(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน เกาะสัตว์ประหลาด เล่ม 1

Saturday

บทที่ 2 ขึ้นเกาะ

คลื่นใหญ่กลางพายุฝนย่อมหฤโหดกว่าปกติ แรงปะทะของกระแสคลื่นก็รุนแรงขึ้นมาก โดยเฉพาะตอนเคลื่อนเข้าใกล้เกาะเรื่อยๆ คลื่นทะเลที่ซัดปะทะร่างก็ยิ่งดุดัน

จางเย่าว่ายไปพลางอาศัยแรงผลักของคลื่นยักษ์ลอยเข้าหาเกาะ สติยังคงตื่นระแวงอยู่ทุกขณะ ตากวาดมองรอบทิศ หูฟังเสียงรอบทาง เพื่อหลีกเลี่ยงบรรดาคลื่นใต้น้ำวกวนน่ากลัวกับหินโสโครกแหลมคมบริเวณเกาะ ไม่รู้ว่าทุ่มเทเวลาไปยาวนานแค่ไหนถึงเข้าไปใกล้โขดหินก้อนหนึ่งที่ปีนขึ้นง่ายๆ ได้สักก้อน ฉวยจังหวะตอนคลื่นยักษ์ลูกถัดไปยังไม่ซัดเขาจนเบนออก ก็รีบชิงเอาสองมือไต่ขึ้นไปบนนั้นก่อน

ผิวของโขดหินยักษ์ถูกคลื่นทะเลกัดเซาะจนแหลมผิดไปจากปกติ ส่วนที่ยื่นออกมาคมกริบราวใบมีด จางเย่าหลบหลีกส่วนที่บาดคนได้ง่ายอย่างระมัดระวัง นั่งยองๆ อยู่บนยอดโขดหินแล้วพักหอบหายใจให้เรียบร้อยก่อน หลังจากแช่ตัวอยู่กลางทะเลมานานขนาดนั้น ความรู้สึกตอนได้เหยียบขึ้นบกอีกครั้งคือโคตรฟิน

จางเย่ายกมือมาลูบตรงแขนที่ถูกแช่แข็งอยู่กลางทะเลหนาวเหน็บจนเกือบไร้ความรู้สึก ตากนั้นก็ยืนขึ้นมองประเมินเกาะที่อยู่ด้านหลังตัวเอง ต่อให้ตอนนี้เข้ามาใกล้แล้ว และเห็นสภาพส่วนใหญ่ของทั้งเกาะชัดเจน แต่ก็ยังรู้สึกว่าถูกปกคลุมอยู่ใต้หมอกควันสีม่วงทั้งผืน มองลักษณะโดยละเอียดไม่เห็นอยู่ดี เห็นเพียงเงาตะคุ่มสีดำเป็นบางส่วน กลายเป็นว่าความรู้สึกที่ทั้งเกาะมอบให้เขากลับยิ่งลึกลับขึ้นกว่าเดิม

เมื่อพักอยู่บนโขดหินครู่หนึ่งและฟื้นกำลังวังชาสักนิดแล้ว จางเย่าก็เตรียมออกเดินทาง ปีนป่ายผ่านหินโสโครกหลายก้อน ในที่สุดก็หาช่องว่างระหว่างหินโสโครกสลับซ้อนทับกันแห่งหนึ่ง แล้วกระโดดลงไปบนพื้นแผ่นดินได้อย่างราบรื่น ขณะเดียวกันเหนือศีรษะยังมีพายุโหมกระหน่ำ ฝนเทลงมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย จึงอาศัยแสงตอนฟ้าแลบฟ้าผ่าที่ฟาดลงมาตลอดจากไกลๆ จนหาถ้ำยักษ์ที่ดูน่าจะสามารถใช้หลบฝนพักผ่อนเจออยู่ตรงข้างหน้าผาที่กันกระแสลมได้แห่งหนึ่ง

หลังจากมุดเข้าไปแล้วก็พบว่าด้านในถ้ำดำทะมึน จางเย่านึกถึงว่าไฟแช็กของตัวเองสามารถนำมาใช้ส่องสว่างได้ แต่พอคลำกระเป๋าถึงค่อยจำได้ว่าถูกยึดไปแล้วตอนตรวจค้นร่างกายก่อนขึ้นเครื่องบิน...

เฮ้อ ถ้าตอนนี้มีไฟแช็กก็ดีสิ ได้ทั้งส่องแสงและก่อไฟ เมื่อในกระเป๋าไม่เจอไฟแช็กจางเย่าเลยล้วงเอามือถือออกมาแทน กดปุ่มบนนั้นไปมาแล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ว่าใช้การไม่ได้เลย พวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยังไงก็ไม่มีทางสู้การโจมตีของธรรมชาติได้ หลังจากหมดสิ้นหนทางแล้วถึงได้หลับตาลง พยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมมืดสนิทในถ้ำอย่างสุดความสามารถ สองมือลูบผ่านผนังหินข้างตัว ค่อยๆ เดินลึกเข้าไปอีก

สามารถหาสถานที่หลบพายุคลั่งและห่าฝนด้านนอกได้ชั่วคราวแบบนี้ก็ดีมากแล้ว จางเย่าผู้ศรัทธาในการมองโลกแง่บวกมาแต่ไหนแต่ไร ขณะนี้จึงได้แต่คิดในทางที่ดีสุดแรงเกิด อย่างน้อยแบบนี้ก็ทำให้สภาพจิตใจตัวเองดีขึ้นนิดหน่อย

เนื่องจากในถ้ำนี้ไม่มีคน จางเย่าจึงถอดเสื้อผ้าเปียกชุ่มทั้งตัวของตนออกมาบิดให้หมาด ก่อนสวมกางเกงอีกครั้ง และตากอย่างอื่นไว้บนหินด้านข้างให้แห้งไปเอง พอดวงตาคุ้นชินกับถ้ำมืดก็เริ่มสำรวจมองรอบๆ และเก็บกิ่งไม้แห้งบนพื้นมา โชคดีว่าพวกกิ่งไม้ที่ไม่รู้ว่าปลิวเข้ามาได้ยังไงเหล่านี้แห้งสนิทดีทั้งหมด ความหวังที่จะก่อไฟได้เลยค่อนข้างสูง

พอรวบรวมกิ่งไม้สำหรับใช้ทำฟืนได้หนึ่งกอง จางเย่าก็เอาขี้เลื่อยที่ได้มาจากการใช้หินแหลมฝนกับตัวกิ่งไม้แห้งออกมาวางเป็นกองขนาดเล็กบนพื้น อาศัยเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาจำผ่านตามาจากพวกรายการเซอร์ไวเวอร์ บวกกับสมัยเด็กมีประสบการณ์เพราะชอบเล่นและก่อไฟด้วย ใช้กิ่งไม้ปลายแหลมกิ่งหนึ่งถูกับอีกกิ่งที่มีหลุมเว้าค่อนข้างเรียบ หวังว่าจะปั่นไม้จนได้สะเก็ดไฟสักนิดมาก่อไฟ

จางเย่าอดทนทำอยู่นานมาก เดิมทีแช่น้ำทะเลจนเปียกปอนทั้งตัว จนตอนนี้ร้อนไปหมดเพราะขยับท่อนไม้ซ้ำไปมา สองแขนหมุนปั่นจนรู้สึกปวดหนึบไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ หวังใจว่าจะต้องจุดไฟให้จงได้ ไฟสามารถกระตุ้นจิตใจคนและให้ความอบอุ่น ยังไงเขาก็ต้องจุดให้ติด

หลังจากปั่นกิ่งไม้อยู่ร่วมชั่วโมงจางเย่าก็เหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่างถูกเผาไหม้ ควันสายเล็กบางเบาๆ ลอยออกมาจากช่องว่างกิ่งไม้ ทำเอาเขาเห็นแล้วก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที จากนั้นก็เพิ่มความเร็วในการหมุนกิ่งไม้ในมืออีก เพียงไม่นานสะเก็ดไฟก็ปะทุขึ้นสำเร็จในที่สุด เมื่อกะเวลาพอสมควรแล้วก็เอาเชื้อไฟเทลงบนกองขี้เลื่อยที่สุมไว้อย่างดีก่อนหน้านี้เบาๆ ประกบสองมือเข้าหากันแล้วเป่าลมใส่ด้วยความระมัดระวัง

ควันสีขาวผุดขึ้นอย่างเชื่องช้า จากนั้นเปลวเพลิงสีเหลืองทองก็จุดขึ้นกลางกองขี้เลื่อย ในที่สุดเขาก็ก่อไฟสำเร็จ...

