Thursday
ภาคที่ 1 องก์ที่ 1 มารฝัน
บทที่ 1 คนต่างถิ่น
“ผมเป็นพวกขี้แพ้ แทบไม่มีเวลาสนใจด้วยซ้ำว่าแสงแดดสว่างสดใสดีหรือเปล่า
“พ่อแม่ผมไม่มีปัญญาส่งเสีย การศึกษาผมก็ไม่สูง จำเป็นต้องไปค้นหาอนาคตตัวเองเอาคนเดียวในเมืองใหญ่
“ผมสมัครงานไปหลายที่ แต่ไม่มีใครจ้างหรอก คงไม่มีใครชอบคนที่พูดไม่เก่ง สื่อสารไม่คล่อง แถมไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่น
“ผมเคยกินขนมปังแค่สองก้อนเพื่อประทังชีวิตอยู่สามวันเต็มๆ หิวมากจนตกกลางคืนแล้วยังนอนไม่หลับ โชคดีที่ผมจ่ายค่าเช่าห้องล่วงหน้าไปทั้งเดือน ถึงพักอยู่ในห้องใต้ดินมืดๆ นั่นต่อได้ ไม่ต้องออกไปผจญลมหนาววิปริตของฤดูหนาวข้างนอก
“สุดท้ายผมก็ได้งาน เป็นยามกะกลางคืนของโรงพยาบาล เฝ้าห้องเก็บศพ
“กลางคืนในโรงพยาบาลหนาวกว่าที่ผมคิดไว้มาก ไฟติดผนังตามโถงทางเดินก็ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความมืดสลัว ต้องอาศัยแสงรำไรที่ส่องลอดมาจากห้องต่างๆ ถึงจะพอมองเห็นเท้าตัวเอง
“อากาศในนั้นก็เหม็นจัด มักจะมีคนตายที่ถูกยัดอยู่ในถุงเก็บศพโดนส่งเข้ามา ซึ่งเราต้องช่วยขนเข้าห้องเก็บศพ
“มันไม่ใช่งานที่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมมีเงินซื้อขนมปัง กลางดึกมีเวลาว่างมากพอจะใช้เรียนหนังสือ เพราะยังไงก็ไม่มีใครอยากมาที่ห้องเก็บศพอยู่แล้ว นอกจากจะมีศพที่ต้องเอามาส่งหรือไม่ก็ต้องขนย้ายไปเผา แน่นอนว่าผมยังไม่มีเงินพอจะซื้อหนังสือหรอก จนป่านนี้ยังมองไม่เห็นความหวังจะมีเงินเก็บเลยด้วยซ้ำ
“ผมต้องขอบคุณอดีตเพื่อนร่วมงานผมนะ ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ดีๆ เขาก็ลาออก ผมอาจไม่ได้งานนี้
“ผมเฝ้าฝันว่าจะได้ย้ายกะไปช่วงกลางวัน เพราะช่วงนั้นผมมักเข้านอนตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตื่นตอนกลางคืน มันทำให้ร่างกายผมอ่อนแอลงนิดหน่อย บางครั้งก็ปวดหัวด้วย
“มีอยู่วันหนึ่งคนงานขนย้ายก็ส่งศพใหม่เข้ามา
“ผมได้ยินจากคนอื่นว่านั่นคือศพของอดีตเพื่อนร่วมงานที่อยู่ๆ ก็ลาออกไปคนนั้นนั่นเอง
“ผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาบ้าง พอคนอื่นๆ ออกไปกันหมดแล้ว ผมเลยดึงตู้เก็บศพออกมา แล้วค่อยๆ เปิดถุง
“แกเป็นชายแก่ ใบหน้าทั้งซีดทั้งเขียว มีแต่รอยย่นเต็มไปหมด เมื่ออยู่ใต้แสงตะเกียงสลัวๆ แกก็ดูน่ากลัวอยู่มากทีเดียว
“ผมของแกมีไม่มาก และส่วนใหญ่เป็นสีขาวไปหมดแล้ว เสื้อผ้าสักชิ้นไม่มีติดกาย แม้แต่ผ้าสักผืนพวกนั้นยังไม่ทิ้งไว้ให้แก
“สำหรับคนตายที่ไม่มีครอบครัวอย่างแก พวกคนงานขนศพไม่มีทางที่จะปล่อยโอกาสหาเงินพิเศษเพิ่มเติมให้หลุดมือไปแน่
“ผมเห็นว่าตรงหน้าอกของแกมีตราประทับหน้าตาประหลาดดวงหนึ่ง เป็นสีดำอมเขียว ลักษณะยังไงผมก็จนปัญญาอธิบาย เพราะแสงตะเกียงตอนนั้นมืดสลัวเกินไป
“ผมเอื้อมมือออกไปแตะตราดวงนั้น ก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ
“ระหว่างที่มองอดีตเพื่อนร่วมงาน ผมก็คิด หากผมใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนแก่ตัวลง ผมจะเป็นเหมือนเขาหรือเปล่า...
“ผมบอกแกว่าพรุ่งนี้ผมจะส่งแกไปฌาปนสถาน แล้วเอาเถ้ากระดูกของแกไปไว้ที่สุสานสาธารณะไม่คิดเงินที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยตัวเองเลย คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้จะได้ไม่เอาแกโยนลงแม่น้ำเพราะขี้เกียจยุ่งยาก
“มันคงกินเวลานอนผมไปตลอดทั้งช่วงเช้า แต่ยังดีที่อีกไม่นานก็วันอาทิตย์แล้ว ผมไปนอนชดเชยเอาก็ได้
“พูดจบผมปิดถุงเก็บศพกลับไปอย่างดี แล้วยัดเขากลับเข้าตู้
“แต่แล้วอยู่ๆ แสงตะเกียงในห้องกลับมืดลง...”
“หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่ผมหลับ ผมจะฝันเห็นผืนหมอกขนาดใหญ่เสมอ
“ผมสังหรณ์ว่าอีกไม่นานคงมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น สังหรณ์ว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่รู้เรียกว่ามนุษย์ได้หรือเปล่ามาหาผม แต่ไม่มีใครเชื่อผม ทุกคนคิดว่าเพราะผมทำงานในสภาพแวดล้อมแบบนั้น สภาพจิตใจเลยไม่ปกติ จะต้องไปหาหมอ...”
ลูกค้าชายรายหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์มองคนเล่าที่อยู่ดีๆ ก็หยุดเล่า
“แล้วยังไงต่อ”
ลูกค้ารายนี้อายุราวสามสิบเศษ สวมเสื้อที่ตัดเย็บขึ้นจากผ้าทวีตสีน้ำตาลกับกางเกงขายาวสีเหลืองอ่อน ผมเผ้าถูกหวีจนเรียบแปล้ ข้างมือเขาคือหมวกกลมๆ สีเข้มแบบเรียบๆ
รูปลักษณ์เขาดูธรรมดา เหมือนคนส่วนใหญ่ในร้านเหล้า ผมสีดำ ตาสีฟ้า ไม่ได้น่ามองนัก แต่ก็ไม่อัปลักษณ์ และไม่มีจุดเด่นอะไร
ส่วนคนเล่าเรื่องในสายตาเขาคือเด็กหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้าปี แผ่นหลังตั้งตรง แขนขายาว ไว้ผมสั้นสีดำเหมือนกัน ดวงตาสีฟ้าเหมือนกัน แต่โครงหน้าคมชัด ให้ความรู้สึกกระจ่างตาน่ามอง
เด็กหนุ่มมองแก้วเหล้าที่ว่างเหล่าตรงหน้าพลางถอนใจ
“หลังจากนั้นหรือ
“หลังจากนั้นผมก็ลาออกแล้วกลับมาบ้านนอก มาคุยโม้กับคุณอยู่ตรงนี้ไง”
ระหว่างที่พูด รอยยิ้มก็ค่อยๆ ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเขา เป็นรอยยิ้มที่มีแววเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ด้วยหลายส่วนทีเดียว
ลูกค้าชายอึ้งไป
“เรื่องที่นายเล่ามาเมื่อกี้เป็นแค่คำคุยโม้หรือ”
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะดังครืนขึ้นรอบเคาน์เตอร์
และเมื่อเสียงหัวเราะนั้นซาลง ชายวัยกลางคนรูปร่างซูบผอมรายหนึ่งก็หันไปบอกลูกค้าที่กำลังกระอักกระอ่วนอยู่ว่า
“คนต่างถิ่น คุณเชื่อนิทานของลูมิอองจริงๆ เหรอ หมอนี่น่ะเล่าไม่เคยเหมือนกันเลยสักวัน เมื่อวานยังเป็นคนโชคร้ายที่โดนคู่หมั้นถอนหมั้นเพราะยากจนอยู่เลย วันนี้กลายเป็นคนเฝ้าศพไปเสียแล้ว!”
“ใช่ แถมยังเคยเล่าว่าอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไซเรนโซมาสามสิบปี อยู่ฝั่งขวาของไซเรนโซอีกสามสิบปี เพ้อเจ้อทั้งนั้น!” ลูกค้าขาประจำของร้านอีกคนเสริม
พวกเขาล้วนเป็นชาวไร่ชาวนาในคอร์ดู—หมู่บ้านขนาดใหญ่แห่งนี้ทั้งสิ้น แต่ละคนสวมเสื้อตัวสั้นสีดำบ้าง เทาบ้าง น้ำตาลบ้าง
เด็กหนุ่มผมดำที่ถูกเรียกว่าลูมิอองยันสองมือกับเคาน์เตอร์บาร์แล้วลุกขึ้นช้าๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า
“พวกคุณก็รู้ มันไม่ใช่นิทานที่ผมแต่งสักหน่อย พี่สาวผมเขียนทั้งนั้น เธอชอบเขียนนิยาย แถมยังเป็นคอลัมนิสต์ให้ ‘นิยายรายสัปดาห์’ ด้วย”
พูดจบเขาก็หันไปผายมือให้ลูกค้าจากต่างเมือง ยิ้มกว้างสดใส
“ดูท่าพี่สาวผมคงเขียนได้ดีจริงๆ
“ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้เข้าใจผิด”
ชายที่สวมเสื้อทวีตสีน้ำตาล รูปลักษณ์ธรรมดาคนนั้นก็ไม่โมโหอะไร แถมยังลุกตามและยิ้มตอบ
“เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
“คุณชื่ออะไร”
“ก่อนจะถามคนอื่น ควรแนะนำตัวก่อนไม่ใช่หรือครับ” ลูมิอองถามยิ้มๆ
ลูกค้าจากต่างเมืองพยักหน้า
“ผมชื่อไรอัน โคส
“ส่วนสองคนนี้เพื่อนผม วาเลนไทน์กับลีอา”
ประโยคหลังเขาหมายถึงชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ
ฝ่ายชายนั้นอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ผมสีเหลืองโรยแป้งเล็กน้อย ดวงตาที่ไม่โตนักเป็นสีฟ้าเข้มกว่าน้ำในทะเลสาบนิดหน่อย เขาสวมเสื้อกั๊กสีขาว คลุมด้วยเสื้อนอกเนื้อวูลสีน้ำเงินกับกางเกงขายาวสีดำ เห็นชัดว่าบรรจงแต่งตัวมาก่อนออกจากบ้าน
สีหน้าของเขาเย็นชาอย่างยิ่ง ไม่มองเหล่าชาวไรชาวนารอบตัวเท่าใด
ส่วนหญิงสาวนั้นแลดูอายุน้อยกว่าสุภาพบุรุษทั้งสอง ผมยาวสีเทาอ่อนของหล่อนถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยที่ซับซ้อน ห่อทับด้วยผ้าคลุมศีรษะต่างหมวก
ดวงตาของหล่อนเป็นสีเดียวกับเส้นผม และกำลังมองมาทางลูมิอองด้วยประกายตาเปี่ยมแววขบขันชนิดไม่คิดปิดบัง ท่าทางสนุกสนานกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด
ภายใต้แสงสว่างจากตะเกียงแก๊สติดผนังของร้านเหล้า หญิงสาวที่ชื่อลีอาได้อวดจมูกโด่งบางกับริมฝีปากอิ่มได้รูปสวยของหล่อนเต็มที่ สำหรับหมู่บ้านชนบทอย่างคอร์ดูนี้ หล่อนถือเป็นสาวงามได้เต็มปากเต็มคำ
หญิงสาวสวมกระโปรงรัดรูปไม่จับจีบทอจากขนแกะสีขาว เข้าคู่กับเสื้อนอกตัวเล็กสีขาวเหมือนเมล็ดข้าวกับรองเท้าบูทยาวมาร์เซล ทั้งผ้าคลุมศีรษะและรองเท้าต่างมีกระพรวนอันเล็กๆ สีเงินผูกอยู่อย่างละสองอัน เมื่อครู่ตอนเดินเข้าร้านมากระพรวนก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งดึงดูดสายตาคน ผู้ชายจำนวนไม่น้อยถึงกับมองตามจนตาค้าง
ในสายตาพวกเขา การแต่งตัวแบบนี้พบเห็นได้แค่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างบีกอร์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัด หรือไม่ก็เทรียร์ซึ่งเป็นมหานครหลวงเท่านั้น
ลูมิอองค้อมศีรษะให้คนต่างถิ่นทั้งสาม
“ผมชื่อลูมิออง ลี พวกคุณเรียกผมว่าลูมิอองก็ได้”
“ลีหรือ” ลีอาหลุดปากย้อนถาม
“ทำไมหรือครับ นามสกุลผมมีปัญหาอะไรหรือ” ลูมิอองสงสัย
ไรอัน โคสจึงช่วยอธิบายแทนลีอาว่า
“นามสกุลของคุณน่ะน่ากลัว ขนาดผมเองเมื่อครู่ยังเกือบคุมปากไม่อยู่”
เห็นชาวไร่ชาวนารอบๆ ทำหน้าไม่เข้าใจกัน เขาจึงเสริมว่า
“ถ้าเคยพบกับพวกกะลาสีหรือพ่อค้าเดินทะเลมาบ้างก็จะรู้ครับ ว่าในห้าท้องทะเลมีคำร่ำลือว่า
“ยอมพบกับพวกขุนพลโจรสลัด หรือแม้แต่พวกราชา ก็ยังดีกว่าเจอคนชื่อแฟรงค์ ลี
“เขานามสกุลลีเหมือนกัน”
“เขาน่ากลัวมากหรือคุณ” ลูมิอองถาม
ไรอันสั่นศีรษะ
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ในเมื่อเขาลือกันมา ก็คงไม่ผิดจากนี้เท่าไหร่”
เขาตัดบทหัวข้อที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยการถามลูมิอองว่า
“ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่า มันมีค่าเท่าเหล้าแก้วหนึ่งทีเดียว คุณอยากดื่มอะไร”
“ขอ ‘ลาเฟแวร์ต (นางฟ้าสีเขียว)’ แล้วกัน” ลูมิอองก็ไม่เกรงใจ ทิ้งตัวลงนั่งอีกรอบ
ไรอัน โคสขมวดคิ้ว
“ลาเฟแวร์ต แอปแซ็งธ์หรือครับ (หมายเหตุ: Absinthe หรือที่เรียกกันว่า นางฟ้าสีเขียว (la fée verte) เป็นเหล้าหมักสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสารธูโจน (Thujone) ซึ่งมีฤทธิ์หลอนประสาทปนอยู่ด้วย ปัจจุบันสารนี้ถูกควบคุมให้อยู่ในระดับไม่ก่ออันตราย)
“ผมคิดว่าผมต้องเตือนคุณก่อนสักหน่อย แอปแซ็งธ์เป็นอันตรายต่อร่างกาย เหล้าชนิดนี้อาจก่อกวนระบบประสาทจนทำให้คุณเห็นภาพหลอน”
“ฉันไม่นึกเลยว่ากระแสนิยมในเทรียร์จะแพร่มาถึงนี่แล้ว” ลีอาที่อยู่ด้านข้างเสริมยิ้มๆ
ลูมิอองร้องอ้อ
“คนที่เทรียร์ก็ชอบลาเฟแวร์ตเหมือนกันนี่เอง...
“แต่สำหรับเราน่ะ ชีวิตมันลำบากพออยู่แล้ว ไม่ต้องสนใจอันตรายเล็กๆ น้อยๆ นี่ก็ได้ เหล้านี้ทำให้จิตใจเราผ่อนคลาย”
“ก็ได้” ไรอันนั่งลงก่อนหันไปทางบาร์เทนเดอร์ “ขอลาเฟแวร์ตหนึ่งแก้ว และขอ ‘เคอเฮปิเซ่ (หัวใจเผ็ดร้อน)’ ให้ผมอีกแก้ว”
เคอเฮปิเซ่คือเหล้าหมักจากผลไม้ชื่อเสียงโด่งดัง
“ทำไมไม่สั่งลาเฟแวร์ตให้ผมบ้างล่ะคุณ เมื่อกี้ผมเป็นคนบอกความจริงกับคุณนะ ผมเล่าเรื่องไอ้เด็กนี่ให้คุณฟังหมดเปลือกยังได้!” ชายวัยกลางคนรูปร่างซูบผอมที่แฉว่าลูมิอองเล่านิทานทุกวันเป็นคนแรกร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ “คนต่างถิ่น ผมดูออกหรอกว่าพวกคุณยังสงสัยว่าเรื่องที่หมอนี่เล่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก!”
“ปิแอร์ คุณนี่มันทำได้ทุกอย่างเพื่อเหล้าแก้วเดียวของแท้!” ลูมิอองโต้เสียงดัง
และไม่รอให้ไรอันได้ตัดสินใจ เด็กหนุ่มก็ชิงเสริมว่า
“ทำไมไม่ให้ผมเล่าเองล่ะ ผมจะได้ขอลาเฟแวร์ตเพิ่มอีกแก้ว”
“เพราะถ้าให้แกเล่า พวกเขาไม่รู้น่ะสิว่าควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ” ชายวัยกลางคนที่ชื่อปิแอร์หัวเราะอย่างลำพอง “นิทานที่พี่สาวแกชอบเล่าให้เด็กๆ ฟังที่สุดคือเรื่อง ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ นี่ คนที่โกหกประจำจะสูญเสียความน่าเชื่อถือไง”
“ก็ได้” ลูมิอองยักไหล่ มองบาร์เทนเดอร์เลื่อนแก้วเหล้าสีเขียวจางๆ แก้วหนึ่งส่งมาถึงตรงหน้า
ไรอันหันไปมองเขาพลางถาม
“ได้ไหม”
“ไม่มีปัญหาหรอก ขอแค่กระเป๋าสตางค์คุณมีเงินพอจ่ายค่าเหล้า” ลูมิอองวางท่าไม่แยแส
“งั้นขอลาเฟแวร์ตอีกแก้ว” ไรอันพยักหน้า
ปิแอร์ฉีกยิ้มกว้างทันที
“คนต่างถิ่นช่างมีน้ำใจ เด็กนี่น่ะเป็นจอมก่อกวนประจำหมู่บ้านเลยเชียว พวกคุณอยู่ห่างๆ มันหน่อยดีกว่า
“เมื่อห้าปีก่อน โอรอร์ พี่สาวของมันพามันกลับมาที่หมู่บ้าน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยไปไหนอีก คุณคิดดูสิ ตอนนั้นมันเพิ่งจะสิบสาม แล้วจะไปเป็นคนเฝ้าศพในโรงพยาบาลได้ยังไง อ้อ และโรงพยาบาลใกล้ที่สุดก็คือดาริแยฌที่อยู่ตรงตีนเขาโน่น ต้องใช้เวลาเดินทางกันทั้งบ่ายแน่ะ”
“พากลับมาที่หมู่บ้านหรือ” ลีอาถามขึ้นอย่างสงสัย
หญิงสาวเบือนหน้ามาเล็กน้อย เสียงกรุ๊งกริ๊งแว่วมาด้วย
ปิแอร์พยักหน้า
“โอรอร์ย้ายมาปักหลักที่นี่เมื่อหกปีก่อน ผ่านไปปีหนึ่งก็เดินทางออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แล้วพาเด็กนี่กลับมา บอกว่าเก็บได้จากข้างทาง เป็นเด็กจรจัด กำลังจะอดตาย เลยคิดจะเลี้ยงไว้
“จากนั้นมันก็ใช้นามสกุล ‘ลี’ ตามโอรอร์ แม้แต่ชื่อ ‘ลูมิออง’ โอรอร์ก็ตั้งให้”
“ชื่อเดิมคืออะไรผมก็ลืมไปแล้วละ” ลูมิอองดื่มแอปแซ็งธ์พลางหัวเราะคิกคัก
ไม่ได้ดูอับอายหรือน้อยเนื้อต่ำใจกับการที่อดีตตัวเองถูกตีแผ่เลย