(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน เกาะสัตว์ประหลาด เล่ม 1

Saturday

บทที่ 1 อุบัติเหตุเครื่องบิน

“แม่! แม่! แม่ดูเมฆข้างนอกสิ! ใหญ่มาก สวยจัง! เหมือนสายไหมสุดๆ!”

เสียงเด็กผู้ชายร้องเรียกอย่างตื่นเต้นและดังจนน่าทึ่งนั้นทำเอาจางเย่าที่ตอนแรกหลับอยู่ข้างๆ ถึงกับตกใจสะดุ้งตื่น ขอบอกตามตรงว่าในหัวขณะนี้จินตนาการบานเบิกไม่หยุดยั้ง อยากจับหัวเด็กที่โวยวายนี่ยัดคอห่านในห้องส้วมให้รู้แล้วรู้รอด ถึงเขาจะเคยเจอเด็กทำตัวเสียงดังน่าหนวกหู แต่ไม่เคยพบเคยเห็นประเภทร้องโหวกเหวกถึงขั้นนี้

นับแต่เสี้ยววินาทีแรกเมื่อนั่งลงบนเครื่องบิน เด็กชายที่ยืนกรานจะนั่งกับติดหน้าต่างให้ได้คนนี้ยังไม่หยุดพลิกตัวกลับไปกลับมาเลย อีกทั้งยังทำตัวงอแงไปทั่ว พูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเสียงดังกับครอบครัวที่นั่งอยู่ด้านหลังตลอดเวลา เดี๋ยวก็ออกไปเข้าห้องน้ำ ผ่านไปพักหนึ่งก็อยากดื่มเครื่องดื่มอีก มิหนำซ้ำพอเจอเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะแค่นิดเดียวก็ตื่นตูมไม่จบไม่สิ้น รวมเวลาผ่านไปหกชั่วโมงเต็มยังไม่เห็นเขาหยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว

เรื่องนี้ทำเอาจางเย่าที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ความอดทนไม่นับว่าสูงนักยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ไม่ง่ายเลยกว่าจะฝืนทนเสียงรบกวนจนงีบได้สักพัก กลับกลายเป็นว่าเด็กผู้ชายคนนี้ดันร้องแว้ดเสียงบาดหูกว่าเดิม ทำเอาเขาตกใจสะดุ้งตื่น เมื่อตัดสินใจว่าจะไม่ทนเก็บเงียบอีกต่อไป จึงหันหน้าไปเอ่ยเตือนเจ้าตัวที่กำลังร้องอุทานกับอากาศนอกหน้าต่างอยู่ว่า “นี่! ไอ้หนูน้อย นายช่วยหุบปากตัวเองหน่อยได้ไหม ขอความสงบสักนิดเหอะ”

เดิมทีเด็กชายแนบทั้งพวงแก้มติดหน้าต่างส่งเสียงดังอยู่ เลยหันหน้ามาเห็นจางเย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเอ่ยเตือน ท่าทางดุโหดไร้ความเมตตาขนาดนั้น ก็ทำเอาเด็กชายตัวน้อยหวาดกลัวจนมุมปากสั่นพั่บ เริ่มเบะปากแล้วปล่อยโฮ ร้องไห้พร้อมกับตะโกนลั่น “แม่จ๋า! แม่!”

“เฮ้ยๆๆ! นายร้องอะไรเนี่ย?” เห็นเด็กน้อยแค่นิดเดียวก็กลัวเขาจนน้ำตาร่วง จางเย่าพานหมดคำพูด จะดีชั่วยังไงเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นหนุ่มหล่อ คงไม่ได้หน้าตาน่าขนพองสยองเกล้าจนทำเด็กๆ ตกใจร้องไห้จ้าได้หรอกมั้ง?

ในตอนนี้จางเย่ากลับไม่ได้คิดให้ละเอียดเลยว่า เวลาตนแสดงสีหน้าเข้มงวดจริงจัง เหลี่ยมมุมของเครื่องหน้านั้นเห็นชัดเลยว่าติดจะเหี้ยมเกรียมเย็นชา ผมดำตัดสั้นกุดดูทะมัดทะแมง ประกอบกับท่าเลิกคิ้วแบบหมดความอดทนและถลึงตาจ้องคนนี้ ก็ยิ่งทำเอาดูโหดดุน่ากลัวจัด เด็กน้อยไม่ปล่อยโฮสิแปลก

“เวรละ! ก็บอกว่าให้นายหยุดร้องไห้ไง!” จางเย่าพยายามกล่อมสุดแรงไปหลายประโยค เส้นเลือดผุดนูนเด่นชัดขึ้นมาบนหน้าผาก เด็กชายก็ยังแหกปากร้องไห้ไม่จบไม่สิ้นอยู่ดี แถมท่ามกลางเสียงซักถามของคนเป็นแม่จากเบาะที่นั่งข้างหลัง เสียงร้องจ้าก็ยิ่งแผดกล้าขึ้นไปอีก จางเย่าโดนกรี๊ดใส่จนปวดหัวหนึบเลยปลดเข็มขัดนิรภัยบนตัวออก ลุกขึ้นหมายจะไปล้างหน้าในห้องน้ำ ผ่อนคลายหูกับเส้นประสาทที่ถูกเสียงร้องไห้นี่ทารุณเสียหน่อย

หลังจากผลักตัวชายอ้วนทางขวามือซึ่งกำลังหลับสนิทและกรนครอกฟี้มาตลอดทาง จางเย่าก็ส่งซิกบอกว่าตนจะไปห้องน้ำ ชายอ้วนโดนเขาสะกิดจนตื่น นวดคลึงดวงตาก่อนจะหดร่างและพุงมหึมาของเขาเข้าไปในเบาะที่นั่งอย่างสะลึมสะลือ จนพอจะมีช่องว่างให้จางเย่าออกไปได้ในที่สุด

ทำไมถึงได้ที่นั่งพรรค์นี้กันนะ จางเย่าเบียดตัวออกมาจากระหว่างกองไขมันกับพนักพิงด้านหน้าอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกเซ็งสุดขีด เพราะทางหนึ่งเป็นเด็กกำลังโหวกเหวกหนวกหูไม่หยุดหย่อน ส่วนอีกทางเป็นชายอ้วนที่ต่อให้แสบแก้วหูแค่ไหนก็นอนหลับน้ำลายไหลย้อยได้ แถมยังมีเสียงกัดฟันกวนประสาทดังคลอเป็นระยะ เขานี่มันซวยของแท้ถึงซื้อได้ที่นั่งนี้

จางเย่าเดินไปตามทางจนมาถึงห้องน้ำโดยสวัสดิภาพ เปิดน้ำล้างหน้าตัวเองเรียบร้อยก็สะบัดมือไล่หยดน้ำจนหมด พอเงยหน้าขึ้นจึงเห็นไฟสีแดงดวงเล็กข้างอ่างล้างมือกำลังกะพริบถี่รัวอย่างต่อเนื่อง ในใจพลันรู้สึกว่าแปลกทันที จึงรีบหันตัวไปเปิดประตูห้องน้ำ ตอนกลับมายังทางเดินในห้องโดยสาร สายตาเหลือบไปเห็นว่าบนหน้าจอของทุกที่นั่งในแต่ละแถวกำลังฉายภาพอยู่ แต่แค่พริบตาเดียวก็พลันเปลี่ยนเป็นกะพริบซ่าทั้งหมด เกิดจุดสัญญาณรบกวนสีขาวดำบิดเบี้ยวแทรกเข้ามา ยิ่งทำเอาเขาไม่สบายใจหนักกว่าเดิม

ขณะนั้นเอง เครื่องบินก็สั่นสะเทือนโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้จางเย่าที่ยังยืนอยู่ตรงทางเดินตัวเซ โชคดีที่เขาตอบสนองไว คว้าเบาะที่นั่งข้างตัวไว้ทันจึงไม่เสียการทรงตัวจนล้มไปกองกับพื้น เมื่อพนักงานต้อนรับเห็นเหตุการณ์ก็เลยรีบก้าวเข้ามาเร่งให้เขากลับไปประจำที่นั่งให้ดี

“ฟู่ว!” เมื่อผ่านร่างชายอ้วนมาแล้วจางเย่าก็กลับเข้าที่นั่งอีกครั้งได้เรียบร้อย ส่วนเด็กชายคนข้างๆ เหมือนว่าร้องไห้จนเหนื่อยไปแล้ว ในที่สุดเลยยอมเงียบไม่พูดจาได้สักพัก เพียงแต่ยังหันออกไปมองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างห้องโดยสารอยู่ ท่าทางดูโศกเศร้าร้าวรานใจเหลือเกิน

จางเย่ารู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้างเลยสุ่มหยิบนิตยสารจากตรงหน้าเบาะที่นั่งมาเล่มหนึ่ง ตอนดึงออกมาก็มีแผ่นกระดาษปลิวตกจากในเล่ม ซึ่งจริงๆ เป็นหน้าที่มีแผ่นพับโฆษณาแทรกอยู่ เมื่อเก็บขึ้นมาก็พบว่าตรงหน้ากระดาษถูกพับไว้มุมหนึ่งพอดี และมีตัวเลข 4* (4 : ในภาษาจีนอ่านว่า ‘ซื่อ’ ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า ‘ตาย’) อารบิกดูแยงตาเป็นพิเศษโผล่มา คือว่า...ความรู้สึกว่ายิ่งอยู่ยิ่งสัมผัสได้ถึงความอัปมงคลนี่มันอะไรกันเนี่ย...จางเย่ายัดแผ่นพับกลับเข้าไปในนิตยสารเสร็จก็ไม่มีแก่ใจจะอ่านแล้ว

“คุณก็ไปประเทศ L เหรอ?” ชายอ้วนข้างๆ เหมือนจะนอนพอแล้ว เลยเกิดสนใจจะชวนจางเย่าที่นั่งติดกันคุยด้วยขึ้นมา

ตอนนี้จางเย่ากลุ้มใจอย่างหนักหน่วงเพราะเกิดลางไม่ดีขึ้นไม่หยุด เลยพยักหน้าให้อีกฝ่ายแบบขอไปทีพลางตอบ “ครับ เพื่อนผมชวนไปเที่ยวเล่นที่นั่นน่ะ”

“อ๋อ งั้นก็ดีเลย ผมไปทำงานนอกสถานที่ที่นั่น คนอื่นอิจฉากันหมดว่าการได้ไปต่างประเทศทำให้ดูมีหน้ามีตา แต่ไม่ได้คิดเลยว่าบริษัทขี้งกขนาดนี้ ทุกครั้งจองแต่โรงแรมสุดห่วยให้ผม...” เหมือนว่าในที่สุดก็หาคนมาให้ร้องทุกข์ด้วยได้สักที ชายอ้วนข้างๆ เลยขยับริมฝีปากอวบอูมบนล่างพูดเสียจนน้ำไหลไฟดับ บ่นให้จางเย่าฟังว่าสวัสดิการบริษัทไม่ดียังไง หรือเพื่อนร่วมงานอิจฉาเขาเลยไม่สุงสิงด้วย เล่าอย่างออกรสออกชาติโดยไม่มีทีท่าจะหยุด