กองไฟที่ลองเพียงครั้งเดียวก็จุดติดนี้กำลังแผดเผาส่งเสียงดังแปลบปลาบในถ้ำ เปลวเพลิงลุกโชติช่วง จางเย่าเอนหลังพิงผนังหิน มองแสงไฟจากการเผาไหม้แล้วค่อนข้างอิ่มเอมใจ ดูท่าทักษะการเอาตัวรอดของตัวเองไม่เลวเลยทีเดียว พอยื่นมือไปลูบเสื้อผ้าที่ตากอยู่ข้างกองไฟก็พบว่าเกือบแห้งแล้ว ร่างชุ่มโชกจากทั้งน้ำและสายฝนจนหนาวสะท้านก่อนหน้านี้จึงค่อยๆ ได้รับความอบอุ่นกลับคืน พอได้หลบอยู่ในถ้ำที่ป้องกันพายุฝนกระหน่ำแบบนี้ชั่วคราว ตอนนี้เลยชวนให้รู้สึกสบายใจ สติอารมณ์ก็มั่นคงขึ้นไม่น้อย

ขณะที่จางเย่ากำลังครุ่นคิดว่าต่อไปควรเอาตัวรอดบนเกาะนี้อย่างไร จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือด้วยวิธีไหนและรอจนทีมกู้ชีพมาพบนั้น จู่ๆ ด้านนอกถ้ำก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น เป็นเสียงฝีเท้ากำลังเหยียบย่างมุ่งตรงมายังถ้ำแห่งนี้ จางเย่าผุดลุกฉับ ยืนขึ้นอย่างระวังตัวพร้อมกับจับจ้องไปยังปากถ้ำ

จะเป็นใครไปได้เหรอ? คงไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกนะ? เขาในสภาพนี้ไม่มีอาวุธในมือสักชิ้น อีกทั้งใช้พลังงานเกินขีดจำกัดไปแล้ว ถ้าต้องรับมือกับสัตว์ร้ายเร็วๆ นี้ก็ตึงมืออยู่บ้างจริงๆ

“ใคร?”

พอหันไปทางปากถ้ำที่มีเสียงแว่วลอยมาแล้วจางเย่าก็ตะโกนถาม

“...คือว่า...ฉัน...” เด็กหญิงวัยประมาณแค่สิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาตอบ สภาพของเธอเปียกปอนเส้นผมแนบติดข้างแก้ม ร่างปะทะกับความหนาวเย็นจนริมฝีปากเป็นสีอมม่วง และกำลังกอดกระเป๋าเดินทางสีฟ้าแนบอกอย่างน่าสงสาร

 

 

ฝันร้ายทั้งหมดราวกับเกิดขึ้นในชั่วพริบตา เสี้ยววินาทีก่อนเคออี้เฉี่ยวยังหลับฝันหวานอยู่แท้ๆ เสี้ยววินาทีถัดมากลับเหมือนโลกทั้งใบถล่ม เครื่องบินที่เธอโดยสารมาเกิดสั่นสะเทือนขึ้นอย่างกะทันหัน ต่อมาก็หมุนคว้างพลิกตลบอยู่กลางอากาศ จากนั้นเธอจึงตกใจตื่น และถูกกระเป๋าผ้าใบหนึ่งที่ไม่รู้ว่ากระดอนมาจากไหนกระแทกใส่หัวจนสลบเหมือดไป

เคออี้เฉี่ยวคาดไม่ถึงเลยว่าชั่วเวลาพริบตาเดียวแสนสั้นจะเกิดเรื่องน่ากลัวขนาดนี้ ขณะร่วงหล่นลงไปจนจมมิด น้ำทะเลเย็นยะเยือกเป็นตัวกระตุ้นให้ตื่นอีกครั้ง ข้อมือเธอยังเกี่ยวกระเป๋าผ้าใบที่ทำร้ายจนเธอหมดสติไว้อยู่ ไม่รู้ว่าในนั้นใส่อะไรไว้ถึงสามารถลอยเหนือผิวน้ำได้ เคออี้เฉี่ยวผู้ว่ายน้ำไม่เป็นจึงใช้สองมือกอดมันแน่นสุดชีวิต ฝืนสู้ลอยเหนือผิวน้ำไม่ถูกมหาสมุทรกลืนกินได้

