Saturday
เกาะแห่งนี้ไม่ได้ต้อนรับผู้รอดชีวิตอย่างพวกเขาเป็นครั้งแรก เผยเยี่ยนก็เป็นผู้รอดชีวิตหนึ่งในนั้น แต่มาก่อนพวกจางเย่านานเหลือเกิน
กลางดึกคืนหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน เรือสำราญข้ามมหาสมุทรสู่แดนไกลลำมหึมาได้หลงทางอยู่กลางหมอกทึบสีม่วงดำเช่นเดียวกัน ไม่ว่ากัปตันจะพยายามบังคับเรือให้กลับสู่เส้นทางเดิมเท่าไรก็ล้วนหาทางออกไม่เจอ จวบจนตอนที่ไอหมอกสลายตัว เรือก็ลอยลำสู่ผืนมหาสมุทรโดยที่จับทิศทางไม่ถูกอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังชนเข้ากับหินโสโครกยักษ์กลางทะเลจนส่วนหัวเรือพังยับเปิดเป็นรูขนาดใหญ่ ตามมาด้วยไฟลุกโหมตัวเรือ ทำให้คนบนนั้นพากันเร่งอพยพลงเรือยางลำเล็กที่สูบลมเต็มอย่างดี ก่อนจะรีบเคลื่อนหนีออกเพื่อเอาชีวิตรอด
บางคนถูกสิ่งมีชีวิตนิรนามที่อยู่ข้างใต้จู่โจม กระชากลงก้นมหาสมุทรและหายไปไร้ร่องรอย บางคนก็ลอยล่องอยู่กลางน้ำยืนหยัดได้หลายวัน ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรง สมรรถภาพร่างกายอ่อนแอเกินไป จึงขาดน้ำหรือไม่ก็เจ็บป่วยตาย อย่างไรก็ตามยังมีคนส่วนหนึ่งโชคดีรอดชีวิตและขึ้นเกาะแห่งนี้ได้สำเร็จ
ตอนเพิ่งขึ้นเกาะแรกๆ ทุกคนยังมีความหวังเต็มเปี่ยม รอคอยว่าจะมีใครมาช่วยเหลือ ทว่ากาลเวลาเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วราวติดปีก จากหนึ่งวันผ่านไปเป็นหนึ่งสัปดาห์ก็แล้ว จนกระทั่งถึงครึ่งเดือน ท้องทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาก็ยังไม่มีวี่แววของข่าวคราวและความเคลื่อนไหวใดแม้กระผีกริ้น ท่ามกลางสภาวะอับจนหนทาง พ่อแม่ของเผยเยี่ยนกับผู้รอดชีวิตคนอื่นยังคงพยายามเอาตัวรอดบนเกาะอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลเด็กน้อยเผยเยี่ยนที่ขึ้นเรือมากับพวกเขาและเพิ่งหัดเรียนรู้ภาษาพูดจาอ้อแอ้ไปด้วย
สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือเรื่องความปลอดภัยบนเกาะแห่งนี้ไม่เป็นอย่างพวกเขาจินตนาการไว้ มีทั้งพืชพรรณแปลกประหลาดกับสิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารอีกมากมายโดยที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนด้วย ทุกสิ่งล้วนคุกคามชีวิตของพวกเขา บางคนกินผลไม้ผิดสำแดงเพราะเข้าใจผิดว่ากินได้ เลยถูกพิษจนกระอักเลือดเลือดอาบจนตัวบวมตาย บางคนก็ถูกสิ่งมีชีวิตประหลาดลอบจู่โจมจับตัวไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย
เมื่อพลิกหน้ากระดาษเหลืองซีดอ่านไดอารี่ที่แม่ของเผยเยี่ยนเขียนไว้แล้ว จางเย่าก็เข้าใจความน่ากลัวของเกาะนี้ขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้รอดชีวิตคนอื่นอีกด้วย แต่อาศัยอยู่มานานขนาดนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปอย่างปลอดภัยเลย แล้วพวกเขาที่เพิ่งขึ้นเกาะมา จะพบจุดจบแบบเดียวกับกลุ่มผู้รอดชีวิตก่อนหน้านี้หรือเปล่า?
