Wednesday
ชิงหลงหลงเดินเตร็ดเตร่อยู่ครึ่งค่อนวัน
ก็พลันเจอเข้ากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ตรงโต๊ะใต้ต้นหลิวอย่างกะทันหัน
เด็กคนนี้ก็เป็นคนไข้เหรอ หรือเป็นลูกของพี่พยาบาลสักคนในนี้?
ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปถาม “นายทำอะไรอยู่เหรอ”
เซียวซานซานเหลือบมองชิงหลงหลงแวบหนึ่ง
ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉยราวกับผู้ใหญ่แบบที่ไม่เข้ากับอายุของเด็กชายเลยสักนิดเดียวว่า “คนใหม่เหรอ เป็นโรคอะไรล่ะ”
ชิงหลงหลงนึกคำตอบไม่ทัน เขาจึงลังเลเล็กน้อยแล้วค่อยตอบกลับไป “โรค...โรคมีอาการหลงผิด?”
“อ้อ...” เซียวซานซานพูดต่อทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “ผมชื่อเซียวซานซาน เป็นเด็กอัจฉริยะ ปีนี้สิบขวบ แต่เพราะอัจฉริยะมากไปคนทั่วไปก็เลยไม่เข้าใจ ครอบครัวก็เลยส่งผมมาที่นี่”
“จริงเหรอ!?” น้ำตาชิงหลงหลงเอ่อคลอทันใดคล้ายกับเจอคนประเภทเดียวกัน เขาจึงหย่อนบั้นท้ายลงไปนั่งข้างเซียวซานซาน “ถ้าฉันบอกว่าฉันเองก็โดนเข้าใจผิดเหมือนกัน! ฉันโดนจับตัวผิดมา นายจะเชื่อไหม”
เซียวซานซานพยักหน้า “เชื่อสิครับ อย่างนั้นพี่ก็ควรจะระวังที่นี่ไว้สักหน่อยนะ จากที่ผมสังเกตมา ผู้อำนวยการนั่นประหลาด”
ชิงหลงหลงรู้สึกเหมือนได้เจอคนที่รู้ใจ!
เขาเกาะโต๊ะพลางพยักหน้าหงึกหงักเหมือนลูกเจี๊ยบ “ใช่ไหมๆ! ฉันเองก็รู้สึกว่าเขาประหลาด!”
ในที่สุดเซียวซานซานก็เงยหน้าขึ้นมามองชิงหลงหลงแล้วพูดว่า “สรุปแล้ว...ก็ระวังหน่อยนะครับ”
ชิงหลงหลงพยักหน้าไม่หยุด “ใช่! ฉันก็รู้สึกว่าควรระวัง!”
เซียวซานซานก้มหน้าต่อแล้วเอ่ยเสียงเบาหวิว “เป็นไปได้ว่าผู้อำนวยการนั่นอาจจะไม่ใช่มนุษย์”
ชิงหลงหลงที่พยักหน้าอยู่ถึงกับหยุดชะงักจนคอเกือบเคล็ด
เขาตัวแข็งทื่อ แล้วหันไปมองเซียวซานซาน “ไม่...ไม่ใช่มนุษย์เหรอ”
โลกมนุษย์ตอนนี้มันวุ่นวายขนาดนั้นเลยเหรอ
ไม่ได้มีมนุษย์แค่บนโลกแล้วเหรอ
หรือว่าบนดาวอังคารก็มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่แล้วเหมือนกัน?
เซียวซานซานพยักหน้า “พี่รู้ไหมว่าด้านหลังเขามีพื้นที่ห้ามเข้าด้วย ตรงนั้นไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป แต่ผู้อำนวยการมักจะเข้าออกประจำ แล้วทุกครั้งที่เข้าออกก็จะมีนิสัยเปลี่ยนไป สีหน้าเขาก็แปลกมาก ผมเลยสงสัยว่าเขาอาจจะทำการทดลองลับที่เกี่ยวกับมนุษย์ที่นั่น”
ชิงหลงหลงรู้สึกขึ้นมากะทันหันว่าบางทีเซียวซานซานอาจจะไม่ปกติแล้วจึงพูดเสียงลังเล “ไม่...ไม่หรอกมั้ง...”
จากที่สังเกตมา ผู้อำนวยการนั่นเป็นบ้าก็จริง แต่ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
“พี่ลองสังเกตดูดีๆ ก็จะรู้ว่าที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง แต่จะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพี่” เซียวซานซานพูด
# # #
เชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพี่
คำพูดประโยคนี้วนเวียนอยู่ในสมองหลงไม่หยุด
# # #
เมื่อถึงมื้อเย็น ชิงหลงหลงเดินถือถาดอาหารไปนั่งข้างโหยวปิ่งช้าๆ
“ได้ยินมาว่า...ด้านหลังเขามีพื้นที่ห้ามเข้าเหรอครับ”
โหยวปิ่งนิ่งสักพัก แล้วจึงลดเสียงลงอย่างต้องการปิดบังแต่มันกลับดูชัดเจน “พื้นที่ต้องห้ามอะไร! พื้นที่ต้องห้ามอะไร! ไม่มีสักหน่อย อย่าพูดจาเลอะเทอะสิ”
ชิงหลงหลงจ้องผู้อำนวยการจอมหลอกลวงอย่างสงสัย “ไม่มีจริงเหรอครับ”
โหยวปิ่งค่อยๆ หันไปมองชิงหลงหลงนิ่ง แววตาที่ดูมีชีวิตชีวาในเวลาปกติกลับกลายนิ่งเรียบในเวลานี้ “เธอรู้อะไรมาเหรอ”
ชิงหลงหลงรู้สึกหนาวสะท้านเมื่อโดนสายตาเช่นนี้จ้องมา หนาวจนเกล็ดมังกรเกือบจะหลุดจากตัว
เขาย้ายถาดอาหารไปด้านข้างแล้วก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวคำใหญ่เข้าปาก พูดเสียงอู้อี้ว่า “ไม่มีครับ! หลงแค่อยากรู้ว่าในป่า...”
โหยวปิ่งกลับวางตะเกียบลง ก่อนจะหันมาหรี่ตามองแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ากลัว “เหมือนเธอจะรู้นะ”
ชิงหลงหลงสะดุ้งเฮือกแล้วกลืนข้าวลงคอดังเอื๊อก จากนั้นรีบย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามทันที
“คุณอย่ามาขู่หลงนะ! หลงไม่กลัวที่คุณขู่หรอกจะบอกให้!”
โหยวปิ่งทำท่าทีเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “ไม่กลัวจริงเหรอ”
“ไม่กลัวจริง!”
ชิงหลงหลงยืดอกทำมาดเข้มแต่ความจริงกลัวจนปากสั่น
เขากลัวว่าผู้อำนวยการบ้านี่จะฆ่าตนเองเป็นการปิดปาก ฮือๆๆ ถ้ารู้แบบนี้ไม่ถามเสียก็ดี มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหลงเลย ฮือ...
“ความจริง...” โหยวปิ่งกระซิบเสียงแหบพร่า “ฉันก็ไม่ได้กลัวที่จะบอกเธอว่าพื้นที่ห้ามเข้ามีอะไรนะ”
ถ้าอย่างนั้น...
ก็มีพื้นที่ห้ามเข้าจริงๆ เหรอ!?
ทั้งที่ชิงหลงหลงกลัวมาก แต่เขาก็ไม่อาจสะกดความอยากรู้จนหูตั้งได้เลยเขยิบเข้าไปใกล้ๆ
โหยวปิ่งยืดตัวไปทางกลางโต๊ะ ท่าทางดูเครียดเล็กน้อย “ที่นั่นน่ะมี...”
ชิงหลงหลงเผลอกลั้นลมหายใจและเขยิบเข้าหาโหยวปิ่งเช่นกัน...
โหยวปิ่งพูดเสียงเบากว่าเดิมจนสุดท้ายเหลือเพียงเสียงกระซิบ “ที่นั่นน่ะมี...”
ชิงหลงหลงเขยิบเข้าใกล้กว่าเดิมหวังจะได้ยินชัดขึ้น...
โหยวปิ่งพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างแล้วตวาดเสียงดังลั่นกะทันหัน “มีผีไงล่ะ อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!”
ชิงหลงหลงตกใจจนลงไปซ่อนใต้โต๊ะพร้อมกอดขาโหยวปิ่งและกรีดร้องเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...” โหยวปิ่งหัวเราะจนหยุดไม่ได้
หลังจากชิงหลงหลงปล่อยขาชายหนุ่มแล้ว ก็เริ่มมีเสียงเหมือนสัตว์ตัวน้อยดังออกมาจากใต้โต๊ะ “ฮือๆๆๆ...ผู้อำนวยการจอมหลอกลวง ฮือๆๆๆๆ...”
เนื่องจากทั้งสองคนกินอาหารค่อนข้างดึก ดังนั้นในโรงอาหารจึงไม่มีคนไข้คนอื่น
มีเพียงพนักงานที่กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดในโรงอาหารเท่านั้น และเพราะอยู่ค่อนข้างไกลจึงไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงดังเหล่านี้
อีกฝ่ายเพียงเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อได้ยินเสียง พอเห็นว่าผู้อำนวยการอยู่ตรงนั้นและไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจึงก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อ
โหยวปิ่งใช้ปลายเท้าเตะชิงหลงหลงที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะเบาๆ พลางพูดยิ้มๆ “เสี่ยวชิงหลง~ ออกมาเถอะน่า~”
“ไม่ออกหรอก ฮือๆๆ...”
ชิงหลงหลงกัดปากร้องฮือๆ ไม่หยุดราวกับเป็นเสียงวี้ดๆ เวลาน้ำเดือด
โหยวปิ่งเลิกคิ้ว เท้าเอวมองผู้ที่อยู่ใต้โต๊ะ
แกล้งทำอีกแล้ว สีหน้าเหมือนโดนกลั่นแกล้งแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด
เจ้าเสี่ยวชิงหลงชักจะน่าสนใจเกินไปแล้ว โหยวปิ่งอ้าปากหัวเราะไม่มีเสียง
เขารู้สึกสนุกจึงหยิบส้มหนึ่งลูกส่งไปใต้โต๊ะ “นี่ๆ เสี่ยวชิงหลงอย่าโมโหไปเลย ฉันขอโทษนะ”
จากนั้นส้มก็โดนฉกหายไป!
โหยวปิ่งดึงมือกลับมาแล้วจึงได้ยินเสียงเคี้ยวส้มพร้อมกับเสียงพูดอู้อี้ดังมาจากใต้โต๊ะว่า “ฮือ...ไอ้ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดี!”
ชิงหลงหลงด่าพลางเคี้ยวส้มเสียงดังกร๊วบๆ แถมยังคิดอีกด้วยว่าส้มแค่ผลเดียวจะไปรักษาหัวใจที่หวาดกลัวของเขาได้อย่างไร
โหยวปิ่งจึงปอกแอปเปิลให้อีกหนึ่งลูก
กระทั่งหลังจากได้ยินอีกฝ่ายจัดการส้มหมดแล้วจึงยื่นแอปเปิลส่งไปให้ “นี่ๆ ฉันให้แอปเปิลอีก”
ชิงหลงหลงฉกแอปเปิลไปอย่างฮึดฮัดแล้วกัดคำใหญ่ แต่ไม่ร้องไห้แล้ว
แต่ว่าหลงไม่อยากออกมาจากใต้โต๊ะเลยสักนิดเดียว เพราะเขากลัว
โหยวปิ่งจึงหยิบส้อมมาจิ้มไส้กรอกแล้วส่งไปให้อีก “กินพืชแล้วก็ต้องกินเนื้อเนอะ”
เวลานี้เอง คุณป้าที่กำลังทำอาหารอยู่ด้านในเคาน์เตอร์ก็เหลือบมองพิจารณา
แต่เพราะอยู่ค่อนข้างไกลจึงมองไม่ค่อยเห็น เธอได้แต่เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ผู้อำนวยการเลี้ยงหมาแล้วเหรอ”
คุณลุงที่กำลังจัดถาดอาหารจึงตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าว่า “มั้ง ได้ยินว่าสัตว์สามารถช่วยทำให้อารมณ์ผู้ป่วยสงบลงได้”
คุณป้าส่ายหน้าส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “ผู้อำนวยการเปลืองเงินเกินไปแล้ว ทำอาหารแต่ตัวเองไม่กิน กลับให้หมากินจนหมด แกดูสิยังป้อนหมาอยู่เลยเนี่ย”
คุณลุงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ป้อนก็ป้อนสิ วัยรุ่นก็แบบนี้แหละ ยังไงภูเขาลูกนี้ก็เป็นของผู้อำนวยการ แกจะยุ่งเรื่องเขาป้อนอาหารหมาทำไม โอ๊ย!”
ฉับพลันเขาก็ตบหน้าผากดังแปะแล้วออกไปพูดตะโกนให้โหยวปิ่งได้ยิน “ผู้อำนวยการ!!! หมามันกินเค็มไม่ได้นะครับ!!! ขนมันจะร่วงหมด! คุณอย่าให้มันกินไส้กรอกกับกระดูกล่ะ!!!”
โหยวปิ่งที่กำลังป้อนชิงหลงหลงอย่างสนุกสนานก็พลันพ่นเสียงหัวเราะออกมา
เขาที่หัวเราะลั่นจนต้องเกาะโต๊ะกุมท้องนั้นก็ยังไม่ลืมโบกมือให้คุณลุงที่เป็นห่วงสุนัขแล้วพูดตอบไปว่า “ลุงวางใจเถอะครับ! ผมจะไม่ให้หมากินเค็มหรอก ฮ่าๆๆ!”
ชิงหลงหลงที่กำลังแทะกระดูกอยู่ใต้โต๊ะอย่างเอร็ดอร่อยได้ยินแบบนั้นก็รีบโผล่ออกมาทั้งที่ยังแทะกระดูกไม่หมด
ก่อนจะตะโกนเสียงดังแต่แทบฟังไม่รู้เรื่อง “ไม่ใช่หมา!!! ไม่มีหมา!!!”
คุณลุงตะโกนมาจากไกลๆ ต่อว่า “แม่หมาก็ไม่ได้! กินเค็มขนจะร่วงเอา!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...”
โหยวปิ่งหัวเราะไม่หยุดจนต้องทุบโต๊ะ
ชิงหลงหลงถุยกระดูกในปากออกมาใส่โต๊ะด้วยความโมโห ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟันน้ำนม “บอกว่าไม่มีหมาไง!!! ไม่มีหมา!!!”
“อย่างนั้นถ้าเธออยากให้มันกินก็ให้เลย! ถ้าขนมันร่วงก็เป็นหมาของเธออยู่ดี!” คุณลุงเองก็โมโหแล้วเช่นกัน
พูดจบก็สะบัดหน้าเดินกลับไปทำงานต่อ คุณลุงเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนพลางบ่นว่า “ผู้อำนวยการบอกจะไม่ป้อนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเด็กนั่นโผล่มาจากไหนบอกจะป้อนๆ บอกไปแล้วก็ไม่ฟัง”
หลงโมโหจัดแล้ว!
ชิงหลงหลงลงไปนั่งอย่างหงุดหงิด แม้จะก้มหน้าแต่ก็โมโหไฟลุก!
“ส้มหลงล่ะ! แอปเปิลหลงล่ะ! ไส้กรอกหลงล่ะ!”
โหยวปิ่งหัวเราะฮ่าๆ “เมื่อกี้เธอกินไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ชิงหลงหลงถลึงตาใส่พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหลือจะเชื่อ “ที่กินไปไม่ใช่ของไถ่โทษจากคุณเหรอครับ! นี่คุณใช้อาหารหลงมาขอโทษหลงเนี่ยนะ!?”
“ฮ่าๆๆ ฉันบอกว่าขอโทษ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไถ่โทษด้วยของกินเสียหน่อยเสี่ยวชิงหลง~” โหยวปิ่งหัวเราะจนเจ็บท้องไปหมดแล้ว
ชิงหลงหลงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
ยิ่งเห็นผู้อำนวยการจอมหลอกลวงนิสัยไม่ดีเอาแต่หัวเราะ เขาก็รีบกวาดแอปเปิลและส้มตรงหน้าผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีทั้งหมดมาอยู่หน้าตัวเองทันที
แล้วก็ฉกเอาไส้กรอกในถาดอาหารมายัดเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ อีกด้วย
ฮึ่มๆ!
มาดูกันว่ารอบนี้ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีจะยังกล้าทำอะไรอีกไหม!
ชิงหลงหลงเคี้ยวไส้กรอกพลางจ้องผู้อำนวยการอย่างกวนประสาท
โหยวปิ่งไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำของชิงหลงหลงเลย
เขาเม้มปากพยายามกลั้นยิ้ม แล้วถามกลับว่า “เผ่ามังกรของเธอ ถ้ากินเค็มแล้วเกล็ดจะร่วงด้วยไหม แล้วเกล็ดใต้คอที่ร่วงหายไปนี่เพราะกินเค็มเกินไปหรือเปล่า ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!”
จากนั้นเกิดเสียงดัง ‘ปัง!’
ชิงหลงหลงโมโหจนเขวี้ยงส้มทิ้ง!
เขาบีบแอปเปิลด้วยความโมโหพร้อมตวาดใส่โหยวปิ่ง “ทำไมคุณนิสัยไม่ดีขนาดนี้! คนชั่ว! คนนิสัยไม่ดี!”