แต่ขอโทษด้วย ตอนนี้จางเย่าไม่มีแก่ใจอยากฟังเรื่องบันเทิงเลยแม้แต่นิด เมื่อครู่เพิ่งรอดพ้นจากเสียงโหวกเหวกของเด็กชายคนข้างๆ ก็กลายเป็นมาเจอกับทางนี้อีกหนึ่ง เมื่อคืนเขาเล่นคอมโต้รุ่งยันเช้าจนไม่ได้หลับได้นอน และตรงมาขึ้นเครื่องบินแต่ไก่โห่ เลยยิ่งทำเอาเขารู้สึกขมขื่นหนักขึ้นไปอีก

“อ้อ นั่นสิ พวกบนมือคุณนั่นอะไรบ้างเหรอ?” จู่ๆ ชายอ้วนก็ชี้ตราสัญลักษณ์สีดำบนข้อมือจางเย่า ซึ่งอยู่ใต้แขนเสื้อยาวของเขา เพราะเมื่อครู่ม้วนขึ้นตอนล้างหน้าแล้วลืมปลดลง จึงเผยเนื้อผิวให้เห็นส่วนหนึ่ง

“หืม?” ไม่รู้ว่าหัวข้อสนทนากระโดดมายังเรื่องตนเองตั้งแต่เมื่อไร จางเย่าที่เดิมทีอยากปล่อยใจลอยๆ พลันได้สติทันที จดคำถามของอีกฝ่ายไว้ก่อนขบคิดโดยไว ผุดยิ้มร้ายมีเลศนัย ม้วนแขนเสื้อสองฝั่งของตนขึ้นมาหมด เผยให้เห็นลำแขนแข็งแรง รอยสักสีดำดูหยิ่งผยองเกี่ยวรัดจากข้อมือไปทั่วทั้งแขน เมื่อรวมเข้ากับท่าทางที่จงใจแสดงออกให้เหี้ยมเกรียมเย็นชาในตอนนี้ ทำเอาคนได้เห็นก็จินตนาการลักษณะอาชีพของจางเย่าในหัวได้ทันที

“คุณก็รู้ ชีวิตในวงการนี้ถ้าไม่สักเจ้านี่ก็ข่มใครไม่อยู่ทั้งนั้นแหละ ผมว่าคุณดูไม่เลวเลยนะ ถ้าอีกหน่อยมีโอกาส ผม ‘ดูแล’ คุณได้นะ คุณก็เล่าเรื่องบ้านตัวเองเยอะๆ หน่อยไหม? ผมสนใจมากนะ” หลังจากวางมาดนิ่งขรึมอย่างพวกแก๊งมาเฟียแล้วจางเย่าก็ยักคิ้วตอบชายอ้วนด้วยท่าทาง ‘สนิทสนม’

“เอ่อ...คือว่า ผะ...ผมก็ไม่มีอะไรจะเล่าหรอก เหมือนผมจะง่วงหน่อยๆ อยากนอนแล้วละ งั้นไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่า” เจ้าตัวดึงผ้าปิดตาลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเริ่มมีเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากสนทนาเชิงลึกกับจางเย่าต่ออีก

ถ้ารู้แต่เนิ่นๆ ว่ารอยสักมีเสน่ห์ขนาดนี้ เขาคงใช้มันขู่ชายอ้วนใจเสาะนี่แต่แรก จางเย่าเหยียดปากอย่างเซ็งๆ คิดว่าในที่สุดตัวเองก็สลัดเสียงรบกวนทั้งหมดพ้นตัวสักที แต่ตอนกำลังคิดจะผ่อนลมหายใจยาวสักเฮือกนั้นเอง เครื่องบินกลับสะบัดโยกโยนขึ้นลงเฉียบพลัน

เขาคงไม่ซวยขนาดนั้นมั้ง ยากมากกว่าจะได้นั่งเครื่องบินออกนอกประเทศสักครั้ง ทำไมสภาวะอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงถึงได้แห่มาต้อนรับเหลือหลายขนาดนี้? จางเย่าเอามือดันเบาะด้านหน้าไว้ พอนั่งมั่นคงดีแล้วก็ขมวดคิ้ว ความรู้สึกไม่สบายใจยิ่งจู่โจมหนักขึ้นกว่าเดิม ช่วงเวลาหลังจากนั้นเครื่องบินก็ตกหลุมอากาศค่อนข้างรุนแรงอีกหลายระลอก ทำเอาบรรดาผู้โดยสารบนเครื่องต่างเริ่มหวาดวิตกโดยไม่รู้จะรับมืออย่างไร แม้จะมีการประกาศอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นผลกระทบจากสภาวะอากาศและไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็ยังทำเอาผู้คนรู้สึกหวั่นใจมากอยู่ดี

