(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน เกาะสัตว์ประหลาด เล่ม 1

Saturday

บทที่ 3 ผู้รอดชีวิต

ชายวัยประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปียืนอกผายไหล่ผึ่งอยู่ตรงใจกลางถ้ำ เขาถอดเสื้อเปียกโชกออกไปแล้ว เผยให้เห็นกล้ามเนื้อทั่วร่างที่เด่นชัดมากเป็นพิเศษ แต่ละส่วนนูนเว้าทับซ้อน รูปร่างกำยำเหมือนเทรนเนอร์เพาะกาย ใบหน้าเหลี่ยมเหมือนตัวอักษร国 เครื่องหน้าดูดิบเถื่อน

ก๊องๆๆ! เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจมากกว่าเดิม ชายหนุ่มเลยเคาะผนังหินข้างตัวอีกสองสามครั้ง กระทั่งสายตาของทุกคนมองไปทางเขาแล้ว จึงค่อยกระแอมให้คอโล่ง ผายมือออกแล้วแนะนำตัวเอง

จางเย่าถูกเสียงนี้ขัดจังหวะความหวังล่าสุดในการได้เข้าเฝ้าโจวกง* (โจวกง : เป็นพระอนุชาของกษัตริย์โจวอู่หวังผู้ก่อตั้งราชวงศ์โจว มีคุณธรรมล้ำเลิศ การได้พบพระองค์ยามหลับจึงหมายถึงฝันดี มีนิมิตหมายอันดี เทียบได้กับการเฝ้าพระอินทร์ในภาษาไทย) ของเขา จึงเปิดเปลือกตาอย่างรำคาญใจ แล้วพบว่าชายวัยกลางคนซึ่งเคยบังเอิญเจอกลางทะเลนั่น ตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างหนุ่มล่ำผู้รบกวนการนอนของเขาพลางพูดคุยกับผู้รอดชีวิตรายอื่น จางเย่ามองไปรอบตัวชายวัยกลางคนผู้นี้ ก็ไม่เห็นเงาร่างของหญิงสาวเลย เป็นไปตามคาดว่าสาวคนนั้นโดนเขาสลัดทิ้งแล้วสินะ...

หนุ่มล่ำกำลังยืนแนะนำอยู่กลางถ้ำว่าเป็นตำรวจ ชื่อหลิวหรง เขาสัญญาว่าจะคุ้มครองทุกคนบนเกาะนี้และทำหน้าที่ตนให้ดีที่สุด ทั้งยังกระตือรือร้นจะทำเครื่องมือส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเพื่อให้ทีมกู้ภัยค้นหาพวกเขาเจอ โดยหวังว่าทุกคนจะเชื่อใจ หากมีเรื่องไม่สบายใจอะไรสามารถมาปรึกษาเขาได้ทั้งสิ้น

ส่วนชายวัยกลางคนที่จางเย่าเคยเจอ ยามนี้กำลังทำหน้าตาใจดีเปี่ยมเมตตาอยู่ข้างหนุ่มล่ำ ก่อนจะแนะนำตัวว่าเป็นผู้อำนวยการสำนัก CF* (สำนัก CF : เป็นชื่อเฉพาะสมมติที่ผู้เขียนตั้งขึ้นเพื่อไม่ให้พาดพิงกับหน่วยงานจริงใดๆ) ชื่อจ้าวเสียงกว๋อ เขารู้สึกโศกเศร้าอย่างยิ่งกับการสูญเสียทุกชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้และเป็นห่วงสวัสดิภาพของเหล่าผู้รอดชีวิตด้วย ในฐานะผู้อำนวยการสำนัก CF เขามีความรับผิดชอบต้องออกหน้าในยามนี้เพื่อนำพาทุกคนสู้ไปด้วยกัน เขาต้องการช่วยเหลือทุกคนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ร่วมก้าวออกจากสถานการณ์เลวร้ายและรอดชีวิตกลับไปอย่างปลอดภัย

พอเห็นชายท่าทางโหดเหี้ยมตอนอยู่ในทะเลเปลี่ยนท่าทีเป็นทอดสายตามองทุกคนตรงหน้าด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ดูเป็นมิตรเข้าถึงง่าย แถมน้ำเสียงยังเปี่ยมด้วยกำลังใจชวนให้ฮึกเหิม จางเย่าพลันรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญได้เห็นอีกหน้าหนึ่งของเขา คงคิดจริงๆ ว่าเขาเป็นคนดีทั้งภายในและภายนอก

หลังจากได้ยินคำปลอบประโลมส่งต่อพลังใจและสร้างความฮึกเหิมของจ้าวเสียงกว๋อ กับคำมั่นตอนตบอกปฏิญาณตนของหลิวหรงตำรวจหนุ่มร่างกำยำแล้ว ผู้ที่มีจิตใจเปราะบางจากเหตุเครื่องบินตกครั้งนี้จำนวนไม่น้อยก็พลันซาบซึ้งจนน้ำตาคลอหน่วย มีตำรวจคุ้มครองความปลอดภัยให้ทั้งยังมีผู้อำนวยการสำนัก CF ออกปากรับประกัน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทั้งสองคนนั่นเหมือนกอบกู้จิตวิญญาณที่สูญหายไว้ ขอบคุณที่โลกใบนี้ไม่ได้ทอดทิ้ง ยังมีคนดีเหล่านี้เผื่อแผ่ความห่วงใยมาถึงพวกเขา

เมื่อเห็นทุกคนทำหน้าเชื่อถือไว้วางใจ หลิวหรงก็ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม เน้นย้ำเสียงดังว่าเขาจะพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ให้ทุกคนมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้ จ้าวเสียงกว๋อก็ยิ่งปลุกใจหนักขึ้น สาธยายความสามารถและทักษะรวมไปถึงบรรดาความงามความดีที่เคยสร้างไว้ในอดีตทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้ ทำเอาความเชื่อมั่นที่ทุกคนมีต่อเขายิ่งลึกซึ้งขึ้นไม่น้อย

ถึงขั้นพูดจนถึงตอนท้าย คนส่วนใหญ่ต่างแสดงออกว่ายินดียอมรับแผนและเชื่อฟังการสั่งการของทั้งคู่ หลังจากจ้าวเสียงกว๋อกับหลิวหรงหารือกันแล้วก็หันหน้ามาหาทุกคน เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแต่ไม่ขาดความเป็นกันเองว่า “ในช่วงวิกฤตและยากลำบากนี้ พวกเราทุกคนยิ่งต้องเพิ่มความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ต่อกรกับความทุกข์ยากครั้งนี้ แน่นอนว่าจะขาดความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของทุกคนไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนับแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะมีผมและสหายหลิวหรงรับผิดชอบจัดสรรหน้าที่ของทุกคน เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ก็ต้องแบ่งงานกันทำ เป็นยังไงบ้างครับ?”

“ใช่แล้ว เป้าหมายตอนนี้ของพวกเราก็คือมุ่งมั่นสู้ไปด้วยกัน อยู่ต่อไปให้ดี! อย่าโศกเศร้าอีกเลย ฮึดสู้ไว้นะ! พวกคุณว่าดีไหมครับ?” หลิวหรงคึกคักเกินเหตุ คว้าคนข้างๆ มาตบบ่าปุๆ อารมณ์พุ่งพล่านอยู่ไม่น้อย

“อืม คุณตำรวจหลิว จากนี้ต้องพึ่งพวกคุณแล้ว” ผู้ชายคนที่ถูกความกระตือรือร้นของหลิวหรงเข้ามาสั่นสะเทือนหัวใจพยักหน้าเห็นด้วยกับการจัดการของพวกเขา เพราะมีตำรวจออกโรงวางแผนกะเกณฑ์ให้จึงรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจขึ้นมาก

ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นด้านข้าง จู่ๆ ก็ร้องไห้โฮ มือข้างหนึ่งดึงขากางเกงจ้าวเสียงกว๋อพร้อมกับเอ่ยอย่างตื้นตัน “ฉะ...ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ควรทำไงดี โชคดีที่มีพวกคุณอยู่ เราทุกคนจะให้ความร่วมมือกับพวกคุณอย่างดีแน่นอน สู้ไปด้วยกันนะ”

“ใช่แล้วๆ มีตำรวจกับผู้อำนวยการสำนัก CF อยู่ เราก็วางใจแล้ว”

“ดีจังเลย ตอนนี้พวกเราเบาใจขึ้นเยอะเลย ขอบคุณพวกคุณที่ในเวลาแบบนี้ยังคิดเผื่อทุกคนมากขนาดนี้”

เมื่อเห็นท่าทีของคนทั้งกลุ่มเปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก พร้อมทั้งใช้สายตาเคารพมองหลิวหรงกับจ้าวเสียงกว๋อเสียราวกับไม่ว่าคำไหนก็ยินยอมพร้อมใจจะฟังคำสั่งของพวกเขา จางเย่าก็รู้สึกหมดคำพูด หนุ่มกล้ามโตเลือดร้อนคึกคักขึ้นโดยไร้สาเหตุนั่นเขาอ่านไม่ค่อยออกนัก แต่จ้าวเสียงกว๋อที่ผลักผู้หญิงตกทะเลอย่างไร้เยื่อใยนี่ ถ้าจะให้เชื่อใจฝ่ายนั้นแบบเทิดทูน สู้เขาเชื่อตัวเองจะดีกว่า ขณะนี้จางเย่าได้แต่หวังว่าทีมกู้ภัยจะมาช่วยโดยด่วน เขาไม่อยากฟังคำพูดเสแสร้งล้างสมองที่แฝงอยู่ในคำสั่งการของผู้อำนวยการอะไรนี่...

“เฮ้อ ตำรวจกับผู้อำนวยการนี่ดูพึ่งพาได้ดีเนอะ” เคออี้เฉี่ยวนั่งอยู่ด้านข้างจางเย่า มองชายสองคนนั้นที่ถูกฝูงชนห้อมล้อมด้วยความซาบซึ้งใจแล้วก็รู้สึกชื่นชมจนรำพึงออกมา

“หึ ผู้อำนวยการเฮงซวยน่ะสิ ตำแหน่งแค่นี้ไม่เพียงพอจะเป็นขี้ข้าแบกรองเท้าให้พ่อฉันด้วยซ้ำ” เซี่ยงเฉินทนมองไม่ไหวจนต้องพ่นลมแค่นเสียงออกจมูก มือกำลังง่วนอยู่กับมือถือที่เปิดไม่ติดเหมือนกับเกมเพลย์ขณะพึมพำดูถูกเสียงเบา

เอาเถอะ ที่แท้เด็กหน้าเหม็นนี่เป็นทายาทอภิมหาเศรษฐีสินะ มิน่าถึงได้มีท่าทางหยิ่งยโสเหลือเกิน แต่ด้วยสถานการณ์อย่างตอนนี้ ถ้าหมอนี่ยังทำนิสัยแบบนี้ต่อไปละก็ ต่อให้ตะโกนเบ่งว่าพ่อตัวเองคือจัสติน ลี* (จัสติน ลี : ทายาทมหาเศรษฐีไต้หวันซึ่งถูกดำเนินคดีกว่า 20 คดี และถูกจำคุกโทษสูงสุด 79 ปี 7 เดือน) เดาว่าก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร และไม่มีผลต่อความอยู่รอดของเขาอยู่ดี ระหว่างนี้จางเย่าเลยปิดตาเอนพิงผนังหินด้านหลังพักผ่อนอีกครั้งและครุ่นคิดในใจเงียบๆ

 

 

เสียงรบกวนของผู้คนและแสงไฟแยงตาทำให้จางเย่าต้องเปิดตาฉับ หลังจากกะพริบตาจ้องผาหินสีเทาด้านบนอยู่เป็นนาน ถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ใช่ความฝัน ทั้งหมดเป็นความจริง เขาอยู่กับความเป็นจริงที่เสมือนกับฝันร้าย ครู่เดียวก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่ง มองคนแปลกหน้าข้างตัวกำลังพูดงึมงำอะไรสักอย่าง สีหน้าค่อนข้างวิตกกังวลและหวาดกลัว

“พี่จางเย่า พี่ตื่นแล้วเหรอ?” เคออี้เฉี่ยวกลับมาจากนอกถ้ำ เธอเห็นจางเย่าลุกขึ้นพอดีจึงเข้ามาเอ่ยทัก

“เกิดอะไรขึ้น?” พอสังเกตว่าสีหน้าของทุกคนไม่ค่อยปกตินัก เหมือนเกิดเรื่องอะไรขึ้น จางเย่าก็ขมวดคิ้วมุ่น

“วันนี้มีคนออกไปเตรียมจุดไฟทำสัญญาณขอความช่วยเหลือแต่เช้าตรู่ ผลคือพบว่าสภาพแวดล้อมด้านนอกดูไม่เหมือนอย่างปกติที่พวกเราเคยเห็นกันมา” เคออี้เฉี่ยวเอ่ยตอบ

“ไม่เหมือน? จะไม่เหมือนได้ถึงไหนเหรอ?” จางเย่าสงสัยตงิดๆ

“ฉะ...ฉันก็อธิบายไม่ถูกนิดหน่อย พี่ออกไปดูเองก็รู้แล้ว สรุปคือพิลึกสุดๆ” เคออี้เฉี่ยวก้มหน้า นิ้วมือพันเกี่ยวผมเปียตัวเองไปมาโดยไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี จึงได้แต่ให้จางเย่าออกไปดูเองถึงจะเข้าใจ

จางเย่าได้ยินแล้วก็หยิบเสื้อยืดที่ตากไว้ด้านข้างกับเสื้อแจ็กเก็ตแบบมีซิปขึ้นมาสวม ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก

ชายหาดสีขาวสลับทอง ส่วนที่เป็นสีขาวนั้นขาวสะอาดดุจแผ่นกระดาษ ส่วนที่เป็นสีทองดูงดงามอร่ามราวกับทองคำ ทอประกายระยิบระยับอยู่ใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรง เม็ดทรายสองสีตัดสลับเรียงกันเป็นแถวจนเหมือนมีคนจงใจทำให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่การเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ น้ำทะเลสีเขียวอ่อนมองไปสุดลูกหูลูกตาล้อมรอบเกาะ ผืนทรายสีขาวทองคู่กับท้องทะเลสีเขียวอ่อน สวยงามมากจริงๆ แต่ว่า...

ปัญหาก็คือชายหาดกับน้ำทะเลสีนี้จะมีอยู่จริงได้อย่างไร?

น้ำทะเลสีเขียวอ่อนอาจจะพอบอกได้ว่าเกิดจากการหักเหของแสง แต่การที่ผืนทะเลกว้างจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดราวกับเชื่อมถึงขอบฟ้านี้ล้วนเป็นสีเขียวอ่อน นี่มันพิสดารเกินไปหน่อย ในความทรงจำของเขา น้ำทะเลที่เคยพบไม่ใช่สีแบบนี้...

แน่นอนว่าพวกนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น จางเย่าหันหน้าไปสำรวจเกาะด้านหลัง พบว่าเฉดสีต้นไม้ก็ไม่เหมือนอย่างที่เคยเห็นเพราะทั้งหมดเป็นสีเทาฟ้า บรรดาพืชพรรณสีเทาฟ้าอ่อนกับพุ่มไม้ล้อมต้นสีเทาเข้มเติบโตอยู่ริมชายหาด เมื่อเดินเข้าไปสังเกตใกล้ๆ ก็พบว่าลักษณะของใบช่างประหลาดดีแท้ ต้นไม้มีขนฟูฟ่องเหมือนสัตว์หน้าขน และก็มีเถาวัลย์หงิกงอรูปทรงพิลึกกึกกือ พออยากเข้าไปสอดส่องในป่าลึกกว่านี้กลับถูกต้นไม้หนาทึบบดบังทัศนวิสัย ทำให้ไม่รู้ว่าลึกเข้าไปในป่ามีสภาพอย่างไร ซึ่งเมื่อมองจากตำแหน่งที่เขาอยู่บนชายหาดเข้าไปในตัวเกาะก็จะเห็นเป็นไอหมอกสีม่วงอยู่ทุกอณู ลอยอ้อยอิ่งไม่สลายหาย จึงไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนเลยว่าแท้จริงแล้วเกาะแห่งนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนและมีอะไรอยู่บ้าง

จางเย่าลองเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ข้างๆ ลักษณะของลำต้นเรียวบางมากขนาดประมาณไม้กอล์ฟ แต่กลับสูงชะลูดจนต้องเงยหน้ามองจนสุดถึงค่อยเห็นยอดของต้นไม้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีผลไม้สีเหลืองขนาดพอๆ กับอ่างล้างหน้าห้อยอยู่ และเห็นลายเส้นสีแดงพาดไว้ทั่วผลด้วย ต้นไม้ที่มีลำต้นบางขนาดนี้ แต่กลับออกผลใหญ่ปานนั้น เพื่อความปลอดภัยจางเย่าจึงถอยห่างออกมาระยะหนึ่งตามสัญชาตญาณ เพราะถ้าโดนผลไม้ขนาดประมาณนั้นตกจากที่สูงลงมากระแทกใส่ละก็ คงไม่ใช่เรื่องขำๆ แน่...

พืชบนเกาะนี้บางต้นมีขนาดเบ้อเริ่มเทิ่ม ขณะที่บางต้นกลับเล็กกระจ้อยร่อยจนมองแล้วน่าเห็นใจ จางเย่าเดินไปข้างหน้าจนถึงข้างต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งสูงถึงน่องเขา เมื่อก้มสำรวจรอบหนึ่งแล้วก็พบว่าลักษณะเหมือนต้นกล้วยน้ำว้าเวอร์ชันมินิ เพียงแต่ใบเป็นสีเทา หลังจากเดินหน้าเข้าไปต่อ พืชพรรณทั้งหลายก็ยิ่งแปลกพิสดารมากขึ้น สิ่งปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ล้วนไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนแน่นอน จางเย่ากล้ายืนยันด้วยว่าไม่เพียงแต่เขา คนทั้งโลกก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน

พืชเหล่านี้แปลกประหลาดจริงๆ ทำไมเกาะกับทะเลที่นี่ถึงต่างจากปกตินะ? หรือเกาะที่พวกเขาขึ้นมานี่ จะไม่ใช่เกาะธรรมดา?

จางเย่าหยุดฝีเท้า คิดถึงหลุมม้วนวนสีม่วงดำที่เห็นตอนอยู่บนเครื่องบิน สาเหตุที่เครื่องบินสูญเสียการควบคุมเป็นเพราะมันนั่นเอง หรือว่าสถานที่ที่พวกเขามาถึงไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว? เป็นการทะลุมิติมายังโลกคู่ขนานของหลุมดำอื่น? หรือเป็นมิติที่มนุษยชาติไม่อาจก้าวล่วงถึง? หรือจะเป็นจำพวกสนามแม่เหล็กอย่างสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในตำนาน ถึงกลืนกินเครื่องบินของพวกเขาได้? ขณะที่ในโลกเดิมของพวกเขา ผู้คนต่างรับรู้เพียงว่าเครื่องบินได้อันตรธานหายไป แต่กลับไม่อาจล่วงรู้ได้เลยตลอดกาลว่าพวกเขาถูกเขมือบเข้ามาในอีกมิติ?

จางเย่าตบหน้าผากตัวเองเข้าให้หนึ่งป้าบ ต้องเป็นเพราะดูหนังไซไฟมากจนเกินขนาดแน่นอน ตอนนี้ถึงได้คิดเพ้อเจ้อเยอะแยะขนาดนี้ หากเป็นจริงอย่างที่เขาคิด ไม่ใช่ว่าเขาต้องใช้ชีวิตบนเกาะประหลาดนี่ไปตลอดชาติหรือไง? เพราะทีมกู้ภัยไม่มีทางหาพวกเขาเจอเด็ดขาด...

จางเย่าพยายามทำใจให้สงบพร้อมกับปลอบตัวเอง เกาะแห่งนี้แม้จะแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่ก็น่าจะปลอดภัยมั้ง พอได้ลองคิดเชื่อมโยงในทางที่ดีดู เกาะนี้ก็ถือว่าเป็นเกาะลึกลับที่ยังไม่เคยได้รับการบุกเบิกค้นพบ หรืออาจเป็นธารดอกท้อ* (ธารดอกท้อ : เป็นดินแดนในอุดมคติตามความเชื่อแบบจีน หรือโลกยูโทเปีย) เวอร์ชันโลกยุคปัจจุบันก็ได้นี่นา

ระหว่างครุ่นคิด เสียงพึ่บพั่บแปลกๆ แต่ก็ดังลั่นขึ้นทางด้านหลัง จางเย่ามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว พอเขายอบตัวลงก็เห็นสัตว์บินได้ตัวหนึ่ง ลักษณะของมันมีแปดขาและปีกหกคู่ดูคล้ายแมลงปอ มันบินโฉบผ่านตำแหน่งที่เขาเพิ่งหลบพ้นมา ปากขนาดมหึมาดูแล้วน่าสยดสยอง คมกริบอย่างไม่มีอะไรเทียบติด จางเย่าเห็นแมลงที่มีขนาดไล่เลี่ยกับเหยี่ยวก็ตะลึงงันไป ตัวเป้งขนาดนี้มีแค่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เท่านั้นหรือเปล่า? แต่กลับมาโผล่อยู่บนเกาะนี้ได้ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!?

แมลงปอบินผ่านจางเย่าไป หลังจากแฉลบผ่านพุ่มไม้ตรงหน้าก็เตรียมวกกลับมาใหม่ ต้นไม้สีดำที่เดิมทีสงบนิ่งไม่ไหวติงพลันกระเด้งโค้งงอ แล้วงูสองหัวยาวประมาณสี่เมตรฉกแมลงปอยักษ์นั่นไว้ในปากหนึ่งทันที ส่วนอีกปากก็ตามมาติดๆ ฉีกทึ้งครึ่งร่างที่เหลือแล้วเคี้ยวกลืนอย่างรวดเร็ว จางเย่าลุกยืนขึ้นก่อนจะเดินถอยหลังอย่างช้าๆ เมื่อกี้เขาพูดเรื่องธารดอกท้อตูดหมาอะไร ขอคืนคำด่วน...ไอ้เกาะนี่ มีแต่อันตรายรอบด้านชัดๆ

ขณะคิดพลางเดินถอยหลังอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เหมือนได้ยินใครตะโกนเรียก เมื่อหันหน้ากลับมาจึงเห็นเด็กหญิงที่ค่อนข้างจิตใจดีคนนั้น เคออี้เฉี่ยวกำลังร้องเรียกเขาเสียงดัง บอกเขาว่าให้กลับถ้ำไปประชุม

“ประชุม?” จางเย่ากลอกตามองฟากฟ้า ประชุมอะไรเยอะแยะ?

ตอนกลับถึงถ้ำ คนอื่นๆ ต่างนั่งเรียงซ้อนกันเป็นวง รายล้อมหลิวหรงกับจ้าวเสียงกว๋อที่เมื่อวานถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำแล้ว ส่วนจ้าวเสียงกว๋อก็กำลังร่ายแผนการอยู่

“ผมเลือกผู้ชายสองสามคน ให้รับผิดชอบใกล้ๆ พื้นที่บริเวณในเกาะเพื่อเสาะหาและรวบรวมอาหารกับน้ำสะอาด ส่วนคนที่ไม่ถูกคัดเลือก ผู้หญิงรับหน้าที่เก็บอาหารทะเล เปลือกหอย กับหาพวกฟืนแถวนี้กลับมาหน่อย ผู้ชายก็ให้สร้างสิ่งที่พวกเราจะอยู่อาศัยได้ มีความเห็นไหมครับ?”

“ตกลง งั้นก็สั่งพวกเราให้เต็มที่เลย พวกเราจะช่วยอย่างสุดความสามารถ”

“ใช่ๆ ว่ามาได้เลย แล้วแต่คุณจะสั่งเถอะ”

แม้ว่าจะมีคนพากันพยักหน้าเห็นดีเห็นงามอยู่ไม่น้อย แต่แน่นอนว่ายังมีคนส่วนน้อยที่แสดงความกังวล “นั่นน่ะ...สิ่งที่ผมเพิ่งเห็นข้างนอก เหมือนจะน่ากลัวมาก ถ้าออกไปจะอันตรายมากหรือเปล่า?”

เมื่อเห็นว่ามีคนกังขากับแผนการ จ้าวเสียงกว๋อก็เงยหน้ามองผู้ชายคนที่ตั้งคำถาม ก่อนจะยิ้มตาหยีตอบเสียงนุ่ม “ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน พวกเราก็ต้องพยายามไงครับ คุณดูสิ ไม่มีใครกลัวเลย คุณจะกลัวอะไรเล่า? ขี้ขลาดจังน้า เด็กน้อย คุณต้องออกกำลังฝึกฝนให้มากหน่อย อย่างนั้นคนหาอาหารกับน้ำก็เป็นคุณสักคนแล้วกัน”

“ผม? ผมไม่เอาด้วยอะ เหมือนจะอันตรายเกิน...”

“อย่ากลัวไปเลยน่ะ! พวกเราเป็นชายชาตรีกันทั้งนั้น ถ้าเวลาแบบนี้ไม่แสดงความสามารถแล้วจะใช้ได้ที่ไหน? นายก็ทำใจให้กล้าหน่อยน่า ฮ่าๆๆ” หลังจากตบบ่าชายหนุ่มที่กลัวหัวหดตัวลีบแล้ว หลิวหรงก็เปล่งเสียงกังวานใสอบอุ่น พยายามให้กำลังใจทุกคนว่าไม่ต้องกลัว

“คุณเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ใจเสาะขนาดนี้เชียว? ถ้าคุณไม่ไป แล้วจะให้พวกผู้หญิงบอบบางไปถึงจะเหมาะสมงั้นเหรอ?” พอถูกพวกจ้าวเสียงกว๋อชี้นำ หญิงสาวคนที่เมื่อคืนยังโศกเศร้ากับการสูญเสียสามีจากอุบัติเหตุเครื่องบินถึงกับเชิดหน้าถามชายคนนั้นอย่างลืมตัว จากนั้นหลายคนก็ช่วยกันเกลี้ยกล่อมอีกยก ภายใต้การผลักดันส่งกำลังใจของผู้คนรอบข้าง เขาเลยได้แต่หุบปากยอมรับชะตาอย่างว่าง่าย

ผ่านคำถามของชายคนนี้ไปแล้ว คนอื่นก็ไม่กล้าซักไซ้อะไรมากความอีก รอให้จ้าวเสียงกว๋อกับหลิวหรงจัดแจงสั่งการ พอถามถึงคนออกไปหาอาหารและน้ำ จางเย่าก็ยกมือเสนอตัวว่าจะไป บรรยากาศของกลุ่มคนในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก หลายคนที่มีสภาพจิตใจอ่อนไหวดูเหมือนจะโดนล้างสมองได้ง่าย คือถูกพวกจ้าวเสียงกว๋อจัดการไปแล้ว พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของฝ่ายนั้นทุกประการและต่อต้านคนที่มีข้อกังขา ส่วนพวกคนที่ขี้ขลาดไร้จุดยืนบางส่วนก็ได้แต่ยอมรับชะตาและยอมทำตามแต่พวกนั้นจะจัดการ

ดังนั้นคนที่ยอมรับชะตากรรมจึงถูกจัดแจงให้ทำหน้าที่เก็บสิ่งของบริเวณใกล้เคียงและสร้างที่อยู่อาศัย โดยมีพวกคนที่ภักดีนั่นรออยู่กับจ้าวเสียงกว๋อในถ้ำ ส่วนคนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งแต่ดูไม่ค่อยเชื่อฟังทั้งหมดจะถูกส่งไปหาอาหารและน้ำในตัวเกาะซึ่งมีสภาพแวดล้อมดูน่าอันตราย ดูท่าแล้วเหมือนว่าพวกคนหัวรั้นจะซวยบรม ส่วนคนหัวอ่อนก็แค่ทำงานตามคำสั่งก็พอแล้ว

สำหรับหลิวหรงที่ดูใจดีและใจสู้นี้ แม้จะให้กำลังใจทุกคนอย่างกระตือรือร้น และออกตัวขอไปหาน้ำกับอาหารเองก็ตาม แต่เขาก็ไปมีปฏิสัมพันธ์กับจ้าวเสียงกว๋อ แถมดูท่าจะสนิทสนมกันอย่างดี เห็นแล้วชวนให้แปลกใจตงิดๆ

จ้าวเสียงกว๋อมองชายหนุ่มที่ขันอาสาไปสำรวจตัวเกาะหาอาหารและน้ำด้วยตัวเองอย่างประหลาดใจเล็กน้อย รูปร่างของอีกฝ่ายกำยำสมส่วน รูปลักษณ์ดูโหดดุบ้าบิ่นจนทำเอาจ้าวเสียงกว๋อรู้สึกไม่วางใจอย่างยิ่งมาตลอด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะให้ความร่วมมือเกินคาด จ้าวเสียงกว๋อคิดว่าประเสริฐแท้ ลอบยิ้มกริ่มลำพองในใจ แต่บนหน้ากลับเผยแววห่วงใย ทั้งกำชับจางเย่าว่าระหว่างทางให้ดูแลตัวเองดีๆ ความปลอดภัยสำคัญที่สุด

จางเย่าพยักหน้าตอบรับส่งๆ เขาแค่คิดอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย เพราะรู้สึกว่าถ้าต้องอยู่ร่วมกับกลุ่มคนที่เอาแต่พูดพล่าม ทำตัวปากว่าตาขยิบแล้ว สู้เขาอยู่ตัวคนเดียวน่าจะผ่อนคลายกว่าเยอะ

เมื่อออกจากถ้ำแล้ว คนที่ถูกเลือกก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ส่วนคนที่ไม่ถูกเลือกต่างก็อิงแอบอยู่ในถ้ำ พูดคุยสนทนากันโดยไม่ได้ห่วงใยความเป็นตายของคนอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว จางเย่าเพิ่งเหยียบพื้นด้านนอกถ้ำได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเคออี้เฉี่ยวผู้เอะอะมะเทิ่งตะโกนสำทับมาว่าให้ระวังตัวด้วย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าบางคนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร จึงหยักยิ้มมุมปากแล้วก็หันหลังให้ถ้ำ ยกมือขวาโบกๆ ตอบเป็นการสื่อว่ารับรู้แล้ว

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal