(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน เกาะสัตว์ประหลาด เล่ม 1

Saturday

บทที่ 5 คนป่า

จางเย่าที่กำลังสลบไสลรู้สึกอยู่ตลอดว่าแผ่นอกตัวเองหนักอึ้งเหมือนตอนถูกผีอำ ทั้งร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อน หายใจแทบไม่ออกด้วยซ้ำ ต่อให้สูดลมหายใจเข้าไปหลายเฮือก แต่ร่างกายก็ยังหนักอึ้งเหมือนเดิม ในความฝันที่มืดสนิทไร้แสง ราวกับว่ามีกำแพงหินล่องหนผุดขึ้นทั้งสี่ด้าน กำลังบีบอัดเข้าใส่ หมายจะบี้เขาให้กลายเป็นเนื้อบด เมื่อถูกกดทับจนรู้สึกทรมานจนรับไม่ไหวแล้วจริงๆ จางเย่าก็ออกแรงเปิดเปลือกตาฉับ จึงเห็นว่าเหนือแผ่นอกตัวเองมีหัวเต็มไปด้วยผมยาวสีดำทะมึนทับอยู่...

เชี่ย! ตื่นปุ๊บก็ได้เจอไอ้บ้านี่ ตกลงว่าเป็นซาดาโกะ* (ซาดาโกะ : ผีสาวผมยาวจากเรื่อง เดอะริง คำสาปมรณะ) หรือจูออน** เนี่ย? (จูออน :หนังผีสุดหลอนชื่อดังของญี่ปุ่นที่มีทั้งผีเด็กตัวขาวและผีคุณแม่ผมยาว)

“ใคร!?” จางเย่าอดไม่ไหวจนต้องร้องตะโกนลั่นขึ้นมา จากนั้นหัวบนหน้าอกเขาพลันยกขึ้นฉับ ทั้งยังเคลื่อนถอยหลบไปซ่อนในมุมอับมืดสนิทด้านข้าง

จางเย่าผุดลุกขึ้นนั่งทันที พบว่าบาดแผลตามร่างรวมถึงท่อนแขนทั้งหมดถูกวัตถุบางอย่างคล้ายเส้นใยสีส้มพันเอาไว้รอบ ทั้งยังรู้สึกเหนียวเหนอะหนะบนใบหน้า พอยกมือขึ้นลูบดูก็พบว่าเป็นเส้นใยแบบเดียวกับที่อยู่บนท่อนแขน เขารำคาญ ขณะทำท่าจะแกะเส้นใยเหนียวเหนอะพรรค์นี้ทิ้ง เงาร่างที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดพลันใช้เสียงแปร่งแปลกราวกับไม่ได้เอ่ยปากพูดมาแสนนาน ตะโกนหยุดความเคลื่อนไหวของจางเย่าไว้ “อย่า! นั่นมัน...ยา”

“หา? ยา?” จางเย่าลูบคลำบรรดาเส้นใยในมือ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้านี่ใช้ทำเป็นยาได้ด้วยเพราะหน้าตาของมันโคตรจะไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย

“นาย...บาดเจ็บ มันรักษาได้” ตรงมุมมืดลึกลับนั้น ดวงตาสีอ่อนคู่หนึ่งพราวระยับเป็นประกายอยู่รางๆ ทำให้มองออกว่าคนที่พูดอยู่คือมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ประหลาด

“อ้อ นายเป็นใครน่ะ? ที่นี่ด้วย ที่นี่คือที่ไหน?” จางเย่าเงยหน้าพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัว ถึงค่อยเข้าใจว่าขณะนี้ตนอยู่ในถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง เกิดจากผาสีแดงอิฐก่อตัวล้อมรอบไว้ ขนาดไม่ถือว่าใหญ่นัก ใต้ตัวเขามีหนังขนสัตว์อะไรไม่รู้ปูไว้ เนื้อหนาละเอียดและลื่นละมุน บนเกาะที่อุณหภูมิกลางวันกับกลางคืนแทบจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวนี้ ในราตรีหนาวเหน็บหากมีหนังแบบนี้อยู่ จะต้องนอนหลับอุ่นสบายแน่นอน

ฝั่งหนึ่งของปากถ้ำ แขวนอวัยวะส่วนต่างๆ ของสัตว์ไว้ไม่น้อยเหมือนกำลังตากแห้ง ส่วนผนังถ้ำอีกฟากวาดเขียนอักษรไว้เต็ม พิจารณาดูแล้วเป็นตัวอักษรภาษาแม่อย่างที่จางเย่าอ่านเข้าใจด้วย เหนือตัวอักษรมีเสื้อผ้าบางส่วนกับกระเป๋าเป้เก่าโทรมหนึ่งใบแขวนเอาไว้ ส่วนอีกมุมหนึ่งมีหนังสือวางอยู่หลายเล่ม ภายนอกของหนังสือมีร่องรอยเปื่อยผุดูทรุดโทรม แถมหน้ากระดาษยังเหลืองซีด

จางเย่ามองออกว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่ใช่จะสร้างได้ในวันสองวัน อีกฝ่ายน่าจะใช้ชีวิตบนเกาะนี้มานานพอสมควรแล้ว ไม่เหมือนผู้รอดชีวิตอย่างเขาที่เพิ่งขึ้นเกาะมาสร้างที่ซุกหัวนอนเลยสักนิด

หลังจากสังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ เสร็จเรียบร้อยไปหนึ่งยก จางเย่าเห็นท้องฟ้าด้านนอกถึงได้รู้ว่าเวลานี้ใกล้ค่ำ ดวงดาวบนฟ้าทนรอไม่ไหวอยากอวดโฉมตั้งนานแล้ว แต่ละดวงกะพริบวิบวาว ขณะกำลังคิดจะเยี่ยมหน้าออกไปประเมินสถานการณ์นอกถ้ำให้แน่ชัด เงาที่อยู่ในซอกหลืบมาตลอดและไม่ตอบคำถามตอนท้ายของเขาเลยสักคำ พลันกระโจนออกมาคว้าเขาเหวี่ยงกลับเข้าถ้ำทันที ทั้งยังกดร่างเขาลงกับพื้นแน่นสนิทพร้อมกับออกคำสั่ง “ห้ามหนี!”

“หนี?” ใครบอกว่าอยากหนีฮะ? สีท้องฟ้าด้านนอกดูน่าอันตรายจะตาย จางเย่าดูออกว่าคนที่ช่วยเขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย เวลานี้เขาพักผ่อนอยู่ที่นี่ และดูท่าจะมีอาหารให้กินด้วย เขาไม่ได้อยากจากไปตอนนี้สักหน่อย

“ถ้าหนี จะฆ่านาย!” อีกฝ่ายใช้เพียงแค่มือเดียวก็ขวางจางเย่าสำเร็จ ภายใต้แสงสนธยาสาดส่องนอกถ้ำ คนที่อยู่ในเงามืดก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงเป็นครั้งแรก

อีกฝ่ายมีเครื่องหน้าคมคายดูหล่อเหลา รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนคนหนุ่มทั่วไปแต่กลับเจือกลิ่นอายบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างเด็กวัยรุ่น แววตาทั้งคู่ที่แจ้งเตือนจางเย่าอันตรายและเยือกเย็นดุจสัตว์ป่า โดยเฉพาะเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสะท้อนของอาทิตย์ยามอัสดง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่นก็ยิ่งสดใสเป็นประกายจนน่าทึ่ง เส้นผมสีดำยาวทอดจากลำคอสองฝั่งเรียงตัวลงไปตามลาดไหล่ เมื่อปลายผมปราดผ่านใบหน้าก็ทำเอาจางเย่าคันยุบยิบ อยากเอื้อมมือไปจับ แต่ถูกคนที่ตาไวมือไวใช้มืออีกข้างกดแนบไว้กับพื้น