เธอแหงนมองห้องโดยสารที่เพลิงกำลังลุกไหม้ ตำแหน่งที่นั่งเดิมตอนนี้ทั้งหมดกลับหัวกลับหางตั้งโด่อยู่เหนือหัว เธอนึกถึงคุณป้าซึ่งเป็นคนชวนเธอไปเยี่ยมญาติที่ประเทศ L และนั่งเครื่องบินมาด้วยกัน คุณป้าล่ะ? พอคิดแบบนี้เคออี้เฉี่ยวก็ร้อนใจ มองไปรอบกายพร้อมกับตะโกนเรียกหาเสียงดัง ในห้องโดยสารดำมืดและพังยับเยินกำลังชุลมุนวุ่นวายไปหมด มีเพียงแสงไฟริบหรี่ของเครื่องบินเพียงหนึ่งจุดเล็กๆ เคออี้เฉี่ยวไม่อาจหาร่างของคุณป้าเจอได้เลย เห็นเพียงผู้คนเป็นโขยงที่เหมือนกับเธอ ลอยกระเพื่อมขึ้นลงอยู่กลางทะเลโดยไร้ที่พึ่ง บางคนยังลองออกแรงปีนป่ายขึ้นไปด้านบนอยู่ หมายตะเกียกตะกายไปให้ถึงส่วนหางเครื่องบินที่ตั้งตรงขึ้นเพราะไม่อยากถูกกดจนจมดิ่งสู่ท้องทะเลไปทั้งอย่างนี้

ร่างแหลกเละจากการถูกปะทะครึ่งร่างของผู้หญิงคนหนึ่งลอยมาตามจังหวะคลื่นชนถูกข้างตัวเคออี้เฉี่ยว พอเห็นใบหน้าและร่างกายที่เลือดเนื้อถลอกปอกเปิกอยู่ประชิดร่างตน เธอก็ตกใจจนกอดกระเป๋าผ้าในมือ แล้วว่ายสะเปะสะปะหนีไปด้วยความเร็วสูง

ด้วยความไม่ทันระวัง เคออี้เฉี่ยวเลยเผลอชนเข้ากับรอยแยกของเครื่องบินจุดหนึ่งที่เดิมทีก็บอบบางอยู่แล้วให้อ้ากว้างขึ้น ณ ตอนนี้เอง เสียงระเบิดของเครื่องบินก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกขณะ เคออี้เฉี่ยวที่แต่แรกยังอยากตามหาคุณป้า จึงถูกกระแสลมและฝูงชนที่เบียดเสียดกรูกันดันหลุดมานอกห้องโดยสาร หนีออกจากเครื่องบินที่เจียนจะระเบิดเต็มที มวลอากาศขนาดมหึมาพุ่งปะทะใส่ ผลักเคออี้เฉี่ยวจนตีลังกาหกคะเมนกลางมหาสมุทรอยู่ครึ่งค่อนวัน เดี๋ยวลอยเดี๋ยวจมจนกินน้ำทะเลเค็มปี๋เข้าไปไม่น้อย แต่ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเธอ มือก็ยังคงกำกระเป๋าเดินทางที่ลอยอยู่บนผิวน้ำแน่นสุดชีวิต ไม่ถูกคลื่นทะเลกดลงเบื้องล่างจนจมน้ำตาย

และเพราะผลกระทบจากฝนกระหน่ำกับพายุโหมขนาดยักษ์นี้ กระแสคลื่นในทะเลจึงซัดสาดไปทางเดียวกัน เคออี้เฉี่ยวกอดกระเป๋าผ้าอยู่บนผิวน้ำ ค่อยๆ ลอยละล่องไปตามกระแสน้ำซึ่งพัดเข้าเกาะที่จางเย่าขึ้นมา เธอฮึดสู้จนปีนขึ้นฝั่งได้ แต่สติสตังจากการถูกอุบัติเหตุทางอากาศโจมตียังไม่กลับมาอยู่กับเนื้อตัว มองไปยังสภาพแวดล้อมแปลกหน้าโดยรอบอย่างงุนงงและอับจนหนทาง คิดว่าตอนนี้เหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยว อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณป้าบนเครื่องบินไปแล้ว ส่วนเธอยืนอยู่บนเกาะบรรยากาศดูมืดทะมึนน่ากลัว จากนี้จะมีชีวิตรอดได้อย่างไร?

ขณะเคออี้เฉี่ยวกำลังจะร้องไห้นี้เองก็บังเอิญหันไปเห็นแสงสว่างหนึ่งสาย ทำเอาเธอหลงนึกว่าเกิดภาพหลอนไปเอง ต้องยืนยันอีกสองสามรอบถึงพบว่าทางซ้ายมือมีแสงไฟลุกโชนอยู่จริงๆ ซึ่งเป็นการจุดความหวังของเธอให้สว่างไสวขึ้น จึงรีบเดินไปตามทางที่แสงไฟส่องประกาย ลืมความทรมานและอ่อนล้าที่มีอยู่ทั่วทั้งร่างกายไปสิ้น กระทั่งก้าวเข้าไปในถ้ำแล้วเห็นกองไฟอบอุ่นกับคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงค่อยปล่อยโฮออกมาในที่สุด รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการช่วยเหลือแล้ว

เสียงร้องไห้เริ่มดังขึ้นตั้งแต่เหยียบย่างเข้าปากถ้ำมาแล้วจากนั้นก็ไม่ได้หยุดเลย จวบจนเมื่อครู่นี้เองเจ้าตัวจึงฮึบและสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้สักที เด็กหญิงสงบใจลงแล้วเล่าเรื่องที่เธอประสบมา ส่วนจางเย่าก็อดเอ่ยแทรกขึ้นไม่ได้ “เฮ้ๆ ตอนนี้เธอยังไม่ถือว่าได้รับความช่วยเหลือหรือเปล่า? ฉันมันก็แค่ผู้รอดชีวิตเหมือนเธอนะ”

“ไม่เลย” เคออี้เฉี่ยวส่ายหน้าแล้วก็เอ่ยยืนกราน “ถ้าเป็นฉันคนเดียว ต่อให้ขึ้นเกาะสำเร็จก็จุดไฟไม่เป็นหรอก ไม่มีเพื่อน มีแค่ฉันหัวเดียวกระเทียมลีบต้องตายหยังเขียดแน่ ตอนนี้ได้เห็นคนอื่นยังรอดชีวิตและมีเพื่อนร่วมทาง ฉันก็รู้สึกว่าได้รับการช่วยเหลือแล้ว!”

“เฮ้อ แล้วแต่จะพูดแล้วกัน ยังไงตอนนี้เธอก็มีเพื่อนร่วมทางจริงๆ นั่นแหละ แถมไม่น้อยด้วย...” จางเย่าเชิดคางขึ้น แล้วก็มองไปทางปากถ้ำที่มีคนออกันแน่น มุมปากกระตุกโดยอัตโนมัติ คิดไม่ถึงว่ากองไฟที่เขาจุดนี้จะนำพาผู้รอดชีวิตรายอื่นที่ปีนขึ้นเกาะแถวๆ นี้มาที่นี่กันหมด ตอนนี้นับดูคร่าวๆ พบว่าบรรดามีคนทยอยปรากฏตัวประมาณยี่สิบกว่าชีวิตแล้ว ถ้ามีคนมาอีกละก็ คาดว่าพื้นที่ในถ้ำคงไม่พอให้เบียดกันอยู่แน่ แออัดจริงๆ...

แม้ว่าการได้เห็นคนอื่นยังมีชีวิตอยู่จะทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยว แต่คนเยอะเกินก็น่ารำคาญใจใช่ย่อยอยู่ดี

“คือว่า...นายก็ตัวคนเดียวเหรอ?” เคออี้เฉี่ยวหันหน้าไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีนั่งอยู่ตรงมุม เลยใส่ใจไปไถ่ถามสักหน่อย

“ใครบอกว่าตัวคนเดียว? เพ้อเจ้อ! การ์ดของฉันจมน้ำตายเพราะปกป้องฉันต่างหาก ไม่งั้นจะมาโผล่ที่นี่คนเดียวได้ไง” วิธีการพูดจาของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความเป็นผู้ลากมากดี ทั้งยังวางท่าดูแคลนคนอื่น กลอกตามองบนใส่เคออี้เฉี่ยวที่อุตส่าห์ถามด้วยความห่วงใย ตอบด้วยน้ำเสียงร้ายกาจไม่น่าฟัง เอ่ยจบเขาก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง จับเครื่องเกมเพลย์สเตชันที่ควักออกมาจากกระเป๋าเป้เคาะไปมา แต่ก็ยังเปิดไม่ติด จึงยิ่งหงุดหงิดหนักขึ้นถึงกับขว้างใส่พื้นเต็มแรง

“เลิกคิดจะเล่นเกมเพลย์เถอะ...แช่อยู่ในน้ำนานขนาดนั้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พังไปนานแล้ว” จางเย่าแคะหูแล้วก็คิดในใจว่าเด็กผีนิสัยเหม็นบูดประเภทนี้น่ารำคาญชะมัดยาด พอเห็นอีกฝ่ายระบายอารมณ์ใส่เครื่องเกมเพลย์สเตชันแล้ว เขาอดไม่ไหว เลยพลั้งปากพูดสั่งสอนสักหน่อย

“หึ! นายอย่ามาทำเป็นพูด ของแบบนี้พังก็พังไปสิ ฉันอยากซื้อเท่าไรพ่อต้องซื้อให้ตามนั้นอยู่ดี เครื่องนี้ไร้ประโยชน์แล้ว จะทำลายทิ้งก็ไม่เห็นเป็นไร!”