พอด่าจบชิงหลงหลงก็สะบัดหน้า อยากปลีกตัวหนีทันที
ทว่าโหยวปิ่งกลับหยิบส้มขึ้นมาช้าๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “เสี่ยวชิงหลง~ ไม่เอาส้มแล้วเหรอ”
ฝีเท้าชิงหลงหลงชะงักก่อนจะหันมามองส้มในมือผู้อำนวยการขี้โกหกอย่างอาลัยอาวรณ์
เขาเม้มปากหงุดหงิด ลังเลอยู่สักหน่อย แต่สุดท้ายก็ตัดใจ “ไม่! เอา!”
โหยวปิ่งหลุบตามองเปลือกส้มในมือ เอ่ยถามเสียงเบาออกไปว่า “ไม่อยากรู้ความจริงเรื่องพื้นที่ห้ามเข้าหลังเขาแล้วเหรอ”
ชิงหลงหลงกัดปากก้มหน้านิ่งคิด ท่าทางดูลังเลอยู่เล็กน้อย...
“ไม่...ไม่อยากแล้ว!”
ชิงหลงหลงกลัวว่าผู้อำนวยการจอมหลอกลวงนี่จะพูดอะไรมาหลอกล่อรั้งให้เขาอยู่ต่ออีกจึงรีบวิ่งจากไปทันที
เขาไม่มีวันถูกล่อลวงแล้ว! ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีก็จะแกล้งเขาอีก!
โหยวปิ่งมองเสี่ยวชิงหลงที่วิ่งหนีไปในเวลารวดเร็วแล้วก็อดขมวดคิ้วประหลาดใจไม่ได้
โอ๊ะ เจ้าเสี่ยวชิงหลงโมโหจริงแฮะ ใจแข็งขนาดนี้เลยเหรอ
# # #
ชิงหลงหลงกลับมาห้องตัวเองแล้วก็ยืนลังเลอยู่ที่เตียงสองหลังตรงหน้า
สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกเตียงของผู้อำนวยการนิสัยไม่ดี เพราะเตียงของผู้อำนวยการมันนุ่มสบายกว่าจริงๆ! ต่อให้เกลียดผู้อำนวยการยังไงก็ไม่ควรทำร้ายตัวเองสิ!
ชิงหลงหลงที่กินมื้อเย็นไปน้อยนิดจึงปีนขึ้นเตียงไปห่อตัวอยู่ในผ้าห่มพร้อมเคี้ยวแอปเปิลกร้วมๆ
ยิ่งกินก็ยิ่งสลด รู้แบบนี้เขากินข้าวเย็นให้หมดแล้วค่อยกลับมาดีกว่า ยังกินไม่อิ่มเลย ฮือ...
ชิงหลงหลงจัดการแอปเปิลลูกนั้นหมดด้วยความรวดเร็ว
เขาเลียแกนแอปเปิลช้าๆ พลางนึกถึงชีวิตที่อยากได้อะไรก็ได้ทุกอย่างตอนอยู่ตำหนักเสี่ยวชิง
คิดไปคิดมาแล้วชิงหลงหลงก็กัดฟันกรอด ถ้ามีวันหนึ่งที่เขาได้กลับไปตำหนักเสี่ยวชิง เขาจะจับผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีนั่นกลับไปด้วยแน่!
แล้วให้ผู้อำนวยการนั่งคุกเข่าต่อหน้าเขา มองเขากินผลไม้ทุกอย่างที่เขาอยากกิน! มองเขากินของวิเศษทุกอย่างที่เขาอยากกิน!
แล้วเขาก็จะไม่แบ่งให้ผู้อำนวยการกินด้วย! เพราะเขาโกรธผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีคนนั้นมาก!
แต่ทว่า...
แล้วเมื่อไรถึงจะได้กลับตำหนักเสี่ยวชิงกันล่ะ
เขาสงสัยว่าเกล็ดใต้คออาจจะเสียหายแล้ว เพราะเห็นอยู่ว่าแม้ผู้อำนวยการจะพูดว่าคืนให้เขาแล้ว แต่ทำไมเกล็ดใต้คอถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยกัน
# # #
ชิงหลงหลงตื่นเพราะหิว ตอนที่ตื่นเขายังกอดแกนแอปเปิลไว้แนบอกอยู่เลย
ท้องฟ้ามืดแล้ว นาฬิกาบนหัวเตียงแสดงเวลาห้าทุ่มครึ่ง
เขาลงจากเตียงพลางโยนแกนแอปเปิลลงถังขยะ จากนั้นเหลือบมองไปยังเตียงอีกหลังที่ว่างเปล่า
เขาก็ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีนั่นยุ่งอยู่กับอะไรถึงยังไม่กลับมา
ชิงหลงหลงกลับขึ้นไปบนเตียงห่อตัวในผ้าห่ม และอดทนต่อความหิวอยู่เงียบๆ
เด็กหนุ่มให้กำลังใจตัวเองว่า...ต้องไม่เป็นไร! แค่หิวไม่กลัวหรอก! หลงแข็งแกร่งมาก! หลงไม่ได้กลัวเลย!
แต่เวลานี้เองก็มีเสียงประตูเปิด โหยวปิ่งกลับมาแล้ว
ชิงหลงหลงรีบใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะแกล้งทำเป็นหลับ แต่แอบเตรียมไม่ให้ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีฉกเอาผ้าห่มไป!
โหยวปิ่งเปิดไฟ
มือข้างหนึ่งของเขาถือเค้ก ส่วนอีกข้างก็ถือถุงส้มสดใหม่เดินแกว่งเข้ามาหา “เสี่ยวชิงหลง~ หลับหรือยัง”
ชิงหลงหลงกัดฟัน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้อำนวยการดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเอ่ยเตือนเสียงสูง “หลงหลับแล้ว! อย่าเข้ามานะ! ตอนหลงหลับจะอารมณ์ไม่ดีมาก! จะตีคนด้วย!”
โหยวปิ่งแอบยิ้ม
เขาถอยหลังกลับไปแล้วค่อยๆ วางกล่องเค้กไว้บนหัวเตียงพร้อมเปิดฝากล่องทิ้งไว้
หน้าเค้กตกแต่งเป็นลายมังกรสีเขียวตัวน้อยหน้าตามีความสุขกำลังเกาะอยู่บนลูกพีช ดูเปี่ยมไปด้วยความสุขทีเดียว
เขาหยิบผลส้มลูกใหญ่น่ากินมาอีกครั้ง
ชิงหลงหลงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปมาตรงหัวเตียง ในใจก็รู้สึกกระสับกระส่าย
เจ้าผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีนี่คงจะไม่ตั้งใจขโมยเตียงกับหลงหรอกมั้ง เพราะหลงสู้อีกฝ่ายไม่ได้แน่!
หิวข้าวจนไส้จะขาดแล้ว หรือต้องไปนอนหิวบนเตียงที่ทั้งแข็งแล้วก็เย็นนั่นจริงๆ นะ
ชีวิต! หลง! ลำบาก! ชะมัด!
ขณะที่กำลังน้อยอกน้อยใจนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าปลายผ้าห่มมุมหนึ่งถูกเปิดออก
แต่ตอนที่กำลังจะหดตัวหนี กลับมีบางสิ่งเย็นๆ กลิ้งเข้ามาชนร่างหลง แถมกลิ่นยังหอมเตะจมูกอีกด้วย
ชิงหลงหลงเผลอสูดดมโดยไม่รู้ตัว
เขาตาลุกวาว นั่นมันส้มนี่!
แถมยังเป็นส้มสดๆ ใหม่ๆ ด้วย!
แค่ดมกลิ่นหลงก็รู้ว่ารสชาติต้องหวานกว่าส้มเมื่อตอนมื้อเย็นมากมายหลายล้านเท่า!
ชิงหลงหลงรีบคว้าส้มลูกนั้นมาอย่างไว แววตาลุกวาวกว่าเดิม ส้มลูกใหญ่มาก!
มือเขาข้างเดียวจับส้มได้แค่ครึ่งลูกเท่านั้น
น้ำจะต้องมากแน่ๆ เลย!
“เสี่ยวชิงหลง~ ฉันเอาของมาไถ่โทษแล้ว~”
เสียงผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีกำลังหลอกล่อเขาเหมือนคุณลุงคนชั่วที่หลอกลักพาตัวเด็กน้อยไม่ผิดเพี้ยน
ชิงหลงหลงไม่กล้าส่งเสียง เขารีบเอาส้มแนบอกตัวเอง
เฮอะ! เขาไม่มีวันยกโทษให้ผู้อำนวยการหรอกนะ!
จากนั้นส้มลูกที่สองก็กลิ้งเข้ามา...
ชิงหลงหลงเบิกตากว้างอยู่ในผ้าห่มแล้วรีบคว้าส้มลูกที่สองเข้าอก
เขากอดส้มที่ส่งกลิ่นหอมจนเตะจมูกทั้งสองลูกไว้อย่างไม่อยากเชื่อ ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีจะใจดีขนาดนี้เลยเหรอ!?
จากนั้นส้มลูกที่สามก็กลิ้งเข้ามา...