“เฮ้ยๆๆ! ฉันไม่ได้บอกว่าจะหนีสักหน่อย นายนั่นแหละปล่อยฉันเลย” การถูกเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่น่าจะอายุน้อยกว่าตัวเองกดไว้กับพื้นจนขยับเขยื้อนไม่ได้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก จางเย่าลองเคลื่อนข้อมือเล็กน้อยก็พบว่าไร้ประโยชน์ เลยลอบงอเข่าอย่างเงียบเชียบ เตรียมยันขึ้นเข้าใส่เป็นการตอบโต้

หนุ่มผมยาวสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขาแต่แรกแล้ว จึงยกมือจางเย่าขึ้นแล้วเหวี่ยงเขากลับไปนอนแนบเบาะหนังขนสัตว์ที่เดิมทันที อาศัยตอนเขายังไม่ตะกายขึ้นมาบิดรวบมือสองข้างเอาไว้จากด้านหลัง ก่อนจะกดเขาลงบนเบาะหนังขนสัตว์อีกครั้งอย่างไม่ยอมให้ขยับมั่วซั่ว และเอ่ยเตือนซ้ำด้วยสำเนียงแปร่งแปลก “อย่าขยับ!”

“โอเค ฉันไม่ขยับ พี่ชาย นายช่วยปล่อยก่อนได้ไหม? ฉันไม่ได้จะหนีจริงๆ นะ มาคุยกันดีๆ ไม่ต้องเกรี้ยวกราดขนาดนี้ไม่ได้เหรอ?” จางเย่าลองปรับอารมณ์ของตนให้อยู่ในโหมดที่ดีที่สุด และสื่อสารกับหนุ่มผมยาวผู้นี้ที่เหมือนว่าความคิดอ่านจะต่างจากเขาไปคนละโลก

“ฉัน เผยเยี่ยน” จู่ๆ หนุ่มผมยาวที่กดจางเย่าจากด้านหลังไม่ยอมให้ขยับก็เอ่ยตอบ

“หา?” หมายความว่าไง? ยังไงจางเย่าก็มั่นใจไม่ได้อยู่บนดาวเคราะห์ดวงเดียวกับหมอนี่แหงๆ...

“เผยเยี่ยน” ชายหนุ่มที่แนะนำตัวเองว่าชื่อเผยเยี่ยนเอ่ยเน้นย้ำอีกรอบ แล้วดึงจางเย่าซึ่งล้มเลิกการต่อต้านไปแล้วขึ้นมา ชี้ไปทางตัวอักษรสองตัวบนผนังถ้ำเป็นเชิงบอกกล่าวแล้วชี้มาที่ตัวเองอีกครั้ง

เมื่อมองไปตามทิศทางการชี้บอกของอีกฝ่าย จางเย่าก็เห็นตัวอักษรสองตัวสลักลึกอยู่บนผนัง แม้จะเหมือนว่าผ่านกาลเวลามาแสนนานจนดูเลือนรางเล็กน้อย แต่ก็พอจะแยกแยะลักษณะของตัวอักษรทั้งสองตัวนั้นได้อยู่

“นายคือจะบอกว่าตัวเองชื่อเผยเยี่ยน?” จางเย่าเข้าใจความหมายที่ชายหนุ่มผู้พูดจาขาดห้วงแปลกๆ คนนี้ต้องการจะสื่อสักที

พอได้ยินจางเย่าเอ่ยชื่อของตัวเองแล้วชายผมยาวก็พยักหน้าให้ นัยน์ตาฉายแววปลาบปลื้มดีใจ ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวลงเข้าประชิดส่วนคอของจางเย่าแล้วแลบลิ้นเลียผิวบริเวณลำคอครั้งหนึ่ง

การกระทำนี้ทำเอาจางเย่าสะดุ้งโหยง รู้สึกสะเทือนใจจนหมดคำพูดขณะอยู่ในจุดเกิดเหตุ “...นาย...”

“นาย...ชื่ออะไร?” เผยเยี่ยนเลียจางเย่าแล้วก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายที่แข็งทื่อไปทั้งร่างเลย อารมณ์พลันเปลี่ยนฉับเป็นดีมากอย่างน่าทึ่ง วางมือเท้าติดกับพื้นด้วยท่าทางเหมือนอย่างสัตว์ป่า ก่อนจะคลานเข้าใกล้อย่างช้าๆ มานั่งยองอยู่ข้างตัวจางเย่า โก่งคอดมแถวแก้มกับคอแล้วยังถูไถไปมาอย่างสนิทสนม

“จางเย่า...” จางเย่าที่หัวสมองหยุดทำงานไปแล้วเผลอตอบชายหนุ่มผมยาวพฤติกรรมสุดแปลกไปตามสัญชาตญาณ

“เขียน?” ฝ่ายนั้นขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่รู้ว่าชื่อของจางเย่าเขียนอย่างไร

แต่ก็ดูเหมือนจางเย่าจะพอเข้าใจคนพูดจาแปลกประหลาดคนนี้ รวมถึงเข้าใจคำถามและประเด็นสำคัญแล้ว จึงหยิบเศษหินมาเขียนชื่อตัวเองลงบนพื้นไปตามใจ เป็นการบอกว่าชื่อเขาเขียนแบบนี้

“จางเย่า...” สายตาอีกฝ่ายตั้งใจมองบนพื้นสุดขีด เหมือนกำลังศึกษาวิธีการเขียนอักษรตัวนี้ ทั้งยังท่องอยู่ในปากซ้ำๆ หลายรอบ จากนั้นก็ใช้กำลังมหาศาลของตัวเองกดจางเย่าลงบนเบาะหนังขนสัตว์อีกครั้ง ก้มหน้าดมกลิ่นอายตรงซอกคอใกล้ๆ หูแล้วพึมพำเสียงเบา “จางเย่า เป็นคนรัก ของฉันนะ”

ฮ่าๆ...

คนรัก...

คน...รักเชี่ยไร! จางเย่ารับรู้ได้ชัดเจนมากจากพฤติกรรมในตอนนี้ของคนอย่างเผยเยี่ยน ว่าความหมายของคำว่าคนรักที่อีกฝ่ายกล่าวถึงจะต้องเป็นสามีภรรยาคู่ชีวิตแบบนั้นแน่นอน ไม่ใช่พวกมิตรสหายซี้ปึ้ก สัญญากันว่าจะไปท่องเที่ยวหรือทำงานด้วยกันอะไรทำนองนั้นเด็ดขาด...

สมองของหมอนี่มีปัญหาชัวร์ ถึงได้มีความคิดพิเรนทร์แบบนี้ จางเย่าคิดว่าเขาควรเดาออกตั้งนานแล้ว ก็บนตัวชายคนนี้สวมแต่หนังขนสัตว์ แถมยังปล่อยผมยาวสยาย จะเป็นคนปกติได้ไง? เขาน่าจะเป็นคนป่าตามแบบฉบับมาตรฐานเลยต่างหาก..

ซ้ำยังมีคนรักอะไรอีก เป็นเพราะไม่เคยเจอผู้หญิงมาก่อนหรือเปล่า เลยคิดว่าโลกใบนี้มีแต่ผู้ชายที่เหลือให้เป็นคนรักได้? ในใจจางเย่าไม่หยุดคาดเดามั่วซั่วไปต่างๆ นานา เมื่อเผชิญหน้ากับเผยเยี่ยนที่หลุบตาลงจับจ้องมาอย่างจริงจังและแน่วแน่ เขาก็ได้แต่มุมปากกระตุกและถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไม?”