จางเย่าพลิกเปิดไดอารี่อ่านต่อไปถึงตอนท้าย แม่ของเผยเยี่ยนเขียนเขียนไว้ว่าผู้รอดชีวิตรอบตัวเธอน้อยลงทุกที จนกระทั่งวันหนึ่งคนส่วนใหญ่ไม่อาจทนรับสภาพที่ต้องอยู่บนเกาะต่อไปได้ เลยวางแผนสืบเสาะเข้าเขตด้านในที่ไอหมอกสีม่วงปกคลุมอยู่ จุดประสงค์คืออยากหาเส้นทางกับวิธีออกไปจากเกาะ
“ทำไมต้องเข้าไปหาด้านในตัวเกาะ? ทำไมทุกคนไม่ทำแพไม้ไผ่หรือต่อเรือออกจากเกาะนี้ไปล่ะ?” โดยปกติถ้ารอคอยมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วยังไม่มีใครมาช่วย ก็ควรเริ่มลงมือด้วยตัวเอง ชิงออกจากเหาะแห่งนี้เองก่อน แต่บรรดาคนที่ถูกพูดถึงในไดอารี่ไม่เพียงไม่หนีออกข้างนอก กลับยังเข้าไปด้านในตัวเกาะ จางเย่าไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร
“ต้นไม้ ถูกสาป” เผยเยี่ยนเห็นจางเย่าสงสัยเลยใช้ภาษาง่ายๆ ของเขาบอก
“ถูกสาป?” จางเย่ายังไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่เผยเยี่ยนต้องการจะสื่ออยู่ดี
เมื่อไม่สามารถบอกเล่าออกมาเป็นคำพูดอย่างชัดเจนได้ เผยเยี่ยนก็ก้มหัวลงครุ่นคิดสักพัก จู่ๆ ก็หันตัวพุ่งกระโจนออก หายไปท่ามกลางม่านราตรีนอกถ้ำ
“เฮ้ย! เป็นไรไปเนี่ย?” จางเย่าตามมาถึงปากถ้ำแล้วถึงค่อยพบว่าจุดที่พวกเขาอยู่สูงจากพื้นดินค่อนข้างมาก มีระยะห่างอย่างน้อยหลายสิบเมตรทีเดียว วิธีจะลงมีเพียงต้องอาศัยต้นไม้สูงมีใบทรงกลมอย่างลูกบอลดกครึ้มซึ่งเติบโตอยู่ตรงริมผนังถ้ำ และทุ่นแรงด้วยการปีนป่ายไปตามลำต้นเอาเท่านั้น หลังจากกิ่งไม้ส่ายไหวสองสามครั้ง เงาร่างของเผยเยี่ยนที่ไต่ลงไปแล้วก็เงียบหาย ผ่านไปครู่หนึ่งต้นไม้สั่นอีกครั้ง จากนั้นเพียงพริบตาก็เห็นเผยเยี่ยนหอบภาชนะที่ทำมาจากกระดูกพร้อมใส่น้ำจนเต็มกลับถ้ำมา
“นาย ดู” เผยเยี่ยนหักกิ่งไม้เล็กตรงปากถ้ำมา แล้วทิ้งลงในภาชนะกระดูกสีขาวที่บรรจุน้ำใสสะอาดจนเต็ม ไม่ถึงหนึ่งวินาทีกิ่งไม้ก็จมลงและไม่ลอยขึ้นมาอีกเลย
“นี่...” ปกติแล้วพวกไม้ไม่ได้ลอยน้ำได้หมดหรอกเหรอ? จางเย่าลองจับกิ่งไม้ในน้ำดู ก็พบว่ามันหนักกว่าที่เห็นไม่น้อยอย่างกับเป็นลูกตุ้มเหล็ก มิน่าล่ะถึงได้จมลง
“พืชทั้งหมด โดนน้ำแล้วจม หนีไม่ได้” เผยเยี่ยนชี้ไปที่หน้าท้ายๆ ของไดอารี่ ซึ่งก็ถือว่าอธิบายเรื่องไม่อาจออกจากเกาะโดยราบรื่นได้ชัดเจนขึ้นมาหน่อย