“แม่จ๋า!! ดูนั่น สีท้องฟ้าข้างนอกเปลี่ยน!” เด็กชายทางซ้ายมือสะกดกลั้นไม่ไหวแล้วจึงตะโกนเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ชี้ทิวทัศน์ด้านนอกอย่างตื่นเต้นพร้อมกับร้องแหกปากใส่แม่ที่นั่งอยู่เบาะหลัง ส่วนจางเย่านั้นสัมผัสได้ว่าตัวเครื่องบินสั่นไหวผิดปกติเกินไปจริงๆ จึงเลื่อนสายตามองออกไปทางนอกหน้าต่างด้วยเช่นกัน ทำให้ได้เห็นว่าผืนฟ้าครามและกลุ่มเมฆขาวแจ่มใสก่อนหน้า ตอนนี้กลับกลายเป็นหมองหม่นเล็กน้อย โดยเฉพาะเมฆสีรุ้งซึ่งประชิดอยู่กับหน้าต่างได้สะสมเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้นทุกขณะและมืดทึมลงเรื่อยๆ พอมองออกไปไกลก็เหมือนว่าเบื้องหน้ามีหลุมดำกำลังรอคอยพวกเขาอยู่

สีท้องฟ้าแบบนี้...ประหลาดเกินไป...

ฉับพลันนั้นเอง ไฟทุกดวงในห้องโดยสารก็พลันส่องสว่างขึ้น เนื่องจากท้องฟ้าด้านนอกแปรเปลี่ยนเป็นดำมืดสุดขีด จางเย่านั่งอยู่ในห้องโดยสารที่สั่นสะเทือนไม่หยุด พานให้รู้สึกเหมือนได้ทะลุมิติเข้าไปอยู่ในหนังและมัจจุราชมาเยือน แม้ว่าขณะนี้คล้ายจะยังไม่สาหัสถึงขั้นนั้นก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าผู้คนเริ่มหวาดกลัวลนลานและล้วนไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้ด้วยการฟังเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่อีกต่อไปแล้ว

หลังการสั่นสะเทือนรุนแรงเกิดขึ้นอีกระลอก คนตกใจง่ายบางส่วนเริ่มร้องไห้จ้าละหวั่น ชายอ้วนข้างตัวจางเย่าก็กลัวจนตัวสั่นเทา สองมือกำที่พักแขนซ้ายขวาแน่น เหงื่อไหลชุ่มคอเสื้อเชิ้ตทั้งหน้าและหลัง

“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?”

“คือว่า...คุณแอร์โฮสเตส ด้านนอกมันยังไงเหรอ? เครื่องบินคงไม่เกิดปัญหาอะไรใช่ไหม?”

“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง อย่าเพิ่งตกใจไปเลยค่ะ เครื่องบินแค่เจอกับกระแสอากาศค่อนข้างรุนแรงเลยกระเทือนหนักหน่อย อีกเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว คุณผู้หญิงไม่ต้องกังวลใจนะคะ”

“ไม่กังวลใจได้ไงละ! นี่ถ้าตกลงไปต้องตายแน่!”

“กรี๊ดดดด”

“ฉันไม่อยากตายนะ!”

บรรดาเด็กเล็กทั้งลำต่างแผดเสียงร้องไห้ เสียงโวยวายของผู้โดยสารดังระงมทั่วห้องโดยสาร

“พะ...พวกเราคงไม่ตายที่นี่กันหรอกมั้ง?” ชายอ้วนถูกบรรยากาศตื่นตระหนกของทุกคนแพร่เชื้อใส่ จนแทบลืม ‘คำเตือน’ ที่จางเย่าได้ให้ไว้เมื่อครู่ สะกดกลั้นความหวาดกลัวในใจตัวเองไม่อยู่ด้วยการหันไปถามอีกหน

“ถ้าเครื่องบินไม่ไหวจริงๆ เดาว่าก็ต้องลงจอดฉุกเฉินแหละ” เมื่อสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง จางเย่าก็ครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองจะอัดคำพูดสั่งเสียเก็บไว้ตอนนี้จะเป็นการสายเกินไปหรือเปล่านะ...

พอเงยหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง ก็พบว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มจนดำผิดปกติ แถมยังมีชั้นบรรยากาศแปลกๆ สีฟ้าอีกมากมายโคจรต่อเนื่องอยู่เบื้องหน้า ซึ่งเครื่องบินที่พวกเขาโดยสารอยู่นี้กำลังบินตรงไปยังทิศทางนั้น

“นั่น...ด้านหน้านั่นอะไร?” ท้องฟ้าสีประหลาดทำเอาชายอ้วนที่มองออกไปนอกหน้าต่างกับจางเย่าพลอยตกตะลึงตาค้างไปด้วย

“ไม่แน่ใจ...” จางเย่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วสิ่งนั้นคืออะไร เพียงแต่เอ่ยกับตัวเองเสียงเบาว่า “รู้งี้ฉันควรเปิดปฏิทินดูว่าวันนี้เหมาะจะเดินทางหรือเปล่าถึงค่อยออกจากบ้านแฮะ...”

กระแสอากาศทรงกลมแปลกประหลาดเหมือนกำลังออกแรงกระชากเครื่องบินให้หลุดจากเส้นทางการบินเดิม มันโหมซัดเข้าใส่เครื่องบินไม่ขาดสายแล้วลากไปวางตรงข้างหน้า ซึ่งก็คือกึ่งกลางหลุมดำสีม่วงอันลึกลับที่พร่าเลือนไปทั้งผืนจนคล้ายมองไม่เห็นปลายทาง

ในห้องโดยสาร ไฟส่องสว่างกะพริบวับแวม ก่อนจะแผดแสงจ้าวูบหนึ่งแล้วดับสนิทหมดทุกดวง เครื่องบินจมดิ่งอยู่สู่ห้วงอนธการ เสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกของเหล่าผู้โดยสารแผดลั่นทั่วทั้งลำ เวลานี้จางเย่าไม่ว่างไปสนใจเรื่องอื่น ได้แต่เกาะเก้าอี้เบาะหน้าแน่นให้ร่างกายตัวเองนั่งนิ่งสนิท ไม่เสียการทรงตัวไปตามแรงสั่นสะเทือนรุนแรง พร้อมกับเอาหน้ากากออกซิเจนที่ถูกปล่อยลงมาครอบทับปากกับจมูกให้หายใจได้สะดวก ท่ามกลางความมืดมิดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างได้แต่ฟังบัญชาของสวรรค์...

ครืนนน! ตึ้ง! ซ่า! แคร่ก!!

เสียงแปลกประหลาดสารพัดรูปแบบดังขึ้นข้างหู การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของตัวเครื่องกับความกดอากาศอันทรมานบีบคั้นแก้วหูของคนให้รู้สึกเหมือนแว่วเสียงความว่างเปล่ากรีดร้องจนหูดับ หลังจากผ่านอนธการที่ราวกับฟ้าดินพลิกคว่ำหงายไปได้สองสามนาที ทันใดนั้นก็เหมือนเครื่องบินได้ทะลุผ่านความดำทะมึนออกไป นอกหน้าต่างปรากฏแสงสว่างเล็กน้อยอีกครั้ง ประกายหม่นของสีน้ำเงินเข้มส่องสว่างรางๆ ในห้องโดยสารอันโกลาหลวุ่นวาย บรรดาผู้โดยสารที่ร้องไห้ก็ร้องไป ที่ตะโกนก็แหกปากไป ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดคล้ายสนิมลอยตลบอบอวลอยู่ทั่ว ดูท่าว่าขณะที่โดนเหวี่ยงอยู่ในกระแสอากาศนี่จะมีคนถูกกระแทกจนได้รับบาดเจ็บเข้าแล้ว

ขณะพนักงานต้อนรับกับพนักงานบนเครื่องคนอื่นๆ กำลังเร่งปลอบโยนผู้โดยสารที่กำลังหวาดกลัวลนลาน เสียงประกาศดังขึ้น กัปตันแจ้งผ่านไมค์มาว่าระบบรีโมตคอนโทรลบางส่วนที่สำคัญของเครื่องบินใช้การไม่ได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะนี้จำเป็นต้องลงจอดฉุกเฉิน และเน้นย้ำกับพนักงานบนเครื่องซ้ำว่าให้ดูแลผู้โดยสารเพื่อเตรียมการเอาตัวรอดจากเหตุวิกฤต พอได้ยินคำประกาศนี้ ทุกคนก็ยิ่งอลหม่าน มีคนไม่สนใจคำห้ามปราม ปลดเข็มขัดนิรภัยหมายพุ่งเข้าหาประตูฉุกเฉินบนเครื่องก่อน แต่วิ่งกรีดร้องบนทางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เพราะครู่ต่อมาเครื่องบินก็หมุนคว้างเป็นวงกว้าง ร่างเลยพุ่งพรวดไปกระแทกชนเพดานด้านหน้าสุดจนคอหัก อยู่ในสภาพบิดร้อยแปดสิบองศาตายคาที่ ทำให้คนอื่นที่เตรียมจะปลดเข็มขัดนิรภัยล้วนถูกภาพฉากนี้ขู่จนนิ่งงัน

เครื่องบินยังคงถูกกระแทกและสั่นสะเทือนต่อไป จางเย่าจับเก้าอี้แน่น เอียงหน้าไปมองข้างนอกปราดหนึ่ง สภาพอากาศนอกห้องโดยสารเหมือนกำลังมีฝนตกหนัก ฟ้าคะนองเปรี้ยงปร้าง ตกลงว่าตอนนี้พวกเขาบินมาถึงไหนกันแน่? เดิมทีเป็นวันที่อากาศแจ่มใส จากนั้นกลับเจอหลุมท้องฟ้าประหลาดสีม่วงดำ และกำลังมาถึงจุดที่มีฝนตกหนักอีก พิลึกพิลั่นชะมัด ขณะนี้เองเครื่องบินก็ราวกับสูญเสียการควบคุม พุ่งดิ่งลงด้วยความเร็วสูงสุด หลังจากเสียงเกิดก้องกัมปนาทและการสั่นสะเทือนรุนแรง ก็เหมือนว่าจะปะทะกับผิวทะเลแล้ว ในห้องโดยสารกลายเป็นดำมืดอีกครั้ง

กระเป๋าเดินทางมากมายกับสิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อย รวมทั้งชิ้นส่วนแตกหักของตัวเครื่องถูกกระแทกหลุดร่วง ทั้งหมดชนกันจนพังยับ แม้แต่ส่วนปีกก็เกิดไฟลุกท่วม จางเย่าโชคดีที่หลังจากเครื่องลงจอดแล้วตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แต่ชายอ้วนด้านซ้ายมือไม่ได้โชคดีอย่างเขา เพราะไม่รู้ว่าชิ้นส่วนเครื่องบินตกลงมาจากไหน เหลี่ยมมุมยาวเรียวคมกริบแทงทะลุหัวปักตัวคนติดแนบพนักพิงที่นั่ง มันสมองสีขาวแดงกับเลือดสดไหลนองเต็มเก้าอี้ โชคดีที่ขณะนี้ในห้องโดยสารมืด จึงไม่ต้องเห็นบรรดาภาพฉากเลือดสาดสยดสยองชัดเจนไปกว่านี้ จางเย่าเร่งทำเวลา ก้มหน้าดึงเข็มขัดนิรภัยบนตัวออก ควานหาเสื้อชูชีพใต้ที่นั่งมาสวม แล้วปีนขึ้นด้านบนไปตามเบาะด้านหลังของตัวเครื่องที่ตั้งขึ้นด้วยความว่องไว มุ่งสู่ประตูทางออกฉุกเฉินเท่าที่จำได้

รอบทิศคือความมืดมิด เขาก็ได้แต่อาศัยความทรงจำของตัวเองคลำทาง ท่ามกลางผู้คนเบียดเสียดเป็นกลุ่มก้อนกำลังตกสู่ความสับสนวุ่นวายและหวาดหวั่นสุดขีด การสงบสติอารมณ์แล้วหนีออกจากเครื่องบินให้เร็วที่สุดจึงจะมีชีวิตรอด จางเย่าเห็นว่าตอนนี้ยังไม่มีใครนำทางให้พวกเขาหนี จึงเดาว่าการกระแทกชนครั้งนี้เหล่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอาจจะไม่ได้โชคดีไปด้วย เวลานี้จึงไร้คนสั่งการ แต่ละคนต่างไม่ว่างไปใส่ใจคนอื่น ท่ามกลางเปลวเพลิงควันหนาทึบกับน้ำทะเลที่ไหลทะลักเจียนมิดตัวเครื่อง ทุกคนต่างยื้อแย่งกันเพื่อเอาตัวรอดออกจากเครื่องบินที่กำลังจมลึกลง

จางเย่าอาศัยความทรงจำคลำทาง ในที่สุดก็หาตำแหน่งของประตูฉุกเฉินเจอ เขาหมายจะทุ่มแรงเปิดมัน แต่กลับพบว่าประตูค้าง เหมือนจะติดอะไรบางอย่าง ไม่ว่าเขาจะออกแรงยังไงก็ไม่อาจเปิดได้อย่างราบรื่นเลย ด้านหลังมีเสียงกรีดร้องโหยหวนและขอความช่วยเหลือของคนอื่นดังมาไม่ขาดสาย จางเย่ายกแขนเอียงหน้าเช็ดเหงื่อที่ไหลอยู่ข้างขมับ เขาไม่อยากถูกขังตายอยู่ในนี้ทั้งอย่างนี้

จางเย่าสูดลมหายใจลึกๆ หลายเฮือก ประคองสติอันว้าวุ่นของตนให้สงบลง คลำทั่วประตูกลางความมืดหนึ่งรอบแล้วก็เหมือนจะเจอต้นเหตุของการติดขัดนั้น หลังจากย้ายสิ่งของที่ขวางอยู่ออกไปพ้นทาง เขาก็ลองออกแรงเปิดประตูฉุกเฉินอีกครั้ง ครั้งนี้ประตูก็ยอมเชื่อฟังกันสักทีและเปิดออกในที่สุด เมื่อเบาะสไลด์ฉุกเฉินพองลมเต็มที่ก็ทอดตัวลงสู่เบื้องล่าง จางเย่าตอบสนองอย่างรวดเร็ว กระโดดลงตามไป พอไถลลื่นตกสู่ในทะเลแล้วก็รีบว่ายหลบออกไปด้านข้างทันที ไม่บังคนอื่นที่กำลังเลื่อนตัวลงมากันอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็พาตัวเองออกห่างจากเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้ไปด้วย ใครจะรู้ล่ะว่าจะระเบิดต่อหรือเปล่า นั่นยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่

ด้านหลังยังได้ยินเสียงคนโดดลงมาจากเครื่องบินอยู่เรื่อยๆ กระทั่งแว่วเสียงหวีดร้องบาดหู ถึงค่อยทำให้จางเย่าที่กำลังว่ายน้ำไปข้างหน้าหันกลับไปดู เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งลนลานจนลืมถอดรองเท้า ทำให้พอเธอเหยียบลงบนเบาะสไลด์ ส้นรองเท้าที่ทั้งสูงและแหลมปรี๊ดจึงเจาะเข้ากับผิวเบาะจนเกิดรูโหว่ ลมด้านในพลันถูกปล่อยออกจนหมด เบาะสไลด์นิรภัยหดฟีบจึงหมดสภาพการเป็นอุปกรณ์กู้ชีพโดยสิ้นเชิง กลายเป็นว่าผู้โดยสารคนอื่นที่ถูกกันอยู่บนเครื่องและยังไม่ทันได้ลงมา จึงถูกกักอยู่บนนั้น จะโดดก็ไม่ได้ จะไม่โดดก็ไม่รอดเหมือนกัน

คนสองสามคนร้อนใจจะหนีเอาชีวิตรอดเลยทำใจกล้า กระโจนลงไปจากเครื่องบินในสภาพตั้งลำเชิดขึ้นสูงลิบอยู่เหนือผิวน้ำ แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อพวกเขาชนเข้ากับปีกโลหะของเครื่องบินที่หักลอยอยู่กลางทะเล ทำให้เลือดเนื้อสดๆ กระจายไปทั่ว คนอื่นที่ยืนออกันอยู่บนเครื่องเห็นฉากสยดสยองตอนคนก่อนหน้านี้โดดลงไปทื่อๆ ต่างก็ไม่กล้าประมาทลองอีก ระหว่างละล้าละลังนี้เอง เปลวเพลิงบนเครื่องบินก็แผ่ลามมาถึงส่วนหัวแล้ว