“ฉันชอบนาย กลิ่น กับ ดวงตา” เผยเยี่ยนจมูกไวมาก ตั้งแต่แรกสุดก็แยกแยะกลิ่นอายทุกประเภทได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมิตร ศัตรู คนมีจิตใจงดงาม จิตใจเลวทราม หรือแม้กระทั่ง...ความรู้สึกชอบ

กลิ่นอายบนตัวจางเย่าทำให้เขาชอบเหลือเกิน แถมยังเป็นแบบที่น่าหลงใหลด้วย ประกอบกับชั่วขณะที่จางเย่าลืมตา เผยเยี่ยนก็ยิ่งมั่นใจกับการเลือกของตน ดวงตาสีดำสนิทราวรัตติกาลมืดมิดเหมือนดวงตาของแม่ในภาพ งดงามเหลือเกิน

กลิ่นอะไรพวกนี้...นายแน่ใจนะว่าไม่ใช่ไอเค็มเกลือจากการแช่น้ำทะเล? จางเย่าหมดคำจะพูด เขารู้สึกแค่ตัวเองมีกลิ่นน้ำทะเลโชยหึ่งเท่านั้น ยังมีกลิ่นไหนน่าอภิรมย์อีกหรือไง? ส่วนดวงตาอะไรนั่น จางเย่าเห็นเผยเยี่ยนรื้อหาหนังสือที่เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าออกจากมุมหนึ่งมายื่นส่งให้ ในนั้นมีภาพผุเก่าสีเหลืองซีดใบหนึ่งแนบอยู่ นิ้วเผยเยี่ยนชี้ไปยังผู้หญิงผมดำที่ยืนคู่ชาวตะวันตกคนหนึ่งด้วยท่าทางสนิทสนม พร้อมทั้งบอกว่าดวงตาของเขาสวยเหมือนแม่ เลยทำให้ยิ่งจนด้วยคำพูด เขากำลังพิจารณาว่าควรพาชายผู้นี้ไปหาบรรดาผู้รอดชีวิตที่ยังรั้งอยู่ริมหาดเสียเดี๋ยวนี้เลย อีกฝ่ายจะได้รู้เองว่า แท้จริงแล้วบนโลกใบนี้ยังมีคนดวงตาสีดำอีกมากมายมหาศาล และมีผู้หญิงที่งามเลิศกว่านี้ด้วย...

 

 

หลังจากทั้งคู่พูดคุยกันอย่างปรองดองได้ไม่นาน จางเย่าก็รู้สึกว่าชายคนนี้ก็แค่พูดประโยคนั้นเกินเบอร์ไปกับไล้เลียเขาอีกหน่อย เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำเรื่องพิสดารอื่นใดล้ำเส้นอีก เลยถือว่าสถานการณ์ตอนแรกเริ่มที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทักษะการแสดงออกของเผยเยี่ยนยังอ่อนด้อยมาก จึงแสดงออกตามความคิดของตัวเองอย่างสะเปะสะปะก็เท่านั้นเอง เมื่อคิดแบบนี้จิตใต้สำนึกของจางเย่าเลยลืมการสารภาพรักของเผยเยี่ยนไปโดยปริยาย มองว่าระดับความสนิทสนมที่เผยเยี่ยนมีต่อเขาเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองของการไม่ได้พบเจอมนุษย์มาเนิ่นนานเกินไปเฉยๆ

จางเย่าเอนหลังพิงผนังหิน ใต้ร่างมีเบาะหนังขนสัตว์อบอุ่นปูรอง ข้างกายยังมีมนุษย์จับต้องได้อย่างเผยเยี่ยนที่เห็นกับตาว่ารูปร่างพอๆ กันนั่งชันเข่าอยู่ แต่กลับอิงแอบแนบติด จางเย่าเลยใช้หนังสือกับไดอารี่ที่เผยเยี่ยนส่งให้จนถึงถ้อยคำสั้นๆ ฟังดูแปลกขาดเป็นห้วงๆ มาทำความเข้าใจหนุ่มผมยาวคนนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ว่าเพราะอะไรถึงมาอยู่บนเกาะนี้ ตลอดจนประสบการณ์อื่นๆ ด้วย

หนังสือแนะนำ All

Special Deal