แล้วเสียงอ่อนโยนของผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีก็ดังขึ้น “ถ้ายังไม่ยกโทษให้ฉัน...” จากนั้นน้ำเสียงก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ฉันก็จะเอาส้มกลับมาหมดเลยนะ”
ชิงหลงหลงตื่นตกใจจนต้องรีบแอบมองผู้อำนวยการ
โหยวปิ่งเห็นชิงหลงหลงค่อยๆ โผล่ออกมาครึ่งหน้าก็ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว แล้วพูดเสียงที่ทั้งเป็นมิตรและนุ่มนวล “เสี่ยวชิงหลง~ ขอโทษจริงๆ นะ ฉันไม่ควรเอาเรื่องเกล็ดใต้คอเธอมาล้อเล่นแบบนี้ ยกโทษให้ฉันนะ”
“ฮึ่มๆ...นี่ยังไม่พอหรอกนะครับ”
ชิงหลงหลงกวาดเอาส้มทั้งสามลูกออกมา จากนั้นจึงเหลือบไปเห็นเค้กบนหัวเตียงซึ่งมีรูปมังกรที่ทำมาจากครีมเนยอยู่บนหน้าเค้ก
ความโลภครอบงำชั่วขณะ ชิงหลงหลงเอ่ยอย่างได้คืบจะเอาศอก “ถ้าอยากให้หลงยกโทษให้คุณ ก็ต้องเอาเค้กนั่นมาให้หลง!”
เดิมทีโหยวปิ่งซื้อเค้กก้อนนั้นมาให้ชิงหลงหลงอยู่แล้ว เขารู้ดีว่าเจ้าเสี่ยวชิงหลงนี่ไม่ทันได้กินข้าวให้อิ่ม ดังนั้นจึงตั้งใจซื้อมาเพิ่มพื้นที่ในกระเพาะให้เจ้าเสี่ยวชิงหลง
เมื่อได้ยินแบบนั้น โหยวปิ่งจึงตั้งใจพูดออกไป “ฉวยโอกาสมาก เธอเป็นมังกรนิสัยแย่!”
ชิงหลงหลงลังเลอยู่สักพัก เขานิ่งมองส้มสามลูกใหญ่ในอ้อมอก
เขาทำเกินไปสักหน่อยอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ แต่ว่า...ชิงหลงหลงหันไปมองเค้กที่มีรูปมังกรตาละห้อย
“อย่างนั้น...อย่างนั้นคุณเอามังกรข้างบนมาให้หลงเลย!”
โหยวปิ่งจึงหยิบช้อนคันใหญ่ออกมา
จากนั้นก็ตักเอามังกรและลูกท้อมาแกว่งไปมาตรงหน้าชิงหลงหลง “ชิ้นนี้ให้เธอดีไหม”
ดวงตาชิงหลงหลงมองตามการแกว่งช้อนไปมาของโหยวปิ่ง
เขากลืนน้ำลายดังเอื๊อกพร้อมพยักหน้าขึ้นลงราวลูกเจี๊ยบจิกกินข้าวเปลือก “ดีครับดี ถ้าให้หลง หลงจะยกโทษให้คุณ!”
โหยวปิ่งยิ้มมีเลศนัยแล้วแลบลิ้นเลีย...
มังกรครึ่งตัวหายวับไปกับตา!!!
ชิงหลงหลงนิ่งชะงัก ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง เขาเบิกตาอย่างไม่อยากเชื่อมองไปยังมังกรครีมเนยที่เหลือครึ่งตัวบนลูกพีช แล้วทำได้เพียงเบะปาก “ฮือ...คุณรังแกหลง!”
โหยวปิ่งยิ้ม “ฉันไปรังแกหลงยังไง เค้กก้อนนี้เป็นของฉันอยู่แล้ว ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะว่าให้เธอ เจ้ามังกรนิสัยไม่ดี! ฉวยโอกาส!”
“ฮือ...”
ชิงหลงหลงรู้สึกน้อยใจสุดขีด เขาทั้งไม่ได้กินเค้กแถมยังโดนว่าอีก นี่ไม่อยากให้หลงมีอยู่แล้วใช่ไหม!
ว่าแล้วโหยวปิ่งก็เลียอีกคำ คราวนี้มังกรอีกครึ่งตัวกับลูกพีชโดนลิ้นอันว่องไวนั่นปาดเข้าปากไปเรียบร้อย “อือ...หอมจัง!”
ชิงหลงหลงกอดส้มสามลูกแล้วล้มลงบนเตียงอย่างแตกสลาย
ฮือๆๆๆ ครีมเนยของหลงโดนกินจนหมดเลย!
หลังจากโหยวปิ่งอ้าปากกวาดครีมเนยรูปมังกรอีกครึ่งตัวกับลูกพีชเข้าปากพร้อมเคี้ยวกลืนลงท้องเรียบร้อย ก็ถามด้วยน้ำเสียงสุขใจว่า “เสี่ยวชิงหลง~ ยกโทษให้ฉันไหม”
ชิงหลงหลงกอดส้มพร้อมกลอกตาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงซังกะตายว่า “ยกโทษให้ครึ่งเดียวแล้วกัน...” นิ่งไปสักพักก็อดถามอีกไม่ได้ว่า “เค้กมังกรก้อนนั้น...โรงอาหารทำเหรอครับ”
“ไม่ใช่ โรงอาหารจะทำขนมแบบนี้ได้ยังไง นี่เป็นเค้กที่ฉันสั่งทำจากข้างนอกน่ะ ราคาแพงอยู่นะ เธอซื้อไม่ได้หรอก” โหยวปิ่งตอบ
ชิงหลงหลงเบะปาก “อ๋อ...”
จากนั้นชิงหลงหลงก็จ้องด้วยแววตาว่างเปล่าเหมือนหัวใจเขาที่ว่างเปล่าเช่นกัน แล้วค่อยหยิบส้มขึ้นมาสูดดมกลิ่นเข้าจมูกเต็มฟอด
เวลานี้ วินาทีนี้ มีเพียงกลิ่นหอมของส้มเท่านั้นที่สามารถเยียวยาหัวใจอันปวดร้าวของเขาได้
ขณะที่กำลังสงสารตัวเองนั้น เสียงผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีก็ดังมาจากด้านหลัง “เสี่ยวชิงหลง เธอดูสิว่านี่อะไร”
ชิงหลงหลงหันไปมองอย่างเหี่ยวเฉา จากนั้นตาก็พลันลุกวาว!
เพราะในมือผู้อำนวยการนั้นถือไม้ซึ่งมีมังกรตัวเล็กสีเขียวลำตัวกำลังคดเคี้ยวไปมา แถมยังหอมกลิ่นน้ำตาลอีกด้วย!
หน้าตาดูดีกว่ามังกรบนหน้าเค้กนั่นอีก!!!
อันนี้สวยกว่า!!!
ชิงหลงหลงรีบลุกขึ้นมานั่งทันที แม้จะทำส้มตกลงบนเตียงไปหนึ่งลูกก็ยังไม่สนใจ เพราะตอนนี้เขาเอาแต่จ้องตาไม่กะพริบไปยังมังกรที่ทำจากน้ำตาลปั้น
โหยวปิ่งยื่นมังกรน้ำตาลปั้นไปตรงหน้าชิงหลงหลงแล้วพูดยิ้มๆ “ให้เธอ”
ชิงหลงหลงสูดลมหายใจลึก ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีในเวลานี้ช่างหล่อเหลาจนน่าสังเวชใจเหลือเกินในสายตาหลง!
เขาฉกเอาไม้ในมือผู้อำนวยการมาอย่างลิงโลดพร้อมพูดเสียงดังใส่ “หลงยกโทษให้คุณก็ได้!”
แต่บนหน้าเด็กหนุ่มมีสิ่งที่คิดในใจเขียนไว้หมดแล้ว โหยวปิ่งจึงอดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะยื่นเค้กไปหน้าเสี่ยวชิงหลง “กินเค้กก่อนสิ กินอิ่มแล้วค่อยกินน้ำตาลรูปมังกรนี่”
ชิงหลงหลงชะงักงัน “เค้ก เค้กนี่ก็ให้หลงกินเหรอ”
“ไม่อยากกินเหรอ” โหยวปิ่งเลิกคิ้ว ทำท่าจะเก็บเค้กกลับ
“อยากครับ!” ชิงหลงหลงรีบคว้าแขนเสื้อผู้อำนวยการนิสัยไม่ดี...ไม่ จะเรียกผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีไม่ได้แล้ว!
ผู้อำนวยการคนดีที่สุด!