“ครืน!” เสียงกัมปนาทดังสะเทือนลั่นจนหูดับ จากนั้นไฟก็โหมลุกส่วนที่เหลือทั้งหมดของเครื่องบินก่อนจะระเบิดตูม ส่วนจางเย่าซึ่งว่ายน้ำออกห่างมาได้แล้วระยะหนึ่งก็ถูกคลื่นลมมหาศาลนี้ปะทะผืนทะเลซัดลอยออกไปไกลกว่าเดิมอีกหน่อย โชคดีที่เสี้ยววินาทีขณะระเบิด เขาจำได้ว่าต้องมุดร่างลงใต้น้ำทันที จึงเลี่ยงไอร้อนลวกที่ซัดโครมมาตามกระแสลม กับเศษซากเครื่องบินที่อาจปลิวมากระแทกใส่แล้วเป็นอันตรายถึงชีวิตได้พ้น

ซากตัวเครื่องบินและส่วนปีกที่ติดไฟร่วงหล่นลอยเกลื่อนทั่วมหาสมุทรกว้างท่ามกลางพายุคลื่นโหมซัดอย่างรุนแรง ร่างของผู้โดยสารที่ถูกบีบอัดและไฟคลอกตายก็เริ่มลอยขึ้นมา บรรดาผู้หนีเอาชีวิตรอดสำเร็จต่างแตกฉานซ่านเซ็นแหวกว่ายอยู่เหนือผิวน้ำ สีหน้ายังอยู่ในความตระหนกตกใจและหวาดกลัว ไม่มีใครคลายความกังวลใจจากเหตุภัยพิบัติใหญ่หลวงนี้ได้สักคน

จางเย่าอาศัยเสื้อชูชีพพองลมบนตัว นับว่าช่วยออมแรงให้ลอยในมหาสมุทรได้พอสมควร น้ำเย็นจัดและรสเค็มปร่าซัดปะทะร่างเขาไม่หยุด ประกอบกับพายุฝนห่าใหญ่ที่เทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าต่อเนื่อง ยิ่งประสานกันสร้างความโกลาหล ทำเอาเขาเปียกชุ่มไปทุกอณู ถึงช่วงนี้จะเป็นฤดูร้อน แต่ตอนนี้รู้สึกหนาวจนเกินทานทน ครั้นเห็นเปลวเพลิงตรงซากเครื่องบินตรงไกลๆ นั่นเริ่มอ่อนกำลัง จางเย่าก็ขบคิดก้าวต่อไปของตนว่าจะอย่างไร ถ้าแช่น้ำต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ อุณหภูมิร่างกายคงลดต่ำเกินจนทำให้ช็อกแน่ ไหนๆ ก็อุตส่าห์รอดชีวิตจากเครื่องบินตก อย่าได้มาตายเพราะอุณหภูมิร่างกายลดต่ำจนหมดสติเชียว...

“ปึก!” วัตถุชิ้นหนึ่งปะทะเข้ากับแผ่นหลังจางเย่า เขารีบลอยตัวหันมอง พอก้มหน้าก็พบว่าที่แท้เป็นศพไหม้เกรียมครึ่งท่อนลอยอยู่ แขนดำเป็นตอตะโกโดนเผาจนหดลีบกับส่วนหัวไหม้ดำจนเครื่องหน้าบิดเบี้ยวทุกข์ทรมานมองแล้วชวนให้รู้สึกสยดสยอง น่าอนาถและหวาดกลัวเกินไปจริงๆ จางเย่าถึงกับต้องว่ายถอยหลังออกห่างเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะจากซากศพนี้

อีกฟากหนึ่ง เหมือนว่าจางเย่าจะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมา พอมองไปยังทิศทางนั้นเขาก็เห็นคนสองคนกำลังตะเกียกตะกายกันอยู่กลางทะเล

“ช่วยฉันด้วย!” เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นเด็กสาวที่ว่ายน้ำไม่เป็นคนหนึ่ง ต่อให้ผมยุ่งเหยิงและเครื่องสำอางบนหน้าละลายจนจับกันเป็นก้อนแล้วแต่ก็ยังสวยสะกดตา ขณะนี้เธอกำลังหวาดกลัวลนลานพร้อมกับฉุดกระชากชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่พยายามสลัดเธอให้หลุดอยู่

“นังนี่ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ! จะลากกูไปตายด้วยหรือไงวะ!” ชายวัยกลางคนโดนหญิงสาวฉุดรั้ง พันแข้งขาจนขยับว่ายไม่ได้คนนี้รูปร่างสง่าดูมีราศีไม่น้อยและยังมีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น เขากำลังออกแรงหมายจะดึงแขนผู้หญิงที่เกาะหนึบบนตัวออก เพราะตอนนี้อยากเอาตัวเองให้รอดคนเดียวเท่านั้น ไม่อยากช่วยดาราปลายแถวโนเนมซึ่งเพิ่งเล่นสนุกกันได้สองสามเดือนนี่ จะดีชั่วเขาก็เป็นถึงผู้อำนวยการใหญ่ จะให้ผู้หญิงพรรค์นี้ลากไปตายด้วยได้ยังไง