จางเย่าก้มหน้าเปิดไดอารี่อ่านต่อ ถึงค่อยรู้ปัญหาที่เขาไม่เข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น ต้นไม้บนเกาะแห่งนี้ราวกับต้องคำสาป แม้จะสามารถต่อแพไม้ได้ แต่เสี้ยววินาทีที่วางลงในน้ำกลับมีน้ำหนักมหาศาลจนถึงกับจมดิ่งลงก้นทะเล แม้แต่จะงมขึ้นมายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เห็นๆ อยู่ว่าทั้งเรื่องคุณสมบัติและการใช้งานต้นไม้แปลกประหลาดมากพวกนี้ไม่ได้ต่างจากต้นไม้ธรรมดาทั่วไปนัก ทว่าหลังจากเจอปัญหาเรื่องจมน้ำแล้วจึงค่อยเข้าใจมากขึ้นว่าไม่เหมือนกันจริงๆ ต่อมาแม้จะลองเปลี่ยนพันธุ์ไม้อีกหลายชนิดและทดสอบการลอยน้ำดูแต่ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์ ทุกคนเลยได้แต่ยอมแพ้ ความหวังว่าจะต่อเรือสักลำออกจากเกาะหมดไป แล้วดำเนินชีวิตอย่างทุกข์ทรมานบนเกาะต่อไปด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
กระทั่งวันหนึ่งมีท่อนไม้ลอยมาตามน้ำจากเขตในตัวเกาะซึ่งปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีม่วงดูน่าหวาดกลัว จุดประกายความหวังว่าบนเกาะแห่งนี้ยังพอมีต้นไม้ที่สามารถลอยน้ำได้อยู่ ดังนั้นเพื่อให้ออกไปได้ คนจำนวนมากในกลุ่มผู้รอดชีวิตต่างเข้าร่วมการเดินทาง ทำภารกิจตามหาไม้ลอยน้ำในตัวเกาะ ซึ่งพ่อของเผยเยี่ยนก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เพราะอยากตามหาความหวังในการมีชีวิตรอดให้ภรรยาที่เจ็บไข้จากลมหนาวและไม่เคยหายสนิทดีกับลูกน้อยของตัวเอง
ส่วนคนที่เหลือหลังจากมองส่งผู้ที่พวกเขาฝากฝังความหวังไว้จากไปแล้วต่างก็รอคอยอยู่ในถ้ำพักอาศัยที่ขุดสร้างไว้อย่างดี ทว่าเฝ้ารออยู่เนิ่นนาน คนเหล่านั้นที่จากไปต่างก็ไม่หวนคืนมาอีกเลย แม่ของเผยเยี่ยนคิดถึงสามีผู้ลาจากอยู่ตลอด เพราะความเป็นห่วงกังวลใจจึงทำให้อาการป่วยสาหัสยิ่งขึ้น ไม่อาจยืนหยัดอดทนต่อไปไหว กอดเอาความเสียใจกับความห่วงใยที่มีต่อลูกลาโลกนี้ไปอย่างอับจนหนทาง
ส่วนเผยเยี่ยนที่ยังเป็นเด็กน้อย ข้างกายในตอนนั้นก็ไม่เห็นเงาร่างของผู้รอดชีวิตคนอื่นมานานแล้ว เหล่าผู้รอดชีวิตต่างพากันย้ายไปตั้งรกรากในพื้นที่ห่างไกลจากเดิมมาก ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก หรืออาจเป็นไปได้ว่าจะสิ้นใจด้วยเงื้อมมือของธรรมชาติไปแล้วก็เป็นได้
เด็กน้อยเผยเยี่ยนเฝ้าอยู่ข้างศพแม่ที่ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพและเริ่มเน่าเปื่อย เขารอคอยอยู่หนึ่งสัปดาห์เต็ม อาศัยเพียงหยดน้ำในถ้ำประทังชีวิต กระทั่งมีสัตว์ป่าฝูงหนึ่งเข้ามาพร้อมกับนำพาจุดเปลี่ยนที่หวิดจะสิ้นลมมาให้ด้วย
หลังจากฟังถึงตอนนี้ จางเย่าก็คล้ายจะนึกถึงแอนิเมชันชื่อดังเรื่องหนึ่ง แอนิเมชันเรื่องนั้นมีเนื้อหาประมาณนี้เหมือนกัน จึงอดขำพรืดออกมาไม่ได้ “หรือนายโดนกอริลลาเก็บไปเลี้ยงเป็นลูก?” ถึงได้กลายสภาพมาเป็นแบบตอนนี้ นิสัยดิบเถื่อนเต็มประดา...