เด็กหนุ่มยืนขึ้นฉับ ความโกรธพุ่งขีดสุดโดยไม่มีสาเหตุ กระทืบเครื่องเล่นเพลย์สเตชันที่ตัวเองทิ้งลงพื้นส่งเดชไปหนึ่งยก ย่ำจนทั้งเครื่องแตกละเอียดแล้วยังกระโดดเหยียบไปด้วย ในใจอัดแน่นไปด้วยความแค้น พร้อมกับพานโทษทุกสิ่งอย่าง! ถ้าไม่ใช่เพราะแม่อยากให้เขาไปหาคุณย่าที่ประเทศ L ให้ได้ หนำซ้ำยังบอกว่าคุณย่าป่วยและอยากเจอหน้าเลยบังคับให้เขาไป ตอนนี้เขาก็คงเล่นเกมอยู่บ้าน ไม่ใช่มาติดเกาะเฮงซวยนี่กับคนไม่รู้จักอีกเป็นฝูง เบียดเสียดอยู่ในถ้ำสกปรกเหม็นโฉ่! แถมยังการ์ดห่วยแตกนั่นอีกคน! คิดไม่ถึงว่าแค่ช่วยกันเขาไว้จากของที่ร่วงหล่นมาชิ้นหนึ่ง ก็ถูกของชิ้นนั้นกระแทกตายไปซะแล้ว ไร้ประโยชน์สิ้นดี ทำเอาเขาต้องใช้เสื้อชูชีพลอยตามคลื่นทะเลมาคนเดียว ถึงค่อยพยายามตะกายขึ้นเกาะนี่ได้ ตอนนี้การ์ดตายแล้วเลยไม่มีใครปรนนิบัติเขาได้อีก บัดซบฉิบหาย!! ทั้งหมดทั้งมวลคือเวรตะไลเอ๊ย!!

“เฮ้ น้องชาย เกมเพลย์นี่ไม่เห็นจะต้องเหยียบให้แหลกก็ได้ ดูท่าราคาคงแพงจัดนะ” แค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเครื่องก็รู้แล้วว่าราคาแพงหูฉี่ ตอนนี้กลับโดนกระทืบเละเพื่อเป็นการระบายอารมณ์อีกก็ให้รู้สึกปวดใจหน่อยๆ...

“อย่ามานับญาติกับฉันนะ ใครเป็นน้องนาย!”

“ก็ฉันไม่รู้ว่านายชื่ออะไรนี่...”

“ฉันชื่อเซี่ยงเฉิน!”

“อ้อ ที่แท้นายชื่อเซี่ยงเฉินเหรอ ฉันชื่อเคออี้เฉี่ยว” พอเห็นเซี่ยงเฉินถลึงตาโตพร้อมกับตอบจางเย่าด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก เคออี้เฉี่ยวที่อยู่ข้างๆ ก็พูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา

“เหอะ ใครสนว่าเธอชื่ออะไร” เด็กหนุ่มเบะปาก ไม่สนใจเคออี้เฉี่ยวกับจางเย่า

ส่วนจางเย่าเองก็คร้านจะต่อปากต่อคำกับเด็กผีไร้มารยาทขั้นสุดต่อ เด็กแบบหมอนี่ต้องโดนพ่อแม่สปอยล์มาแต่อ้อนแต่ออกแน่ ถึงได้มีพฤติกรรมวอนโดนกระทืบแบบตอนนี้

“นี่...” เมื่อมองซ้ายแลขวาไปมาแล้วเห็นทุกคนไม่พูดจาเลย เคออี้เฉี่ยวก็ได้แต่กอดกระเป๋าผ้าในมือ จากนั้นก็กลับไปนั่งข้างกองไฟ

“คือว่า...ทุกท่านรบกวนฟังผมหน่อยนะครับ”

อยู่ดีๆ ในถ้ำก็มีเสียงผู้ชายเปี่ยมพลังดังขึ้น ทำเอาเหล่าคนที่ยังตื่นตระหนกกับอุบัติเหตุได้สติกลับมา ไม่ว่าจะร้องไห้หรือเหม่อลอยอยู่ ต่างก็ถูกดึงดูดความสนใจไปไว้ที่เขากันทั้งสิ้น

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal