มากมายเลยนะ
“นายไปไหน ฉันไปด้วย”
“...” พอเห็นว่าเผยเยี่ยนเงยหน้ามามอง ท่าทางรั้นจะตามไปด้วยให้ได้ จางเย่าก็ยกมือมาทึ้งแก้มด้วยความรู้สึกจนใจทั้งยังสับสนอยู่หน่อยๆ
สถานการณ์ประเภทนี้เรียกว่าอะไรนะ? ลูกเป็ดเพิ่งฟักตัวออกจากไข่? ถือเอาว่าคนแรกที่เห็นคือแม่เท่านั้น? เอาน่า...ข้อแรกคือเขาไม่ใช่แม่เป็ด ข้อสองคือเผยเยี่ยนก็ไม่เหมือนลูกเป็ดขนนุ่มฟูเลยแม้แต่นิด ถ้าต้องเปรียบเทียบว่าเหมือนอะไรจริงๆ ละก็ จางเย่ากลับรู้สึกว่าเผยเยี่ยนเหมือนสัตว์ใหญ่พันธุ์ดุร้ายที่ยังไม่ได้รับการฝึกให้เชื่องเสียมากกว่า...
เขาก้มหน้าเหลือบมอง เผยเยี่ยนนั่งยองอยู่บนพื้นสบายๆ ใช้สองมือฉีกทึ้งเนื้อกินอย่างดิบเถื่อน บรรยากาศรอบตัวอันแข็งแกร่งที่แผ่กระจายออกมาทำเอาคนไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะคนอย่างเผยเยี่ยนเพราะฝึกฝนอยู่กลางป่ามาเป็นเวลานานจึงมีรูปร่างสูงเพรียวกำยำ มัดกล้ามแน่นเด่นชัดไปหมดทั้งตัว ผิวตากแดดจนคล้ำดำ เครื่องหน้าผสมผสานระหว่างพ่อกับแม่ทำให้ดูคมสัน จมูกโด่ง ถ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมยกเซตและตัดผมแต่งทรงอีกหน่อย จะต้องเหมือนพวกเจ้าชายอาหรับแน่นอน
น่าเสียดายว่าคนที่มีรูปโฉมเจิดจรัสขนาดนี้ ความจริงกลับเป็นคนหนุ่มที่พ่อหายสาบสูญ แม่ป่วยเสียชีวิต ตัวเองถูกสัตว์ป่าเลี้ยงจนโตบนเกาะ วันๆ ต้องสู้รบตบมือกับธรรมชาติเพื่อเอาชีวิตรอด ดูท่าแล้วทุกคนคงมีวาสนาต่างกันไป ถึงจะมีเงินก็ไม่แน่ว่าจะหน้าตาดี เครื่องหน้าอาจอัปลักษณ์สุดสยองก็เป็นได้ ส่วนคนรูปงามก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเจ้าชายอาหรับเสมอไป อย่างคนตรงหน้าเขานี่ไง...
“จะว่าไป ทำไมนายไม่มีหนวดล่ะ?” ตามหลักแล้วคนป่าควรจะมีขนเต็มหน้าถึงจะถูก ถึงเส้นขนบนตัวชาวเอเชียจะมีไม่มากเท่าชาวยุโรป แต่เผยเยี่ยนถือว่าเป็นลูกครึ่ง เมื่อถึงวัยแล้วก็น่าจะมีหนวดขึ้น ผมยาวเสียขนาดนั้นแต่ใบหน้ากลับเกลี้ยงเกลา แบบนี้ดูไม่สอดคล้องกับเรื่องราวในแอนิเมชันหน่อยๆ หรือเปล่า?
“กินข้าว ลำบาก” เผยเยี่ยนดึงดาบข้างหลังออกมาทาบลงบนใบหน้าตัวเอง ทำท่าทางพลางเอ่ยอธิบาย
“อ้อ...” คือกลัวกินหนวดเข้าไปหมดเลยโกนซะเรียบ? แต่การถือดาบคมกริบเล่มใหญ่วาดผ่านบนใบหน้าก็ออกจะห้าวหาญเกินไปหน่อยไหม? ความจริงจางเย่ายังอยากเอ่ยเตือนอีกหน่อยว่าตอนกินอาหารเส้นผมก็ตกลงมาปรกหน้าได้ง่ายมากเหมือนกันนะ...
“หรือจะให้ฉันช่วยนายตัดผมดี? จะได้ลดความยุ่งยาก” พรุ่งนี้ถ้าพาคนป่าผมยาวรุงรัง โดดเด่นจนเรียกความสนใจกลับไปด้วยต้องได้อธิบายไม่จบไม่สิ้นแน่ สู้จับเผยเยี่ยนแต่งองค์ทรงเครื่องให้พอๆ กับคนปกติหน่อยจะดีกว่า ลดภาระเขาที่ต้องไขข้อสงสัยและอธิบายให้กับทุกคน
เผยเยี่ยนผู้ชิงชังเส้นผมข้างหลังอันจัดการแสนยากเย็นจึงทิ้งไว้ไม่ไยดีมาตลอด พอได้ยินจางเย่าบอกว่าสมัครใจจะช่วยตัดให้เองกับมือก็พยักหน้าอย่างปลาบปลื้มเป็นอันว่าเห็นด้วย คนรักที่เขาตกหลุมรักนี่ช่างอบอุ่นใส่ใจอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย
จางเย่าผู้เกลียดการอธิบายเรื่องยุ่งยากจึงช่วยเผยเยี่ยนแปลงโฉมไม่ได้รู้ตัวเลยว่าความรู้สึกดีๆ ในใจเผยเยี่ยนที่มีต่อตัวเองได้พุ่งทะยานขึ้นไปอีกขั้นแล้ว รับกรรไกรกระดูกสัตว์เรียบง่ายที่เผยเยี่ยนทำเลียนแบบจากกรรไกรเก่าขึ้นสนิมมาด้วยท่าทางสบายๆ ใช้คู่กับกริชพกคมกริบในมือ นอกจากนี้พอรื้อค้นเสื้อผ้าของพ่อเผยเยี่ยนมาจากกล่องไม้ตรงมุมถ้ำได้แล้วก็ช่วยจัดการรูปลักษณ์ทั้งตัวให้จนเรียบร้อย
เนื่องจากเวลาล่วงเลยผ่านมานานปีจึงมีแค่กางเกงที่ยังพอฝืนใส่ได้ ส่วนเสื้อเปื่อยยุ่ยไม่ไหว จางเย่าเลยถอดเสื้อคลุมตัวนอกแบบมีซิปของตัวเองให้เผยเยี่ยนใส่ เพราะยังไงเขาก็ยังมีเสื้อยืดข้างในอีกตัว
หลังจากช่วยเผยเยี่ยนตัดผมจนสั้นทั้งหัว ภาพรวมดูเป็นทรงเรียบร้อย จางเย่าเห็นผลงานของตัวเองแล้วก็พอใจเหลือเกิน เป็นเพราะเมื่อก่อนตอนว่างๆ เขาก็เคยหัดตัดผมด้วยตัวเอง ดังนั้นทักษะเหล่านี้เลยยังไม่ขึ้นสนิมสินะ
พอเผยเยี่ยนเปลี่ยนลุคเป็นผมสั้นเย็นสบายทั้งหัว สวมเสื้อคลุมลายหัวกะโหลกสีดำของจางเย่าและกางเกงเสริมให้แข้งขาดูสูงโปร่งเหยียดตรง ระดับความหล่อเหลาจึงยิ่งพุ่งทะยานขึ้น ทำเอาแม้แต่จางเย่ายังอดไม่ไหว บี้แก้มเต็มแรงหนึ่งครั้ง “อยากได้น้ำกรดสักขวดจัง”
เผยเยี่ยนรู้จักน้ำกรดแค่ในหนังสือเท่านั้น แต่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของจางเย่า เขาลูบแก้มที่ถูกจางเย่าบี้แล้วก็เอียงคอถามอย่างงุนงง “น้ำกรด?”
“ถ้าไม่เข้าใจก็งงต่อไปเหอะ...” จะให้ยอมรับว่าอิจฉาหน้าตาของเผยเยี่ยนได้ที่ไหน จางเย่าไม่ยอมรับเด็ดขาดว่ามีคนหล่อกว่าตัวเอง แบบนั้นมันขายขี้หน้าเกิน
ครั้งแรกที่สวมใส่เสื้อผ้าแนบติดลำตัว เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของเผยเยี่ยนดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย อีกทั้งเคยชินกับการใช้แขนขาวางกับพื้นตอนล่าเหยื่อมานานปี แม้สองสามปีหลังจากเป็นอิสระมานี้จะมีโอกาสลองใช้สองขายืนตรงเดินเหินค่อนข้างมาก แต่แผ่นหลังก็ยังติดโค้งงอ ค้อมไปข้างหน้าจนเป็นนิสัย ทำให้พอได้สวมเสื้อผ้าแล้วยิ่งเห็นได้ชัดว่าร่างสูงโปร่งของเขาหลังค่อมอยู่บ้าง ทำเอาจางเย่าที่ยืนชมเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ รู้สึกเบิกบานใจเหลือเกินจนเกือบหลุดปากขำออกมา พอสะกดกลั้นได้แล้วจางเย่าก็ตบแผ่นหลังเผยเยี่ยนแรงๆ สองสามครั้งแล้วเอ่ยติง “นายต้องทำตัวให้ชินกับเสื้อผ้านี่ไว้ คนอื่นสวมเสื้อผ้าออกจะเป็นธรรมชาติ นายอย่าทำท่าเหนียมๆ เชียวนะ เดี๋ยวคนจะคิดว่านายประหลาด แผ่นหลังเนี่ยก็เหยียดตรงไว้ อย่าโก่งงุ้มแบบนั้น”
“อ้อ...” เผยเยี่ยนพยายามทำความคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงบนร่างกาย เหยียดตัวตรงแหน็ว ลูบผมสั้นกับเสื้อผ้าที่ผิวสัมผัสต่างจากหนังสัตว์อย่างใคร่รู้ แถมยังเล่นซิปโลหะบนเสื้อคลุมตัวนอกของจางเย่าอย่างสนอกสนใจเหลือเกิน
“หืม? นั่นอะไรน่ะ?” จางเย่าเก็บเส้นผมบนพื้นเตรียมนำไปทิ้งนอกถ้ำ ตอนเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าข้างนอกถ้ำมีจุดแสงสีขาวขนาดราวเมล็ดข้าวลอยผ่านทางด้านซ้ายของปากถ้ำไปพอดี
จุดแสงลอยล่องอยู่กลางอากาศ กระเพื่อมไหวซ้ายขวาสองสามครั้งจากนั้นจู่ๆ ก็เลี้ยวไปทางขวามือของจางเย่า สายตาของเขาเคลื่อนตาม ทอดมองไปยังกลางอากาศทางด้านขวา ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำเอาจางเย่ามหัศจรรย์ใจไม่น้อย
ท่ามกลางม่านราตรีสีดำอมน้ำเงิน จุดแสงขาวเล็กจ้อยนั่นไปรวมกับแสงขาวกลุ่มใหญ่เหมือนจะกลายเป็นจุดแสงนับพันนับหมื่น ผสมกันจนเป็นทรงกลมเหมือนลูกบอล ส่องแสงวับวาวสวยงามเหลือเกิน ลูกทรงกลมกะพริบอยู่ภายใต้การขับเน้นของรัตติกาลสีเข้ม ยิ่งดูหลุดจากโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อลูกทรงกลมใหญ่เปล่งแสงเคลื่อนที่ลดระดับลง แนวสายตาของจางเย่าก็หลุบต่ำมองตามลงไป จึงได้เห็นว่าท่ามกลางแมกไม้ใต้ถ้ำนั้นไม่ได้มีแค่สีขาว ยังมีสีฟ้าอ่อน สีม่วงจาง และสีเหลืองนวลต่างทยอยกันเปล่งแสงในผืนป่า บรรยากาศครึกครื้นหาใดเปรียบ
จางเย่าผิวปากหวืออย่างอดไม่อยู่ แล้วกล่าวชม “สวยชะมัดเลย”
“ลงไป ดูไหม?” เห็นจางเย่าสนใจขนาดนี้ แม้แต่ในดวงตาดำขลับคู่นั้นของเขาก็ยังส่องสะท้อนจุดแสงหลากสีพวกนั้นด้วยจนยิ่งพราวระยับ เผยเยี่ยนยินดีจะทำให้จางเย่ามีความสุขกว่านี้
“ลงไปดู? เอาสิ” ถ้าเข้าไปดูวัตถุเปล่งแสงพวกนั้นใกล้ๆ ได้ เรื่องสนุกแบบนี้จางเย่าจะไม่เปรมปรีดิ์ได้ไงเล่า
ตั้งแต่เล็กจางเย่าก็ปีนต้นไม้ป่ายกำแพงยันมีเรื่องชกต่อยมาไม่เคยว่างเว้น ดังนั้นการไต่ต้นไม้ริมปากถ้ำลงไปจึงไม่เป็นอุปสรรคทางใจแต่อย่างใด แม้เผยเยี่ยนจะแสดงออกอยู่ตลอดเวลาว่าอยากเป็นคนพาลงไป ‘ด้วยตัวเอง’ แต่ก็ถูกจางเย่าปฏิเสธโดยเด็ดขาดอยู่ดี ตลกแล้ว ถ้าแค่ปีนต้นไม้ต้นเดียวยังต้องให้คนอื่นช่วย เขาก็น่าอนาถเกินไปหน่อยมั้ง?
ระยะห่างระหว่างพื้นกับถ้ำสูงกว่าที่จางเย่าคิดไว้มากทีเดียว กว่าจะปีนลงไปถึงสองแขนที่โอบล้อมลำต้นไต่ลงมาตลอดทางก็ปวดแสบแทบแย่ พอมองเผยเยี่ยนที่ลงมารออยู่ใต้ต้นไม้ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว ในใจจางเย่าก็ปลอบประโลมตัวเองไม่หยุด อย่าไปเทียบกับหมอนี่เชียว เขาเป็น ‘คนป่า’ ไม่มีอะไรน่าเปรียบหรอก
หลังจากเหยียบลงบนผืนดิน ย่ำกองใบไม้หนานุ่มฟูใต้ฝ่าเท้า จางเย่าก็เห็นตรงที่ไม่ไกลนัก ใต้ประกายเจิดจ้าของลูกแสงทรงกลมหลากสี แม่น้ำกลางรัตติกาลกำลังส่องสะท้อนแสงสารพัดสี ที่แท้ตรงนี้ก็มีน้ำสะอาดดื่มได้ เลือกทำเลได้ไม่เลวจริงๆ
จางเย่าเดินไปทางแม่น้ำ อยากดูลูกทรงกลมเปล่งแสงหลากสีที่มารวมกันอย่างไม่ทราบสาเหตุพวกนั้นให้ละเอียด เขาไม่รู้ว่าวัตถุเปล่งแสงเหล่านั้นคืออะไร และไม่รู้ว่าทำไมถึงมารวมตัวกัน และเพราะสารพัดความไม่รู้นี้เองเลยยิ่งทำให้สนใจใคร่รู้มากขึ้นไปอีก
ขณะเดินเข้าไปใกล้พอสมควร จู่ๆ เผยเยี่ยนก็ยื่นมือมาขวางตัวจางเย่าที่อยากเข้าไปใกล้กว่านี้ เขามองเผยเยี่ยนอย่างงุนงงเล็กน้อย เลิกคิ้วถามสาเหตุ
“แมลงนี่ มีพิษ”
“แมลง?” พวกวัตถุเรืองแสงเหล่านี้เป็นแมลงหมดเลย? พอได้ยินเผยเยี่ยนพูดแบบนี้จางเย่าถึงค่อยหรี่ตาลพิจารณาให้ละเอียด ที่แท้ลูกทรงกลมเปล่งแสงขนาดมหึมาเกิดจากแมลงบินได้ตัวจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเปล่งแสงในตัวเอง ลักษณะหน้าตาคล้ายกับผีเสื้อกลางคืนก่อตัวรวมกลุ่มกันขึ้นมา
“ถ้าไปแตะโดนเข้าจะเป็นยังไงเหรอ?” พวกมันตัวกระจ้อยซะขนาดนั้นแต่กลับมีพิษด้วย? จางเย่าเลยสงสัยว่าพิษของพวกมันออกฤทธิ์แบบไหนกัน
“ตุ่มบวม”
“งั้นก็ไม่ต่างจากโดนผึ้งต่อยหรือเปล่า?” ถ้าถูกแมลงพวกนี้ล้อมโจมตีขึ้นมาคงยุ่งยากและจบไม่สวยแน่ จางเย่าขยับก้าวถอยหลังห่างให้ห่างออกมาอีกเล็กน้อยอย่างรู้งาน เขาก็ไม่ได้อยากโดนแมลงกัดจนขึ้นตุ่มบวมเต็มตัวหรอก
ระหว่างนั้นลูกทรงกลมเปล่งแสงก็เริ่มลอยปะทะชนกันเองกลางอากาศ แต่ละเฉดสีผสมปนเปเข้าด้วยกัน ช่างสวยงามตระการตา ทัศนียภาพแบบนี้มีเพียงธรรมชาติเท่านั้นที่สรรค์สร้างได้ พวกมันพุ่งชน เข้าประสาน ก่อนจะค่อยๆ แยกจากกัน ครู่ต่อมาแมลงตัวน้อยเปล่งแสงแต่ละตัวก็เริ่มร่วงหล่นสู่พื้นดินและดับแสงลงทีละน้อย หลงเหลือเพียงแมลงส่วนหนึ่งที่ยังทอแสง บินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ และรวมตัวกันขึ้นไม่ได้เป็นรูปทรงกลมกลึงอีกแล้ว กลายเป็นคลื่นริบบิ้นหลากสีปลิวไสวกลางอากาศแทน
“ทำไมตายแล้วล่ะ?” เห็นว่าแมลงตัวน้อยสิ้นแสงประกายอยู่บนพื้นกองใหญ่ กลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง จางเย่าก็ไม่เข้าใจ
“หาคู่ วางไข่ ตาย” เผยเยี่ยนใช้คำอธิบายเรียบง่ายบอกเล่าพฤติกรรมของแมลงชนิดนี้ให้จางเย่าฟัง
“เข้าใจละ...” พวกมันก็เหมือนสัตว์ชนิดอื่นในธรรมชาติ วันนี้เป็นช่วงหาคู่ผสมพันธุ์ จางเย่ามาเห็นเข้าพอดีเลยโชคดีได้ชมจุดจบของพวกแมลงซึ่งเป็นฉากสุดท้ายที่สวยงามพร่างพราวที่สุดด้วย
พวกแมลงเปล่งแสงตัวเมียที่ยังไม่ตายก็ค่อยๆ ลอยไปหยุดบนวัตถุลอยผ่านมากลางน้ำชิ้นหนึ่ง ทำให้จางเย่าสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำในยามโพล้เพล้มืดสลัวนั่นด้วย เป็นปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันถูกแท่งไม้หรืออะไรบางอย่างแทงตาย ส่วนปากดูโหดอำมหิตมาก ลูกตาถลนออกนอกเบ้า ฟันยักษ์ยื่นมาปิดคลุมนอกริมฝีปาก คล้ายมีวัตถุสีเนื้อชิ้นหนึ่งปรากฏให้เห็นรางๆ อยู่ด้านใน
จางเย่าเห็นว่าบนตัวปลายังมีแมลงตัวเมียล้อมกรอบปกคลุมอยู่เป็นโขยงเพื่อวางไข่ในร่างปลาตาย ก็ไม่ได้ไปรบกวนพวกมัน รอจนส่วนใหญ่วางไข่เสร็จและซากแมลงตายลอยตามกระแสน้ำพัดจากไปจนหมดจดแล้ว จึงค่อยเดินไปริมฝั่งแม่น้ำ หักเอากิ่งจากต้นไม้มาแล้วง้างปากปลาสภาพกึ่งลอยกึ่งจมอยู่กลางแม่น้ำให้เปิดอ้า อยากดูสิ่งที่อยู่ข้างในให้ดีๆ ว่าคืออะไร กระทั่งเห็นชัดเจนแล้วก็พลันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบหักกิ่งไม้ข้างๆ มาอีกกิ่งเพื่อคีบของในปากปลาออกมา
“นี่คือ?” เผยเยี่ยนมองของที่จางเย่าคีบออกมาโดยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เพียงแต่สงสัยเฉยๆ
“เหมือนฉันเคยเจอคนคนนี้มาก่อน”
หลังจากตอบคำถามเผยเยี่ยนแล้วจางเย่าก็ก้มหน้ามองวัตถุที่อยู่ระหว่างกิ่งไม้สองกิ่งนั้น ภายใต้แสงนวลนุ่มของดวงดาว จึงเห็นแขนมนุษย์ท่อนหนึ่ง มันแช่อยู่ในน้ำจนมีสภาพขาวซีด บนนั้นยังเหลือเศษชายเสื้อไว้ส่วนหนึ่ง แม้แต่เศษผ้าชิ้นนี้ก็ดูคุ้นตาเหลือเกิน เหมือนเป็นแขนเสื้อของผู้ชายที่นอนกรนอยู่ในถ้ำข้างเขาเมื่อคืนมาก รอยปานดำแสนโดดเด่นบนหลังมือนั่นก็ยังเป็นตำแหน่งเดียวกันอีก...
ทำไมท่อนแขนของเขาถึงมาอยู่ในปากปลาดุร้ายแห่งแม่น้ำสายนี้ได้? หรือทางชายหาดเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จางเย่าขมวดคิ้วแน่น รู้สึกขึ้นมาว่าเกาะแห่งนี้มีอันตรายรอบด้านและเสี่ยงชีวิตทุกย่างก้าวจริงๆ...