เผยเยี่ยนส่ายหน้า ชี้ไปที่ขนหนังสัตว์บนพื้นแล้วผุดรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมกระหายเลือด เขาถูกสัตว์ร้ายกินเนื้อลักษณะลูกผสมระหว่างจิ้งจอกกับเสือคาบไป สัตว์ร้ายพวกนี้ชอบกินทั้งเนื้อเน่าและเนื้อสด กลิ่นศพฟอนเฟะของแม่ดึงดูดพวกมันให้ปีนขึ้นมาถึงในถ้ำ บังเอิญเป็นเวลาเดียวกับเสือจิ้งจอกตัวที่อยู่ในลำดับขั้นสูงสุดของฝูงเพิ่งคลอดลูกพอดี มันเห็นว่าเผยเยี่ยนน้อยไม่พอให้ยัดซอกฟันด้วยซ้ำ เลยถือโอกาสคาบกลับไป ถือว่าเอาให้ลูกน้อยของตนเป็นของเล่นกินได้
พอเห็นสัตว์ป่าขนาดมหึมาฝูงนี้กระโจนมาขย้ำกัดศพแม่ต่อหน้าต่อตา เผยเยี่ยนน้อยก็จดจำภาพฉากนั้นไว้อย่างแม่นยำ ไม่มีทางลบเลือนจากสมองโดยเด็ดขาด
หลังจากนั้นเผยเยี่ยนก็ใช้ชีวิตจนคุ้นเคยกับลูกสัตว์ป่า สุดท้ายจึงไม่ถูกจับกิน ทั้งยังติดตามพวกมันพร้อมฝึกฝนเรียนรู้ทักษะวิธีการล่าเหยื่อ จนค่อยๆ เติบโตมาเป็นอย่างตอนนี้
“พวกเสือจิ้งจอกนั่นฟังดูแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ตอนนั้นแม่นาย...” ตายไปแล้วนี่ พวกเสือจิ้งจอกก็ไม่ถือว่าเป็นฆาตกรหรือเปล่า...จางเย่าคิดแบบนี้ แต่พอคิดอีกตลบแล้วก็เห็นว่านั่นแม่ของอีกฝ่ายเชียวนะ มาถูกสัตว์ป่ากลืนเรียบต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ถ้าจะทิ้งเงาแค้นไว้ในใจคนเป็นลูกก็ถูกแล้ว
สรุปก็คือเผยเยี่ยนเติบโตกลายเป็นคนแข็งแกร่งถึงขั้นร้ายกาจกว่าเสือจิ้งจอกพวกนั้น แถมยังมีสติปัญญาอย่างมนุษย์ จึงใช้กริชทำมาจากหินชนิดพิเศษจัดการพวกที่เคยแบ่งซากร่างของแม่เป็นอาหาร สังหารทุกตัวเสียจนหมดจด ถลกหนังทั้งหมดของพวกมันออกมาและหั่นเนื้อเก็บไว้กิน
เสือจิ้งจอกตัวอื่นเห็นแล้วว่ากลุ่มเสือจิ้งจอกตัวผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในฝูงต่างก็ยังไม่ใช่คู่ประมือของมนุษย์ผู้นี้ พวกมันมองเผยเยี่ยน รอบตัวเด็กหนุ่มอวลไปด้วยกลิ่นเลือดสดเข้มข้น ในดวงตาผุดแววอันตราย ทำเอาบรรดาสัตว์ร้ายที่ถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งพงไพรอดหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ และเพียงชั่วข้ามคืน พวกเสือจิ้งจอกก็ละทิ้งรังเดิม ย้ายหนีไปจนเกลี้ยงโดยไม่รู้ว่าเผ่นไปอยู่ส่วนไหนของเกาะ
ตามกลิ่นและความทรงจำวัยเด็กไป เผยเยี่ยนก็เอาหนังขนสัตว์รางวัลแห่งชัยชนะหวนคืนสู่ถ้ำเดิมที่เคยอยู่อาศัยกับพ่อแม่แห่งนี้ หาหนังสือที่พ่อแม่เก็บไว้ในตอนนั้นมาอ่านและเรียนรู้รอบแล้วรอบเล่า เพื่อให้ตัวเองฟื้นฟูสติปัญญาอย่างมนุษย์ได้ดีขึ้น และไม่ถูกนิสัยดิบเถื่อนกระหายเลือดที่บ่มเพาะติดตัวมานานหลายปีครอบงำเอา
แต่ไหนแต่ไรมาแม่ของเผยเยี่ยนก็ชอบอ่านหนังสือทั้งยังเคยเป็นอาจารย์ ขณะล่องเรือเดินทางครั้งนั้นจึงพกหนังสือมาด้วยไม่น้อย ถึงขั้นมีพจนานุกรมด้วย แม้แต่ตอนที่ขาดแคลนทรัพยากรในการก่อไฟบนเกาะที่สุด เธอยังตัดใจเผากระดาษพวกนี้เพื่อใช้ต่างฟืนไม่ได้เลย โชคดีที่มีหนังสือเหล่านี้อยู่ เพราะสมองของเผยเยี่ยนไม่นับว่าแย่และออกจะมีพรสวรรค์ด้วยซ้ำ อาศัยแค่ความทรงจำสมัยเด็กตอนแม่สอนตัวหนังสือกับพินอิน แล้วค่อยๆ หัดพูดฝึกเขียนเพียงลำพังทีละน้อย จนถึงวันนี้เมื่อได้เจอกับจางเย่า เขาถึงได้ลองสนทนากับคนจากเผ่าพันธุ์เดียวกันจริงๆ เป็นครั้งแรก ไม่ใช่พูดคุยกับอาหารและต้นไม้ที่โต้ตอบไม่ได้พวกนั้นอีก
“เอ่อ...งั้นความสามารถในการเรียนรู้ของนายก็ไม่เบาเลยจริงๆ” ตั้งแต่เล็กจนโตเผยเยี่ยนถูกสภาพแวดล้อมยุคอสูรดึกดำบรรพ์ขัดเกลามาตลอด ทั้งยังผ่านช่วงชีวิตที่ต้องถลกหนังกินเลือดเนื้อสดๆ อย่างสัตว์หน้าขนมานานปีขนาดนั้น ตอนนี้กลับปรับตัวคืนกลับมาได้ ฟื้นฟูสติปัญญาหัดพูดเอง คำพูดของอีกฝ่าย แม้จางเย่าฟังแล้วจะรู้สึกว่าติดขัด เว้นวรรคแปลกจนขาดห้วงอยู่สักหน่อย และศัพท์แสงที่ใช้ก็ประหลาดไปบ้างบางที แต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครเป็นคู่ฝึกให้ สามารถพูดได้ดีขนาดนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอยู่บนเกาะนี้ เดาว่าคงได้สติหลุดเป็นบ้าไปนานแล้ว จะว่างมาหัดพูดอะไรที่ไหนอีก
“จริงเหรอ?” พอได้ยินจางเย่าชมว่าผลการฝึกพูดของเขาไม่แย่ ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเผยเยี่ยนก็ผุดรอยเบิกบานใจขึ้นอีกครั้ง ขยับตัวยื่นหน้าเข้าประชิด ดูท่าทางแล้วเหมือนอยากเลียจางเย่าอีก
จางเย่านับว่าพอจะเข้าใจพ่อหนุ่มเผยเยี่ยนนี่สักทีว่าเพราะอะไรถึงชอบเลียคนนัก ก็เขาอยู่กับสัตว์ป่า ถูกฝึกนิสัยเพี้ยนๆ มานานขนาดนั้นไง!
“อย่า! หยุดก่อนเพื่อนยาก คือว่ามนุษย์เราไม่ได้คุ้นเคยกับวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์แบบนี้น่ะ”
เผยเยี่ยนเห็นจางเย่ายกแขนสองข้างมาขวางไว้จนไม่อาจเข้าใกล้ได้อีก ก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ชี้หน้าจางเย่าแล้วบอก ”หน้านาย มีแผล”
“หืม?” เขาลองลูบบนใบหน้าตัวเอง เหมือนว่าตอนทั้งคู่ตะลุมบอนกันเมื่อครู่จะขูดเอาเส้นใยบางอย่างจนหลุดไป ทำให้จุดที่มีแผลอยู่แต่แรกเลือดไหลออกมาอีก ดูจากท่าทีของอีกฝ่ายยังอยากช่วยเขาเลียแผลแก้พิษด้วย?
นี่มัน...
“ไม่ต้องเลีย เอาของที่นายใช้พันแผลให้ฉันเมื่อกี้มาพันไว้อีกหน่อยก็ได้แล้ว...” ยืนกรานปฏิเสธเผยเยี่ยนที่เอาแต่จ้องจะเข้าใกล้เขาแล้ว จางเย่าก็กวาดตามองน้ำบนพื้นปราดหนึ่ง จึงรู้สึกตัวขึ้นมาว่าไม่ได้ดื่มน้ำสะอาดมานานแค่ไหน “น้ำนี่ฉันดื่มได้ไหม?”
เผยเยี่ยนพยักหน้าอย่างไม่ปลื้มนัก รู้สึกหงุดหงิดที่ตนพลาดโอกาสสัมผัสจางเย่าแบบแนบแน่นไปหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืนแล้วกระโจนตัวอย่างแรง เกาะเกี่ยวตัวขึ้นไปจนถึงช่องเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ในถ้ำด้านบน
หลังจากดื่มน้ำในกะโหลกไปคำโต จางเย่าถึงค่อยรู้สึกว่าตอนนี้อาการริมฝีปากแห้งผากจนผิวแทบจะลอกค่อยบรรเทาลงในที่สุด เขาแหงนหน้ามองถ้ำที่เผยเยี่ยนกระโดดขึ้นไป ไม่ต้องปีนก็ทะยานตัวขึ้นไปได้ ความสามารถนี้แข็งแกร่งเกินไปหรือเปล่า? ก็ถูกแล้ว การเติบโตบนเกาะพิสดารและต้องเอาชีวิตรอดจะยิ่งกระตุ้นความสามารถแฝงของมนุษย์ให้พัฒนาได้ คนก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นอย่างทางซุปเปอร์แมนได้เหมือนกันแหละ...
ไม่นานเผยเยี่ยนก็จับแมงมุมสีทองตัวเขื่องขนาดประมาณปูที่วิ่งพล่านอยู่ตลอดได้สองตัว จากนั้นก็กระโจนออกจากถ้ำเล็กมานั่งยองลงข้างตัวจางเย่า ตัวหนึ่งใช้ก้อนหินทับไว้บนพื้นก่อน ส่วนอีกตัวเขาฉีกร่างของมันแยกออกโดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ ก่อนจะควักอวัยวะภายในสีเหลืองอมส้มกลุ่มหนึ่งออกจากในท้องมัน ในนั้นยังมีส่วนประกอบโปร่งแสงทรงกลมชิ้นหนึ่งด้วย หลังจากลอกเยื่อบุชั้นนอกออกหนึ่งชั้น วัตถุลักษณะเป็นเส้นใยสีขาวก็ไหลพรวดออกมา ตามด้วยใช้ของเหลวจากอวัยวะภายในสีเหลืองอมส้มทั้งหมดถูลงบนเส้นใยสีขาวและเกิดเป็น “ตัวยา” เหนียวเหนอะแบบเดียวกับที่ปิดรักษาแผลบนใบหน้าและข้อมือของจางเย่า
“...”
ที่แท้ยาบนหน้ากับมือเขามีที่มาแบบนี้เอง จางเย่ามุมปากกระตุก อยากลบภาพฉากทั้งหมดตอนนี้ออกจากสมองให้เกลี้ยง พอได้เห็นกระบวนการอย่างละเอียดแล้ว มีอย่างที่ไหนจะยังอยากเอาของพรรค์นี้มาสก์หน้าอีก? แม่เจ้าโว้ย นี่ก็โหดอำมหิตเกินไป๊!