ชิงหลงหลงจับแขนเสื้อผู้อำนวยการแน่นพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง จากนั้นจึงส่งยิ้มอย่างเด็กน่ารักไปให้ “อยากกินครับ”
โหยวปิ่งหยิบช้อนคันใหม่แล้วตักเค้กส่งให้เสี่ยวชิงหลง
มือหนึ่งของชิงหลงหลงรับเค้กมา ส่วนอีกมือก็จับมังกรน้ำตาลปั้นไม่วาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสราวดอกไม้แรกแย้ม
หลังจากดมจนพอใจแล้ว ชิงหลงหลงก็วางมังกรน้ำตาลปั้นไว้ตรงรอยแยกของลิ้นชักข้างเตียง จากนั้นหยิบช้อนมาแล้วตักเค้กเข้าปากคำใหญ่
โหยวปิ่งมองเสี่ยวชิงหลงที่ทำตัวราวกับเด็กน้อยกินเค้กด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเสี่ยวชิงหลงคนนี้น่ารักดี
“เอ้อ เสี่ยวชิงหลง คืนนี้จะยังไปออกผจญภัยกับฉันไหม”
ชิงหลงหลงที่ยัดเค้กเต็มปากหันไปมองโหยวปิ่งด้วยสายตาที่เหมือนมองดวงดาวบนท้องฟ้า
เขาพยักหน้าหงึกหงัก “ไปครับๆ! คุณจะพาไปไหนก็ไปเลย!”
เห็นชิงหลงหลงมีความสุขเช่นนี้ โหยวปิ่งก็ยิ่งอยากหยอกเย้า เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ถ้าอย่างนั้นไปพื้นที่ห้ามเข้าตรงหลังเขาไหม”
“แค่ก...” ชิงหลงหลงถึงกับสำลัก เขากลอกตาพลางทุบอกตัวเอง
โหยวปิ่งรีบยื่นมือไปหวังจะช่วย...
ทว่าชิงหลงหลงกลับตกใจจนกลืนเค้กดังเอื๊อก แล้วรีบหดตัวหนีห่างทันที
เขาพิงตรงมุมเตียงมองโหยวปิ่งด้วยแววตาดุร้าย ก่อนจะตักเค้กเข้าปากอีกคำใหญ่ “หลงกินอิ่มก็ง่วงแล้ว! ไม่อยากไปที่ไหนทั้งนั้น!”
“อ้อ...” โหยวปิ่งฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว “อย่างนั้นถ้ากินไม่อิ่มก็ไปที่อื่นได้สิ”
พูดจบโหยวปิ่งก็มองเค้กในมือชิงหลงหลงแล้วทำท่าคิดอะไรบางอย่าง
ชิงหลงหลงตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงใดออกมา เขาเอาแต่ยัดเค้กเข้าปากตัวเองไม่หยุดจนครีมเปื้อนเลอะเทอะไปหมด มองดูแล้วเหมือนแมวที่มีลายตรงหน้า
โชคดีที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์ ไม่อย่างนั้นชิงหลงหลงจะกลับร่างมังกรแล้วกินเค้กให้หมดในคำเดียว เอาให้ผู้อำนวยการจำภาพนี้ไปจนตายเลย!
โหยวปิ่งไม่ได้ใส่ใจ เขาเอื้อมไปขโมยส้มลูกใหญ่มาหนึ่งลูก!
จากนั้นก็โยนเล่นไปมาในมือแล้วส่งยิ้มบางๆ ยั่วยุอีกฝ่าย
“ฮือ...”
ทันใดนั้นชิงหลงหลงก็รู้สึกว่าเค้กในปากไม่หวานขึ้นมา เขาทำหน้ายู่ใส่ “เอาส้มหลงคืนมานะ...หลงไปกับคุณก็ได้ แต่ว่า...แต่ว่าคุณต้องบอกก่อนว่าพื้นที่ต้องห้ามตรงหลังเขามันมีอะไร!”
โหยวปิ่งโยนถุงส้มใส่เตียง พอเห็นดวงตาวาวโรจน์ของชิงหลงหลงแล้วก็ทำมือห้าม “ไม่ถาม ไม่พูด แล้วส้มพวกนี้จะให้เธอทั้งหมด”
ชิงหลงหลงถลึงตาโตใส่ผู้อำนวยการ เจ้าผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีนี่คิดว่าเขาเป็นมังกรแบบไหนเนี่ย!
เขาไม่ได้เป็นมังกรที่จะซื้อได้ง่ายๆ นะ!
แต่ว่า...
ชิงหลงหลงสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ กลิ่นส้มมันช่างหอมเสียจริง...
แล้วส้มนี่ก็สดใหม่มากๆ เลยเหมือนกัน
“เสี่ยวชิงหลง...ไปไหม” โหยวปิ่งถาม
“...ไปครับ!”
โอ๊ย จริงด้วยสิ! เขายังเป็นมังกรเจ้าเล่ห์ที่จะต้องแลกเปลี่ยนข้อตกลงด้วยนี่!
แล้วก็ยังเป็นมังกรที่เอาชนะหัวใจอันแสนจะจิตใจดีของตัวเองได้อีกด้วย
ชิงหลงหลงเก็บส้มทั้งหมดไว้ เพราะกลิ่นหอมของส้มนั้นสามารถเยียวยาจิตใจที่ถูกทรมานของเขาได้ดีมาก
เขาปลอบใจตัวเองในใจ อย่างไรเสียห้องนี้ก็มีเพียงมังกรหนึ่งตัวและคนอีกหนึ่งคน นอกจากผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีนั่นแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาแลกเปลี่ยนอะไรกัน และคนอื่นๆ ก็จะไม่มีวันรู้ว่าเขาเป็นมังกรเจ้าเล่ห์
หลังจากกินเค้กหมดแล้ว โหยวปิ่งก็โบกมือให้ชิงหลงหลงที่ใบหน้ายังคงเปื้อนครีมเนยอยู่ “หยิบน้ำตาลปั้นแล้วไปกับฉัน! Go!”
เมื่อออกจากห้องมาแล้ว ชิงหลงหลงที่หน้าเปื้อนครีมเนยเหมือนลายแมวก็แลบลิ้นเลียน้ำตาลปั้นรูปมังกร จากนั้นก็พลันสังเกตเห็นผลไม้สีส้มในมือผู้อำนวยการกะทันหัน
ทำไมถึงเหมือน...ส้มของหลงเลยนะ
???
ใบหน้าชิงหลงหลงยังคงเปื้อนครีมเนย แต่ก็แลบลิ้นเลียน้ำตาลปั้นรูปมังกรอย่างลังเล
เขากลัวว่าตัวเองจะตาฝาด ดังนั้นจึงส่องไฟฉายในมือไปทางนั้น...
ส้มจริงๆ ด้วย!!!
“คุณเอาส้มหลงไป!!!” ชิงหลงหลงโมโหจนควันออกหูทันที
“ต่อให้เป็นส้ม ก็นับว่าเป็นของเธอหมดเลยเหรอ เสี่ยวชิงหลง ทำไมเธอถึงเป็นคนแบบนี้นะ” โหยวปิ่งยิ้มบางๆ
ชิงหลงหลงหน้าแดงเพราะถูกพูดแบบนั้นใส่ จึงถามอึกอักกลับไป “คุณ...คุณไม่ได้ให้ถุงส้มนั่นกับหลงเมื่อกี้หรือไง”
“แล้วจะไม่อนุญาตเหลือให้ฉันกินเองสักลูกเลยเหรอ” โหยวปิ่งถาม
“อ้อ...หลงเข้าใจคุณผิดแล้ว ขอโทษครับ”
ชิงหลงหลงเอ่ยขอโทษอย่างว่านอนสอนง่าย ทั้งยังคิดว่าความรู้สึกสำนึกผิดของเขานั้นเร็วเกินไปแล้ว
นี่เป็นการทำให้เผ่ามังกรต้องขายหน้าแล้ว! เขารู้สึกผิดในใจมากทีเดียว
โหยวปิ่งยังพูดอีกว่า “แต่ส้มลูกนี้ก็เป็นของเธอจริงๆ นั่นล่ะ”
“ว่ายังไงนะครับ!?” ชิงหลงหลงหน้าเครียดทันใด แล้วความรู้สึกผิดในใจก็โดนถีบออกไปอย่างรวดเร็ว!
ความรู้สึกผิดอะไรนั่นเป็นของปลอม! เพราะไอ้ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีนี่น่ารังเกียจจริงๆ!
“คืนส้มของหลงให้หลงเลยนะ!”
โหยวปิ่งเอ่ยยิ้มๆ โดยที่ไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ “มือหนึ่งถือมังกรน้ำตาลปั้น อีกมือถือกระบอกไฟฉาย แล้วเธอจะมีมือไหนถือส้มล่ะ ฉันเลยช่วยเธอถือไง เธออยากกินเมื่อไรก็ค่อยคืนให้”
ชิงหลงหลงไม่เชื่อในคำพูดของผู้อำนวยการ จึงพูดกลับไปว่า “คุณก็ถือไฟฉายไปสิ เอาส้มมาให้หลง!”
“เธอแน่ใจนะ” โหยวปิ่งยิ้มโชว์ฟันขาวด้วยท่าทางประหนึ่งว่าแผนชั่วดำเนินการสำเร็จแล้ว
“แน่ใจครับ”
ชิงหลงหลงไม่ได้รับรู้ท่าทางประหลาดของโหยวปิ่ง ดังนั้นจึงเดินไปเปลี่ยนกระบอกไฟฉายในมือตัวเองเป็นส้ม
จากนั้นก็เอาผลส้มมาจ่อตรงจมูก สูดดมกลิ่นหอมเข้าไปแรงๆ แล้วก็เลียมังกรน้ำตาลปั้นแผล็บๆ ด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าต่อให้ตายก็ต้องรักษาอาหารตัวเองไว้ให้ได้
โหยวปิ่งถือไฟฉายสองกระบอกแล้วหัวเราะฮ่าๆ “เผ่ามังกรอดอยากหรือไง ถึงทรมานเสี่ยวชิงหลงจนเป็นแบบนี้”
“โทษคุณนั่นล่ะ!” ชิงหลงหลงแยกเขี้ยวตำหนิ “ไม่ใช่เพราะคุณที่ใส่ยาในข้าวนั่น! มันขมจนไม่อร่อยเลยสักนิด พอกินเสร็จก็อยากนอน ทำหลงซึมเศร้าไปหมดแล้ว! มันทำร้ายหัวใจหลงมากเลย! คุณมันไอ้ฝ่ายรุกนิสัยไม่ดี!”
“หา?” ข้อสรุปสุดท้ายทำเอาโหยวปิ่งเลิกคิ้ว “เสี่ยวชิงหลง เธอมั่นใจเหรอว่าฉันเป็นฝ่ายรุกนิสัยไม่ดี”
“ใช่! คุณเป็นฝ่ายรุกนิสัยไม่ดี! หลงอ่านเจอมา ในหนังสือก็เขียนแบบนี้หมดเลย!”
ชิงหลงหลงเดินตามหลังโหยวปิ่งราวกับเป็นหางน้อย แถมยังต่อว่าเพื่อนร่วมทีมเพียงคนเดียวในเวลานี้อย่างหาญกล้า
"คุณเป็นฝ่ายรุกนิสัยไม่ดี แล้วหลงก็คือฝ่ายรับน่าสงสารที่โดนคุณทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ แล้วยังจะเอาแต่รักโงหัวไม่ขึ้นด้วยนะ หลงน่ะเป็นฝ่ายรับผู้แข็งแกร่...ไม่สิ ไม่ได้เป็นฝ่ายรับ! ถูกคุณพาออกไปไหนก็ไม่รู้! หลงก็คือหลง! แล้วหลงก็คือมังกร!”
โหยวปิ่งกระตุกยิ้มมุมปากแล้วคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรก็ช่าง เพราะต่อให้เป็นมังกร เขาก็ปราบได้อยู่ดี
ทั้งสองคนมาถึงด้านหลังภูเขาแล้ว ชิงหลงหลงจึงพลันสังเกตได้ว่าเหมือนผู้อำนวยการไม่ได้คุยอะไรกับเขามาสักพักใหญ่ๆ แล้ว
ท้องฟ้ามืดครึ้มและสายลมพัดแรงจนหัวใจหลงเต้นตูมตามไม่หยุด
ชิงหลงหลงแอบถามหยั่งเชิงว่า “คุณพูดอะไรหน่อยสิ หลงไม่ได้เป็นมังกรงี่เง่าไร้เหตุผลนะ คุณมีสิทธิ์ที่จะคัดค้านปฏิเสธ!”
“เสี่ยวชิงหลง” เสียงของโหยวปิ่งฟังดูไม่ได้จริงจังขนาดนั้น แต่ก็รู้สึกทุ้มต่ำกว่าปกติ
“หือ” ชิงหลงหลงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด
โหยวปิ่งเงียบไปหลายวินาทีแล้วจึงถามว่า “เธอรู้ไหมว่าอาจจะมีวิญญาณถึงสองดวงในร่างกายคนเรานะ”
ชิงหลงหลงกะพริบตาปริบๆ หัวใจเต้นเร็วจนเกือบจะพุ่งแตะระดับร้อยแปด
เขารีบเลียมังกรน้ำตาลปั้นคำหนึ่งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ จากนั้นอ้าปากอยู่หลายต่อหลายครั้งจึงค่อยถามกลับไปอย่างลังเล “ได้...เหรอครับ”
โหยวปิ่งพูดเสียงกระซิบ “เป็นไปได้อยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องเล่าที่บอกว่าผีสิงร่างได้ยังไงกันล่ะ ก็ต้องมีหนึ่งวิญญาณคน...แล้วก็หนึ่งวิญญาณผีสิ”
ชิงหลงหลงสูดอากาศเย็นเข้าปอดแล้วก้าวเล็กๆ สองก้าวไปอยู่ข้างกายโหยวปิ่ง “ตอนนี้ขอเปลี่ยนส้มเป็นกระบอกไฟฉายได้ไหมครับ”
“แต่...ฉันไม่อยากได้ส้มแล้ว”
ชิงหลงหลงเงยหน้าขึ้นมาแล้วก็เห็นโหยวปิ่งเผยสีหน้าชั่วร้ายแบบที่ปกติไม่เคยได้เห็น มันดูเหมือนผียายแก่ที่จะจับมังกรไปกินมากทีเดียว!
เขาเผลอส่งเสียงร้องฮือแล้วถอยหลังออกไปสองก้าวทันที...
โหยวปิ่งหันหน้ามา ก่อนเดินรุดไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจชิงหลงหลง
รอบด้านนั้นมืดจนมองอะไรไม่เห็น ชิงหลงหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงทำได้เพียงก้าวตามไปเท่านั้น
จากนั้นชิงหลงหลงก็ได้ยินโหยวปิ่งพูดว่า...
“เวลาเดินตอนกลางคืนน่ะ ถ้าเดินเป็นคู่ก็ห้ามแยกจากอีกคนเป็นอันขาด เพราะเมื่อไรที่แยกกันแล้ว ถ้ากลับมาเจอกันอีกที อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ใช่คนแล้วก็ได้...”
ชิงหลงหลงตกใจจนเผลอกำมังกรน้ำตาลปั้นในมือแน่น แล้วค่อยเสนอด้วยเสียงสั่นเพราะหวาดกลัวว่า “ไม่อย่างนั้น...เรากลับกันไหมครับ”
พอพูดจบ ชิงหลงหลงก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านไป
และเมื่อตั้งใจมองอีกครั้ง ด้านหน้าก็ไร้เงาของผู้อำนวยการแล้ว
ชิงหลงหลงตกใจจนรีบมองหารอบตัว แต่กลับพบแค่เพียงความมืดมิด
“อ๊ะ!!! ฮือ...” ชิงหลงหลงเบะปากส่งเสียงร้องฮือออกมาทันที แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงดังเกินไปเพราะกลัวว่าจะไปปลุกวิญญาณผีตนไหนก็ไม่รู้ในความมืดเข้า เด็กหนุ่มร้องหาโหยวปิ่งเสียงสั่นเครือ “ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดี...ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดี...ฮือ ผู้อำนวยการ...ขอร้องล่ะ คุณเลิกแกล้งได้แล้ว ออกมาเถอะนะ! คุณไม่ใช่คนนิสัยไม่ดีแล้ว...คุณนิสัยดีมากๆ เลย ฮือ...”
เขาเรียกอยู่รอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยินใครตอบอะไรกลับมา
ตอนเดินมาเขาก็เอาแต่เลียมังกรน้ำตาลปั้นจนไม่ได้มองทางให้ดี พอถึงเวลานี้จึงย่อมไม่รู้ว่าต้องกลับทางใด
ชิงหลงหลงหมุนตัวไปรอบๆ ในความมืดโดยไม่รู้ทิศทางราวกับสุนัขที่โดนทอดทิ้งจนหางตก
พอหมุนตัวไปได้สักพักก็รู้สึกถึงความหิว มังกรน้ำตาลปั้นยังกินไม่ทันหมดก็แกะส้มออกมากินต่อ
พอกินส้มเสร็จก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวตรงพุ่มไม้ท่ามกลางความมืด เขาตกใจจนส่งเสียงร้องไห้โฮดังลั่น “ผู้อำนวยการ! ผู้อำนวยการ มีอะไรก็ไม่รู้ ฮือๆๆๆ...”
# # #
ขณะเดียวกัน ภายในห้องที่อยู่ไม่ไกลจากชิงหลงหลง
ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียง เสียงที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความง่วงงุนและหงุดหงิด “นายมาห้องฉันทำไมตอนดึกๆ ดื่นๆ แล้วเด็กที่กำลังร้องไห้อย่างกับผีนั่นใคร นายพามาเหรอ”
“ชู่...พี่เบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวเขาได้ยิน”
โหยวปิ่งมองชิงหลงหลงที่ทำท่าหวาดกลัวน่าสงสารแต่ดูไม่สมจริงอยู่ด้านนอก แล้วก็ยิ้มออกมาเหมือนหนูที่ขโมยเนยมาได้
พี่ชายของโหยวปิ่งที่ชื่อโหยวหลินมองน้องชายตัวเอง เห็นอีกฝ่ายที่กำลังพิงขอบหน้าต่างมีแววตาเป็นประกาย ท่าทางโรคจิตน่ากลัว ก็รู้สึกว่าไร้คำพูดจะเอื้อนเอ่ย...
หลังจากเงียบกันไปไม่นานนักก็พูดขึ้นว่า “ถ้านายงานไม่ยุ่งก็พักผ่อนซะบ้าง วันๆ เอาแต่อยู่กับคนไข้จะเครียดมากๆ เอาได้ ถ้ามีเวลาก็ลองไปหาหมอคนอื่นแล้วให้เขาเช็กดูบ้างก็ได้”
“มีอะไรก็พูดตรงๆ เลยสิ” โหยวปิ่งพูดโดยไม่หันกลับมามอง
โหยวหลินจึงพูดว่า “...ฉันสงสัยว่านายจะเป็นบ้า”
โหยวปิ่งหันกลับมามองพิจารณาพี่ชายด้วยสายตาประหลาด “พี่อาการกำเริบอีกแล้วเหรอ”
โหยวหลินคลึงหน้าผากแล้วพูดด้วยเสียงฉุนเฉียวอยู่สักหน่อย “ตอนนี้ฉันต่างหากที่สงสัยว่านายอาการกำเริบ นายดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ฉันป่วยอยู่ จำเป็นต้องได้รับการพักฟื้น! พักฟื้น! แล้วนี่ก็เป็นคำสั่งจากหมออย่างนายที่บอกให้ฉันพักฟื้น แล้วตอนนี้มันอะไรกัน เที่ยงคืนดึกดื่นไม่หลับไม่นอนวิ่งฝ่าความมืดมาที่นี่ แถมยังปล่อยให้เด็กมาร้องไห้ตัวสั่นงันงกร้องเรียกหานาย ส่วนตัวเองก็มาเกาะหน้าต่างห้องฉันแอบมองเหมือนคนโรคจิตแบบนี้ นายลองมองตัวเองตอนนี้ดู ยังมีหน้ากล้ามาถามว่าอาการฉันกำเริบไหมอีก ฉันว่านายน่ะสิอาการกำเริบ!”
โหยวปิ่งยิ้มเห็นฟัน “พี่ เล่นซ่อนแอบไหม”
โหยวหลินสูดลมหายใจลึก แล้วพูดเสียงลอดไรฟันแต่ชัดเจนว่า “ไสหัวไป”
พร้อมกับที่เสียงเด็กหนุ่มที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลดังขึ้น “ผู้อำนวยการ...ผู้อำนวยการใจดี...คุณออกมาเถอะนะ หลงขอร้องล่ะ”
โหยวหลินกลอกตาใส่ “แล้วก็ลากเด็กผีที่เอาแต่ร้องไห้ด้านนอกนั่นไปด้วยนะ”
โหยวปิ่งเกาะหน้าต่างมองอย่างสนุกสนาน “ขอผมดูอีกหน่อย พี่ดูท่าทางเขาสิ น่ารักจะตาย”
พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ทำให้โหยวหลินรู้สึกประหลาดใจเหลือเกิน
นี่เป็นครั้งแรกที่น้องชายประสาทของเขาคนนี้ชมใครสักคนว่าน่ารัก แถมยังเป็นเด็กหนุ่มเสียด้วย...
โหยวหลินเริ่มอยากรู้ ดังนั้นจึงเอื้อมมือไปเลิกผ้าม่านเพื่อมองออกไปด้านนอก
ก็เห็นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังร้องไห้ร้องเรียกหาผู้อำนวยการอย่างระแวดระวังดูน่าสงสาร
อีกฝ่ายตกใจตัวสั่นและเดินวนเวียนไปมาอย่างไร้ทิศทางในสวน และในขณะที่ตามหานั้นก็เลียอะไรบางอย่างในมือแผล็บๆ บ้างเป็นบางครั้ง
เขาดูอยู่สองนาที...
แล้วโหยวหลินก็ทายว่า “นี่คือ...เด็กหนุ่มสติไม่ดีคนใหม่ที่โรงพยาบาลเพิ่งได้รับตัวมาเหรอ”
“จิ๊!” โหยวปิ่งดูไม่ค่อยชอบใจแล้ว “พี่ ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะ อะไรคือเด็กหนุ่มสติไม่ดี เด็กคนนี้ฉลาดออกจะตาย!”
โหยวหลินมองน้องชายเต็มสองตาอย่างพิจารณา “พอนายบอกว่าเขาฉลาด ฉันก็เริ่มสงสัยแล้วว่าหรือนายจะสติไม่ดีแทน”
โหยวปิ่งเบะปากไม่พอใจ แต่ก็ยังแอบมองเสี่ยวชิงหลง ไม่สนใจพี่ชายตัวเอง
โหยวหลินเบื่อน้องตัวเอง
ผ่านไปอีกสองนาทีเขาก็เริ่มได้กลิ่นตุๆ “เฮ้ย...มันก็ดูแปลกๆ นะ! ทำไมจู่ๆ ถึงมาใส่ใจเด็กหนุ่มสติไม่ดีคนนี้ล่ะ แถมยังดูชอบใจที่เขามาร้องไห้เรียกหานายตอนดึกดื่นอีก หรือนาย...ชอบเขาเหรอ”
โหยวปิ่งถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน “ก็ได้ ไม่กวนพี่แล้ว ขืนอยู่ต่อไปเดี๋ยวพี่ก็จะจินตนาการอะไรออกมาอีก พี่ก็พักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้ผมจะมาตรวจสภาพจิตใจของพี่นะ บาย~”
โหยวหลินตอบกลับว่า “เฮ้ย! กลับมาก่อน!”
โหยวปิ่งไม่ไม่ได้กลับไป แต่กลับรีบเร่งฝีเท้าออกจากห้องทันที...
โหยวหลินจึงมองไปทางหน้าต่าง
ก็เห็นว่าน้องชายตัวเองค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้พร้อมสังเกตการณ์เด็กหนุ่มคนนั้นราวกับโจรกำลังดักซุ่ม
ชิงหลงหลงคิดว่าตัวเองไม่ควรไปเชื่อคำพูดของผู้อำนวยการตูดหมึกนั่นอีก!
ตั้งแต่นี้ต่อไปเขาจะไม่ออกไปไหนมาไหนกับผู้อำนวยการอีกแล้ว!
ต่อให้ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีจะให้ส้มเขาเป็นคันรถก็จะไม่ยอมอีกแล้ว!
ต่อให้เพิ่มมังกรน้ำตาลปั้นอีกคันรถก็ด้วย!
แต่ว่า...
“ฮือ...ผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการคนดีครับ~ คุณอยู่ไหนอะ”
“ชิงหลงหลง”
“เชี่ย!” ชิงหลงหลงตกใจสะดุ้งโหยงจนถอยไปก้าวหนึ่งทันทีพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว เขาเพ่งมองและพบว่ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้
นั่นมันผู้อำนวยการนิสัยไม่ดี!!!
“ชิงหลงหลง ทำไมคลาดกันแป๊บเดียวก็ไม่เห็นเธอแล้วล่ะ”
ชิงหลงหลงตะลึงงัน
ผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีนั่นมักจะเรียกเขาว่าเสี่ยวชิงหลงมาตลอด แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเรียกเขาว่า...ชิงหลงหลงกัน
“ชิงหลงหลง ทำไมไม่มานี่ล่ะ”
แม้จะได้ยินอย่างนั้น แต่ชิงหลงหลงกลับไม่เดินเข้าไปหา เขากำไม้เสียบมังกรน้ำตาลปั้นแน่นแล้วถอยหลังไปอีกสองก้าว ตอนนี้ตื่นตระหนกจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
โหยวปิ่งเดินหน้าตาไร้ความรู้สึกออกมาจากใต้ต้นไม้ ท่าทางราวกับคนที่วางแผนไม่ดีมา “ชิงหลงหลง ตามฉันมาสิ”
ชิงหลงหลงตัวสั่นระริก ภายในสมองเต็มไปด้วยเรื่องที่ผู้อำนวยเล่าให้ฟังมากมาย ซึ่งก็คือเวลาเดินตอนกลางคืน ถ้าเดินเป็นคู่ก็ห้ามแยกจากอีกคนเป็นอันขาด เพราะเมื่อไรที่แยกกันแล้ว ถ้ากลับมาเจอกันอีกที อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ใช่คนแล้วก็ได้...
“หลง...หลง...” ชิงหลงหลงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “หลงไม่ไปกับคุณ”
โหยวปิ่งจึงฉีกยิ้มประหลาดออกมา “ไม่ไปกับฉันแล้วเธอจะไปไหนล่ะ”
“ฮึก...” ชิงหลงหลงส่งเสียงร้องไห้แม้น้ำตาจะไม่ไหล เขาเป็นมังกรอาภัพยังไม่พอ ยังต้องมาเจอผียายแก่อีกเหรอ!
ผู้อำนวยการตัวจริงต้องโดนผียายแก่จับไปซ่อนแน่ๆ เลย!
“ทำไมไม่พูดล่ะ!?” โหยวปิ่งเดินเขยิบเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว
“อ๊าก!” ชิงหลงหลงล้มลงไปกองกับพื้นเพราะรีบร้อนถอยหลังจนก้าวไม่มั่นคง และด้านหลังก็เป็นต้นหญ้าสูงอ่อนนุ่ม
ชิงหลงหลงที่นั่งขาเปลี้ยอยู่รับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นจากพื้นหญ้าด้านล่าง มังกรน้ำตาลปั้นเกือบร่วงหลุดมือ
ชายหนุ่มรู้ดีว่ามากเกินไปแล้ว เพราะถ้าหากเขาทำให้เสี่ยวชิงหลงตกใจจนมังกรน้ำตาลปั้นหลุดมือไปจริงๆ เจ้าเด็กนี่จะต้องสู้กับเขาแน่นอน
ดังนั้นโหยวปิ่งจึงแสร้งกลับมามีท่าทีปกติ “เสี่ยวชิงหลง ทำไมตกใจแบบนั้นล่ะ ฉันหน้าตาน่ากลัวเหรอ”
ชิงหลงหลงตะลึงงันไป เขาจ้องผู้อำนวยการพร้อมสะอื้นไห้เพราะไม่แน่ใจว่าผียายแก่กำลังหลอกเขาอยู่หรือเปล่า
“พวกเราไม่ได้จะไปผจญภัยด้านหลังเขาด้วยกันเหรอ ทำไมพอแยกกันแค่แป๊บเดียวเธอก็ทำตัวแปลกๆ ไปแล้วล่ะ เสี่ยวชิงหลง เธอไม่ได้กลัวอยู่หรอกใช่ไหม” โหยวปิ่งตั้งใจใช้คำถามเชิงรุก
ชิงหลงหลงยืนยันตัวตนอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า และรู้สึกว่านี่เหมือนจะเป็นผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีตัวจริงแล้ว เขาจึงกัดปากกระฟัดกระเฟียด “หลงไม่ได้กลัว! คุณต่างหากที่ทำตัวแปลกๆ!”
“เสี่ยวชิงหลงรีบลุกขึ้นมาเร็ว พื้นมันเย็นนะ”
โหยวปิ่งยื่นมือไปกอดเอวเสี่ยวชิงหลงแน่นเพื่อพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมา พลางนึกในใจว่าเจ้าเด็กนี่เอวบางทีเดียว
ชิงหลงหลงเกาะไหล่แข็งแรงของผู้อำนวยการแล้วยันตัวขึ้นมายืน เด็กหนุ่มรู้สึกว่าสัมผัสที่มือนี้ดีมากจึงอดจะแอบบีบเบาๆ ไม่ได้
โหยวปิ่งไม่ได้ใส่ใจ เขาหันไปปัดเศษหญ้าที่เปื้อนกางเกงให้เจ้าเสี่ยวชิงหลง
ทั้งที่ไม่ได้ปัดแรงอะไร แต่ฝ่ามือกลับชื้น...
“เสี่ยวชิงหลง เธอ...ฉี่เหรอ” โหยวปิ่งตกใจ
ชิงหลงหลงโมโหจนควันออกทันที เด็กหนุ่มผลักผู้อำนวยการนิสัยไม่ดีให้ออกห่างพลางแยกเขี้ยวใส่ “คุณน่ะสิฉี่! หญ้ามันเปียก! มันเปียก! ต่อให้คุณนั่งคุณก็เปียก! อ๊ากกกกกกกกกกก!!! ผู้อำนวยการคนชั่ว! ต่อจากนี้หลงจะไม่ออกมากับคุณอีกแล้ว!! ไอ้ฝ่ายรุกขี้แกล้ง! คนเลว! คนหลอกลวง!”
พลันเกิดเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นมา
โหยวหลินในชุดเสื้อคลุมยืนตบหน้าผากอยู่ตรงประตูแล้วพูดเสียงเข้มว่า “ถ้าพวกนายจะเถียงกันก็ไปเถียงที่อื่น ฉันไม่สนใจว่าพวกนายจะจีบหรือพลอดรักกัน แต่การมาทำเรื่องวุ่นวายในที่ของฉันตอนดึกดื่นเที่ยงคืน ถ้าฉันหาอะไรมาฟันพวกนายก็อย่าโทษว่าอาการฉันกำเริบแล้วกัน!”
เมื่อเห็นโหยวหลินปรากฏตัวออกมาพร้อมอาการบ้าคลั่ง โหยวปิ่งก็ไม่กล้าเล่นใหญ่อีก เขารีบลากเสี่ยวชิงหลงจากไป “ไปๆ พวกเรากำลังจะไปแล้ว ไม่รบกวนแล้วล่ะ! เจอกันครับๆ...”
เมื่อเดินออกมาจากหลังเขาแล้ว ชิงหลงหลงก็ถามด้วยความตกใจว่า “นั่นใครเหรอครับ”
คนที่สามารถกำราบผู้อำนวยการได้ต้องเป็นคนที่เก่งมากแน่ๆ!
“พี่ชายฉันเอง” โหยวปิ่งตอบพลางพาเสี่ยวชิงหลงกลับ “เขาด้านหลังนี้เป็นเขตของพี่ชายฉัน เธอดูสิ เธอเสียงดังจนทำให้เขาโมโหเลย”
ชิงหลงหลงขมวดคิ้วพลางเลียมังกรน้ำตาลปั้น ในใจรู้สึกผิดอยู่สักหน่อย
พอลองคิดดีๆ แล้วก็จริงอย่างที่ผู้อำนวยการว่า เป็นเพราะเขาเสียงดังจนไปรบกวนการพักผ่อนของคนอื่น
แต่...ทำไมต้องรู้สึกผิดขนาดนี้ด้วยนะ!
ท่ามกลางความมืดนั้น โหยวปิ่งแอบกระตุกยิ้มจนกลัวว่าจะหลุดหัวเราะออกมาจนเสี่ยวชิงหลงโกรธเขาอีก
“ถ้าอย่างนั้น...ด้านหลังเขาก็ไม่มีผียายแก่ แล้วก็ไม่มีมนุษย์ต่างดาวสินะครับ ก็มีแค่พี่ชายคุณอาศัยอยู่ที่นั่นเหรอ” ชิงหลงหลงสงสัย
“อือฮึ คืออย่างนี้นะ เขาเองก็เป็นผู้ป่วยเหมือนกัน เขาเป็นโรคไบโพลาร์น่ะ เวลาอาการกำเริบก็จะกินมังกร! เธอเองก็ต้องระวังไว้สักหน่อยนะ!”
ชิงหลงหลงกระฟัดกระเฟียดอีกแล้ว “โกหกหลง แล้วยังมาทำให้หลงตกใจอีก ต่อไปนี้หลงจะไม่ออกมากับคุณแล้ว!”
โหยวปิ่งส่งเสียงหึๆ ไม่ตอบอะไร ทว่ากลับเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “ก่อนหน้านี้น่ะมีมังกรตัวน้อยที่กำลังเดินเล่นอยู่...”
ชิงหลงหลงหูตั้งทันควัน...
“เขาเดินเล่นอยู่ใช่ไหม ทีนี้ไม่ระวังจนทำเกล็ดใต้คอตัวเองหายไป” โหยวปิ่งเล่าต่อ
ชิงหลงหลงพ่นเสียงหึออกมาจากจมูกแล้วเลียมังกรน้ำตาลปั้นแผล็บๆ
“เขาก็เดินไปเรื่อยๆ แล้วก็ทำหางตัวเองหาย”
ชิงหลงหลงเริ่มโมโหแล้ว “หลงไม่ได้ทำหางหาย! หางหายไม่ได้! ผู้อำนวยการน่ารังเกียจ!”
โหยวปิ่งเลิกคิ้วแล้วพูดยิ้มๆ “ใครเขาว่ามังกรตัวน้อยนั่นคือเธอล่ะ โลกนี้มีเธอเป็นมังกรตัวเดียวหรือยังไง ทำไมถึงคิดว่าเป็นตัวเองกัน ไม่อายเลยนะ!”
ชิงหลงหลงพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกแล้วเลียมังกรน้ำตาลปั้นเงียบๆ
หลงไม่คุยอะไรกับผู้อำนวยการคนนี้แล้ว!
จากนั้นโหยวปิ่งก็พูดเสียงเนิบนาบว่า “แล้วจากนั้นน่ะ มังกรตัวน้อยก็เดินจนหกล้มแล้วก็ฉี่ราดกางเกงเพราะตกใจไง ฮ่าๆๆๆๆๆ...”
“อ๊ากกกกกกกกก! หลงจะฆ่าคุณ!!!”