“ไม่เอา! อย่านะ! ฉันว่ายน้ำไม่เป็น! ช่วยฉันด้วย! ช่วยฉันนะ! อย่าปล่อยมือ!” ทันทีที่มือข้างหนึ่งถูกแกะออก หญิงสาวก็รีบเอามืออีกข้างคล้องคออีกฝ่ายไว้ ลำคอล่ำสันของเขาถูกเธอเกี่ยวแน่นจนเป็นจ้ำแดง

เมื่อเห็นหญิงสาวพยายามเอาตัวรอดสุดชีวิตพร้อมกับแสดงสีหน้าน่าสงสารจนแทบใจสลาย จางเย่าก็คิดว่าตัวเองอยู่ในระยะไม่ไกลจากเธอมากนัก ถ้าจะว่ายเข้าไปหาแล้วเอาเสื้อชูชีพให้เธอใส่ก็ย่อมได้ เพราะยังไงเขาก็ว่ายน้ำเป็น ขณะกำลังคิดจะว่ายเข้าไป คลื่นยักษ์ระลอกหนึ่งก็พลันซัดโครม พัดเอาตัวจางเย่าออกห่างไปไกล กระทั่งตั้งสติได้และเตรียมจะเข้าไปหาคนคู่นั้นอีกครั้ง กลับพบว่าบนผิวมหาสมุทรกลับไร้ซึ่งเงาร่างใดโดยสิ้นเชิง

ส่วนชายหญิงคู่ที่จางเย่าหาไม่เจอ ขณะนี้ยังเกี่ยวรัดกันอยู่กลางทะเลนั่นเอง ชายวัยกลางคนเห็นหญิงสาวน่ารำคาญคนนี้เหมือนปลาหมึกแปดหนวดพัวพันตัวเองไม่ยอมปล่อย ในดวงตาก็พลันเกิดประกายเย็นเยือกวาบขึ้นมา คว้าเอาซากชิ้นส่วนเครื่องบินที่ลอยอยู่เหนือน้ำส่งๆ แล้วหันร่างมาทุบลงบนหน้าผากสาวสวยผู้นี้เต็มแรง ทำเอาหัวเธอถูกกระแทก สีหน้าตะลึงงันโดยไม่อาจตอบสนองได้ จ้องเขาอย่างนิ่งอึ้ง แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่แลเหลียวมองเธอแม้แต่น้อย และเพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยของตัวเอง เขาก็เลยออกแรงทุบอย่างโหดเหี้ยมอีกสองครั้ง กระทั่งกะโหลกของหญิงสาวถูกอัดจนยุบลงไป จากนั้นจึงแกะมือเท้าที่เกี่ยวพันตัวเองออกทีละส่วน และผลักอีกฝ่ายซึ่งแน่นิ่งไปแล้วลงสู่ท้องทะเลกว้าง

หญิงสาวสวยตายตาไม่หลับ สองตาโตเบิกกว้างไร้แวว ค่อยๆ ถูกน้ำทะเลกลืนกินทั้งร่าง

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เอาไงดีล่ะ? จะแช่อยู่ในน้ำตลอดไป อดทนไว้จนมีคนมาช่วยเหรอ?

ร่างกายแช่อยู่ในน้ำทะเลเย็นจัด หัวก็เปียกเพราะฝนเทกระหน่ำ จางเย่าแหวกว่ายมาเกินชั่วโมงแล้ว ดวงตาถูกน้ำฝนปะทะจนแทบลืมไม่ขึ้น พอยกมือมาลูบน้ำฝนบนหน้าออกแรงๆ และมองไปรอบด้านก็ไม่เห็นผู้รอดชีวิตคนอื่นเลย

จางเย่าคิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไปย่อมไม่ใช่วิธีการที่ดีแน่ เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุตกลงมา วูบเดียวในทะเลก็มีคนบาดเจ็บล้มตายมากขนาดนี้ เป็นไปได้สูงว่าเลือดที่ไหลรินจะล่อสัตว์ล่าเนื้อในทะเลมา ตอนนี้ต้องรีบไปไกลๆ จากทะเลให้เร็วที่สุด ขึ้นบกได้ย่อมดีกว่า พอเห็นชิ้นส่วนซากศพลอยผ่านข้างกายมาเป็นระยะ จางเย่าก็คิดในใจกับตัวเองได้แล้วว่าจะทำอะไรต่อไป

จางเย่าอดจินตนาการในใจไม่ได้ว่าขอให้แถวนี้มีเกาะสักแห่งจริงๆ เถอะ จะได้ไม่ต้องแช่น้ำเย็นๆ

ขณะกำลังคิดนั้นเองสายฟ้าก็ฟาดผ่ากลางอากาศ ทำเอาท้องฟ้าสีน้ำเงินเกือบดำสว่างวาบไปหนึ่งวินาที และเหนือท้องทะเลไม่ไกลทางขวามือของจางเย่า เค้าโครงวัตถุสีดำทะมึนก็เผยรูปลักษณ์ให้เห็นอยู่รางๆ นั่นคือลักษณะของเกาะกลางทะเล..

“...เชี่ย...มีเกาะจริงว่ะ...” เป็นครั้งแรกที่จางเย่าเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าหลังจากฟาดเคราะห์ใหญ่จะได้โชค มีเกาะให้ขึ้นฝั่งย่อมดีกว่าเสี่ยงตายลอยคออยู่กลางทะเลเป็นไหนๆ

หลังจากสติตื่นตัวเพราะสิ่งนี้แล้ว จางเย่าก็รีบว่ายไปทางเกาะนั้นทันที

 

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal