(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน เกาะสัตว์ประหลาด เล่ม 1

Saturday

บทที่ 4 พบกันโดยบังเอิญ

หลังจากอ้อมผ่านก้อนหินสีเทาด้านหน้า เลาะไปตามแนวชายหาดสีขาวทองตัดสลับกัน จางเย่าก็เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ตรงกลางพุ่มไม้ทางขวามือปรากฏช่องว่างระหว่างลำต้นที่แยกออกตามธรรมชาติช่องหนึ่ง เมื่อมองผ่านจะเห็นภูเขาหินสีแดงอิฐในป่าลึกได้อย่างเลือนราง ภูเขาลูกนั้นสูงตระหง่านหลายสิบเมตร รอบยอดเขามีไอหมอกหนาแน่นลอยอวล จางเย่าคิดว่าถ้าปีนขึ้นไปบนเขาอาจมองเห็นรูปร่างหน้าตากับขนาดของเกาะแห่งนี้ได้ชัดเจน และถือโอกาสค้นหาแหล่งน้ำที่ต้องการ ยังไงซะจากเมื่อวานจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้ดื่มน้ำสะอาดเลยสักคำ

เมื่อแหวกกิ่งก้านและใบสีเทาเข้มของต้นไม้หน้าตาคล้ายปาล์มไปทางด้านข้างแล้ว จางเย่าก็ย่างก้าวเข้าสู่ผืนป่า ขณะมองพืชพรรณรอบทิศก็รู้สึกเหมือนฝันไป ราวกับว่าตอนนี้อยู่ในโลกอีกใบ แหงนหน้ามองขึ้นไปก็เห็นบรรดาต้นไม้รูปร่างพิสดารอยู่รอบกาย ข้างหูยังแว่วเสียงสัตว์แปลกๆ ถึงขั้นที่ฟังดูตลกหน่อยๆ มาเป็นระยะ ริ้วแสงตะวันลอดผ่านช่องไม้สาดส่องลงมา ลมทะเลเคล้าคลอกิ่งใบขยับไหวและพัดโชยใส่ร่างเขา ทำเอาจางเย่าเคลิบเคลิ้มจนไม่รู้ว่าตอนนี้สิ่งไหนคือความจริงหรือความลวง

จางเย่าเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง พืชพรรณตามทางมีขนาดเล็กจ้อย มือกำไม้ยาวที่เก็บมาจากชายหาด แม้ปลายหนึ่งของไม้จะถูกเขาหาวิธีจัดการเหลาจนแหลมเฟี้ยว แต่สวรรค์รู้ดีว่าไม้ปวกเปียกขนาดนี้จะไปต้านทานอะไรได้

ยิ่งเดินลึกเข้าไปในป่าเสียงแซ่กซ่าบางเบาขาดเป็นห้วงๆ ก็ชัดขึ้นอีก ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร ตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามามันติดตามอยู่ข้างตัวมาตลอด หลังจากเดินไปเรื่อยๆ เขาก็หันไปพุ่งไม้ในมือใส่กอวัชพืชสีแดงเข้มด้านหลังอย่างเฉียบพลัน พวกมันขยับไหวอย่างบ้าคลั่ง จางเย่ารีบวิ่งเข้าไปทันที

พอเข้าไปดูจึงเห็นหนอนยักษ์รูปร่างคล้ายกิ้งกือ มีขนาดลำตัวยาวเมตรกว่ากำลังนอนอยู่กลางกอวัชพืช ทั้งร่างดำขลับวาววับ เปลือกหุ้มตัวเป็นลายเส้นสีน้ำเงินประกาย มันขดร่างเป็นรูปก้นหอยแล้วพลิกกลิ้งไปทั่ว หลังจากถูกจางเย่าออกแรงพุ่งหลาวไม้ใส่ก็เจ็บปวดจนขายั้วเยี้ยดิ้นทุรนทุรายไม่หยุด เขาเข้าไปดึงไม้ออก เลือดสีขาวน้ำนมก็พุ่งกระฉูดจากร่างของมัน เสียงร้องแปร่งแปลกดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่ร่างของมันจะคลายออกเป็นแนวตรง แน่นิ่งไม่ไหวติงและปราศจากการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง

“ตายแล้ว?” จางเย่าเขี่ยร่างกิ้งกือยักษ์ พอเห็นว่าไม่ขยับเลยรู้สึกว่ามันอ่อนแอไปหน่อยหรือเปล่า? แต่กลับไม่ได้รู้เลยว่าเมื่อครู่เขาได้พุ่งไม้เสียบเข้าตรงอวัยวะภายในซึ่งเป็นจุดตายของมันพอดี ถึงทำให้ตายในคราวเดียว

“ไม่รู้ว่ากินได้ไหมด้วยสิ...” จางเย่าเอียงคอ หวนคิดทบทวนความทรงจำรอบหนึ่ง เหมือนไม่เคยได้ยินว่าสัตว์ประเภทกิ้งกือกินได้ ประกอบกับรูปลักษณ์ภายนอกสีฟ้าสวยงามบนลำตัว จางเย่าพินิจแล้วก็ล้มเลิกความคิดว่าจะใช้มันเติมเต็มกระเพาะ ทว่าตอนหยิบแท่งไม้ขึ้นเตรียมเดินไปข้างหน้าต่อนั้น เสียงแซ่กซ่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาหันขวับ สายตามองกวาดรอบตัวทันที ในหูพลันได้ยินเสียงก้องเซอร์ราวนด์รอบทิศราวกับกำลังล้อมเขาไว้

ผ่านไปครู่เดียว กิ้งกือสีน้ำเงินอัปลักษณ์อย่างตัวนั้นพลันมุดออกมาจากพุ่มไม้ใกล้จางเย่าทั้งหมด จำนวนของพวกมันชวนให้ขนหัวลุก แค่กวาดตามองเผินๆ ก็พบว่ามีประมาณอย่างน้อยสองสามร้อยตัว พวกมันคืบคลานอยู่บนพื้น เห็นแล้วทำเอาหนังหัวชาดิกเลยทีเดียว

อัดกับพวกมันต่อ? ก็บ้าแล้ว! จางเย่าคว้าแท่งไม้ขึ้นแล้วเผ่นหนีไปทางกิ้งกือตัวเล็ก ฝูงกิ้งกือยักษ์สีน้ำเงินข้างหลังก็เลื้อยขาจำนวนนับไม่ถ้วนไล่บี้เขามาติดๆ

“แม่งเอ๊ย! กิ้งกือนี่มันกินคนหรือไงวะ?” เขาจำได้ชัดว่ากิ้งกือที่หน้าตาเหมือนหนอนแต่ขนาดเล็กกว่า N เท่าสุภาพอ่อนโยนกว่าพวกมันตั้งเยอะ จางเย่าเผ่นหนีไปทางด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง ปรารถนาให้ตอนนี้ตัวเองสามารถบินได้ จะได้อยู่ห่างจากกิ้งกือสีฟ้าเต็มพื้นที่คลานยั้วเยี้ยมาหานี่ไปให้ไกล เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังวิ่งไปทางไหน รู้แต่ว่าต้องหนีจากฝูงกิ้งกือเกาะหนึบโดยด่วน โกยได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี

สองมือจางเย่าแหวกกิ่งใบของต้นไม้ซับซ้อนที่ขวางทางอย่างต่อเนื่อง สับขาพุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด หลังจากแหวกผ่านดงไม้พุ่มไปแล้ว เขาก็รับรู้อย่างรวดเร็ว เบรกฝีเท้าตัวเองเอี๊ยด เพราะข้างหน้าไม่มีทางให้ไปต่อแล้ว สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าคือหุบเขาลึกชันขนาดมหึมา

เขาก้มหน้าทอดมองก้นเหวที่อยู่ลึกลงไปอย่างน้อยยี่สิบสามสิบเมตร ทั้งหมดคือพืชพรรณสีเขียวเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำสนิท ปกคลุมพื้นดินบริเวณหุบเหวสีแดงอิฐไว้จนทั่ว พอได้เห็นพืชคล้ายสีเขียวอีกครั้งก็ทำเอาจางเย่ารู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมเป็นเท่าตัว แต่ด้วยระยะห่างแสนไกลขนาดนั้น เขาไม่อยากกระโดดลงไปสัมผัสพวกมันโดยตรงหรอกนะ...

อย่างไรก็ตาม พอจางเย่าหันหน้ากลับมา กองทัพกิ้งกือยักษ์สีน้ำเงินยั้วเยี้ยก็ยกโขยงไล่ตามมาแล้ว เมื่อใกล้เข้ามาล้อมกรอบเขามากขึ้นทุกขณะ พวกมันก็ซ้อนตัวกันด้วยการไต่ขึ้นไปบนหลังของอีกตัว ต่อร่างสูงตระหง่านจนตอนนี้ไม่ใช่ความยาวหนึ่งเมตรเท่ากับขนาดของตัวมันแล้ว แต่เป็นหลายเมตรจัด ปากทั้งซ้ายขวาเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ มองปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นสัตว์ประเภทกินเนื้อ

ร่างเอนไหวจากการซ้อนต่อตัวของพวกมันสูงขึ้นทุกขณะ หลังจากส่ายโงนเงนหน้าหลังไปมาอยู่สองสามครั้ง ก็ทุ่มตัวลงมาใส่จางเย่าอย่างเฉียบพลัน

แกร๊บ! จางเย่าไม่อยากโดนกิ้งกือยักษ์พวกนี้ล้อมไว้ทั้งตัวเลยจริงๆ จึงก้มหัวลงต่ำ ตวัดเถาวัลย์เส้นหนึ่งมาไว้ใต้ฝ่าเท้า ตอนนี้เขาไม่ว่างจะสนใจแล้วว่ามันแข็งแรงพอไหม ยกมือขึ้นปาไม้ในมือใส่ลำตัวกิ้งกือสีน้ำเงินที่จู่โจมเข้ามา จากนั้นก็ยอบตัวลงหยิบเถาวัลย์บนพื้น โรยตัวตามมันลงไปในหุบเหว

พื้นผิวเถาวัลย์ไม่มันลื่นขูดจนสองฝ่ามือของจางเย่าปวดแสบ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยมือสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อย่างนั้นคงตกลงไปตายเอาดื้อๆ ขณะเดียวกันกิ้งกือยักษ์สีน้ำเงินจำนวนมากที่พุ่งเข้ามางับก็ร่วงผ่านเหนือหัวไป ดูท่าพวกมันคงไม่มีระบบเบรก เลยหล่นตุ้บลงไปตามๆ กันไม่ใช่น้อย บางตัวก็ตกลงบนบ่าเข้าอย่างจังทำให้เขาต้องรีบหยุดโรยตัวลงไปโดยด่วน ปล่อยมือหนึ่งมาปัดกิ้งกือยักษ์สีน้ำเงินที่ยังไม่ทันอ้าปากเขมือบทิ้ง

ครั้งแรกที่สัมผัสแตะโดนร่างมันวาวเย็นเฉียบของมันก็รู้สึกว่าน่าขยะแขยงเสียจริง หลังจากจัดการไปได้อย่างราบรื่นแล้วพวกมันก็ไม่ได้หล่นโปรยปรายลงมาอีก จางเย่าถึงผ่อนลมหายใจได้สักที คว้าเถาวัลย์หมับ พิจารณาดูแล้วว่าการปีนกลับขึ้นไปนั้นดูเหมือนจะไกลเกิน ก่อนจะมองแนวเถาวัลย์ใต้ฝ่าเท้า ถ้าไต่ลงไป แม้จะไม่ได้ไกลเท่าไรนัก แต่ระยะกว่าจะถึงก้นเหวก็ยังเหลืออีกมาก...

เอาไงดี? จางเย่าห้อยต่องแต่งอยู่กับเถาวัลย์กลางอากาศ ขณะยังลังเลอยู่ว่าปีนกลับขึ้นไปหรือไต่ลง ก็ได้ยินเสียงดังผึง! ก่อนที่สังหรณ์ร้ายจะผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ...

จางเย่าเงยหน้าขึ้นอย่างเนิบช้า มองเห็นเถาวัลย์ที่รับน้ำหนักเขาไม่ไหวกำลังฉีกขาดเล็กน้อย เผยเส้นใยบางละเอียดสีขาวด้านใน ไม่หรอกมั้ง? เขากะพริบตาปริบๆ ก่อนที่เถาวัลย์จะส่งเสียงอีกเสียง และครั้งนี้ตัดขาดจากกันแบบไร้เยื่อใยอย่างถึงที่สุด

จางเย่าจับได้แต่เถาวัลย์ครึ่งท่อนที่เหลือพร้อมกับร่วงหล่นสู่...

“อ๊าก!”

“แคว่ก!”

“ปั้ง!”

“เช็ด! เจ็บ”

“แกร๊ก!”

“อ๊าก! แม่ง!”

“แกร๊ก!”

 

 

โชคดีที่ต้นไม้ตรงก้นเหวเป็นพุ่มหนาเขียวชอุ่ม แตกกิ่งก้านสาขามากมาย หลังจางเย่าร่วงลงมากระแทกจนหลายกิ่งก้านหักโค่นไปแล้ว ตอนท้ายมือสองข้างก็คว้าจับกิ่งไม้บางส่วนมามั่วๆ เพื่ออาศัยช่วยชะลอความเร็วในการดิ่งพสุธาได้ หลังจากดึงจนขาดเกลี้ยงไปเจ็ดแปดกิ่ง อัตราเร็วในการโหม่งพื้นของเขาก็ลดลง สองมือคว้ากิ่งก้านที่อยู่ล่างสุดไว้ได้ จางเย่ารู้สึกปวดแปลบบนใบหน้า เดาว่าคงถูกกิ่งไม้ด้านบนบาดเป็นแผล หลังจากกอดกิ่งไม้ไว้ได้แน่นแล้วก็มองดูเบื้องล่าง พบว่าขณะนี้อยู่ห่างจากพื้นดินอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดเมตร ด้วยระยะห่างขนาดนี้ตกลงไปก็น่าจะอ่วมพอสมควร ถ้าโล้ตัวไปถึงตัวลำต้นแล้วค่อยปีนลง น่าจะมีโอกาสลดทอนความบาดเจ็บได้บ้าง

แต่กิ่งไม้ที่เขาคว้าจับไว้นี้อยู่ห่างจากตัวลำต้นมาก ไม่มีทางเคลื่อนตัวถึงได้เลย

“ผึง!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง จางเย่าเงยหน้าขึ้นมอง แม่เจ้าโว้ย กิ่งไม้หักอีกแล้ว อภิมหาโคตรซวย!

กลายเป็นว่าครั้งนี้กอดกิ่งไม้ที่มีใบอยู่เต็มหักร่วงลงมาทั้งดุ้นเลย จางเย่าหลับตาอย่างยอมรับชะตากรรม จำใจทิ้งตัวสู่เสียงเพรียกหาจากแรงดึงดูดของโลก

เนื่องจากบนพื้นมีชั้นใบไม้ที่เกิดจากการร่วงหล่นจนกองทับถมกันนานนับปี จึงช่วยลดแรงกระแทกขณะจางเย่าตกลงมาได้ส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ยังได้รับผลกระทบอยู่บ้าง อีกทั้งสองวันมานี้เขาไม่ได้กินดื่มอะไรเลยจนแทบจะเข้าใกล้สภาวะขาดน้ำ หัวโงนเงนอยู่กับพื้นสองสามทีแล้วก็สลบเหมือดไปในที่สุด

รอกระทั่งรอบด้านกลับสู่ความสงบ ดวงตาบ้างฟ้าบ้างแดงในส่วนลึกของพงไพรอันมืดมิดพลันทอประกายวาบ เงาดำจำนวนไม่ใช่น้อยค่อยๆ ปรากฏกายขยับเข้าไปใกล้จางเย่าซึ่งเป็นลมล้มพับ ขณะพวกมันเตรียมจะล้อมกรอบเขาไว้เป็นกลุ่มก้อน อยู่ๆ เงาดำอีกร่างก็ทะยานออกมาจากกลางอากาศ อาวุธคมกริบขู่จนเงาดำที่รวมตัวกันเมื่อครู่ต่างตกใจหดกลับไปในมุมอับดังเดิม ที่อยู่ข้างกายจางเย่าในตอนนี้จึงเหลือเงาดำนี้เพียงหนึ่งเดียว

เงาดำยอบตัวลง นาบอาวุธรูปร่างคล้ายกริชพกลงบนลำคอบอบบางเปลือยเปล่าของจางเย่า ก่อนจะก้มหน้าลง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกายข่มขวัญคนจ้องมองประเมินจางเย่าที่ยังสลบไสลอย่างละเอียด เอื้อมแตะใบหน้าหล่อเหลาใช้ได้ของอีกฝ่ายด้วยความสนใจใคร่รู้เล็กน้อย แล้วกดหัวลงไปประชิด สูดดมกลิ่นบนตัวจางเย่า ในดวงตาพลันพลันเกิดรอยอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ผุดขึ้น ก่อนใช้เพียงมือเดียวช้อนตัวชายหนุ่มที่น้ำหนักไม่เบาสักนิดขึ้นมารวดเดียวและแบกขึ้นหลังได้สบายๆ จากนั้นเงาดำก็กระโดดกลับขึ้นต้นไม้ไปอย่างว่องไวปราดเปรียว พารางวัลแห่งชัยชนะในวันนี้กลับบ้าน

หนังสือแนะนำ All

Special Deal