(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน พวกรังแกหลง มีแต่คนจิตป่วย (เล่มเดียวจบ)

Wednesday

บทที่ 2

เมื่อออกมาจากห้องของเริ่นเอ่อร์แล้ว โหยวปิ่งก็พูดว่า “เมื่อกี้จดสิ่งที่เริ่นเอ่อร์พูดไว้แล้วใช่ไหม เดี๋ยวต่อสายหาครอบครัวเริ่นเอ่อร์แล้วลองคุยเลย ดูว่าจะสามารถหาสาเหตุอาการป่วยเขาได้ไหม ผมรู้สึกว่าการที่คนทั้งโลกเป็นสัตว์ที่มาคอยสอดส่องหลอกเขานี่...น่าสนใจทีเดียว”

พยาบาลจดบันทึกพลางถามโหยวปิ่งว่า “แล้วตู้เท่อล่ะคะ ต้องติดต่อครอบครัวเขาไหม”

“ตู้เท่อนี่ไม่ต้องแล้ว แค่กินยาได้ปกติก็พอ ตอนนี้เขาอยากออกจากโรงพยาบาลมากๆ ขอแค่ไม่ปฏิเสธยาก็พอ แต่ยังต้องติดตามและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับด้านจิตใจ อย่าให้เขากดดันเกินไปล่ะ”

ปากก็พูดไป เท้าก็ไม่หยุดเดิน

ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งสองคนก็เดินมาถึงห้องของชิงหลงหลง

ชิงหลงหลงกำลังละเลียดอาหารเช้าอยู่

อาหารเช้าคนอื่นหมดแล้ว เหลือเพียงชิงหลงหลงที่ค่อยๆ กิน

โหยวปิ่งฉาบรอยยิ้มใจดีอบอุ่นอยู่บนใบหน้า “ไฮ เจ้าลาบ้าน้อย”

“อะไรนะครับ!” ชิงหลงหลงถลึงตาโมโห

โหยวปิ่งพลันเปลี่ยนเรื่องทันใด “อ่า ไม่สิ ฉันพูดผิด ต้องเป็น...เสี่ยวชิงหลง~”

“หึ...”

ชิงหลงหลงก้มหน้ากินอาหารต่อ แต่ในใจนั้นกลับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้ว!

เมื่อวานเขาโดนฉีดยาหนึ่งเข็ม กินข้าวไปก็ไม่อร่อย! ในอาหารก็มีบางส่วนที่มีรสขม ดูก็รู้ว่าผสมยาเข้ามาแน่!

ชีวิตหลงลำบากจัง ฮือ...

โหยวปิ่งลงไปนั่งข้างชิงหลงหลง จากนั้นก็หันไปโบกมือไล่พยาบาล “คุณไปทำงานเถอะ ไม่ต้องบันทึกอาการป่วยของชิงหลงหลงหรอก”

ชิงหลงหลงตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ด้วยความโมโห “ผมไม่ได้ป่วยไง”

“อ๊ะ ใช่แล้ว!” โหยวปิ่งเรียกพยาบาล “พาอู๋ฮ่าวห้องข้างๆ มาที่นี่หน่อยสิ”

ไม่ถึงสองนาทีต่อมา

พยาบาลก็นำอู๋ฮ่าวมาส่ง และไม่ลืมจะล็อกประตูก่อนจากไป

เดิมทีอู๋ฮ่าวมีสีหน้างงงัน แต่พอเข้ามาในห้องแล้วเห็นโหยวปิ่งก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุดัน

เขามองโหยวปิ่งอย่างระแวดระวัง เห็นได้ชัดว่ายังจำบทบาทการขับไล่เพราะความรักได้อยู่

ชิงหลงหลงเหลือบมองแล้วก็อดโกรธกว่าเดิมไม่ได้

นี่ไม่ใช่ไอ้บ้าที่จับเขามาเดือดร้อนที่นี่เหรอ!

โหยวปิ่งเผยรอยยิ้มบางๆ “เอาล่ะ เสี่ยวชิงหลง ตอนนี้เธอต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอไม่ได้ป่วย แล้วฉันจะคืนเกล็ดใต้คอให้เธอ”

ชิงหลงหลงระแวง “จริงเหรอครับ”

โหยวปิ่งตอบ “จริงยิ่งกว่าทองอีก!”

ชิงหลงหลงรีบวางตะเกียบลงแล้วหันหน้ามาคุยกับโหยวปิ่ง “หลงไม่ได้โกหกคุณเลย วันนั้นที่มีดเล่มนั้นบินเข้ามาหา คุณก็เห็น! หลงเป็นองค์ชายของเผ่ามังกรเขียวจริงๆ แล้วก็เพราะว่าไม่มีเกล็ดใต้คอก็เลยต้องมาที่โลกมนุษย์ผ่านทางสระวิเศษเพื่อหาเกล็ดใต้คอ หลงไม่ได้ป่วย! แต่เป็นมังกรจริงๆ!”

อู๋ฮ่าวได้ยินคำพูดชิงหลงหลง แววตาก็พลันเปลี่ยนไป

ทันทีที่ชิงหลงหลงพูดจบ เขาก็ตวาดเสียงดังลั่นทันที “ผมก็เป็นองค์ชายเผ่าเสือขาว แล้วก็เพราะว่าไม่มีเกล็ดใต้คอเลยต้องมาโลกมนุษย์ผ่านสระวิเศษเพื่อหาเกล็ดใต้คอ ผมไม่ได้ป่วย! แต่ผมเป็นเสือขาวจริงๆ!”

ชิงหลงหลงโมโห “นายหุบปากไปเลย! ทั้งหมดที่เกิดนี่ก็เป็นเพราะนายเลียนแบบฉัน!”

อู๋ฮ่าวมองชิงหลงหลงด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว “คนละเผ่าแล้วมีสิทธิ์อะไรมาตวาดฉัน! นายต่างหากที่ต้องหุบปาก!”

ชิงหลงหลงตวาดกลับ “นายเป็นเสือขาวแล้วจะมีเกล็ดใต้คอได้ไงวะ! นายมีแค่ขนโว้ย! มีแค่ขนเข้าใจไหม! ยิ่งไปกว่านั้นคือนายไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเสือขาว! นายเป็นแค่คนบ้า! แถมยังพาฉันมาบ้าด้วย!”

อู๋ฮ่าวถอนหายใจแล้วมองชิงหลงหลงด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ

“ฉันก็ว่าแล้วว่านายดูแปลกๆ ที่แท้นายเป็นบ้านี่เอง!”

ชิงหลงหลงโมโหจนอยากจะระเบิดตัวเองแล้ว!

เขาไม่อยากยุ่งกับคนบ้า เลยหันไปพูดกับโหยวปิ่งว่า “ผู้อำนวยการ วันนั้นคุณก็เห็นมีดเล่มนั้นบินเข้ามาใช่ไหมครับ”

อู๋ฮ่าวเองก็วิ่งมาพูดกับโหยวปิ่งด้วยสีหน้าจริงจังผิดปกติเช่นกัน “ผู้อำนวยการ! วันนั้นคุณก็เห็นว่าผมชุลมุนสู้กับสัตว์ประหลาดใช่ไหม!”

โอ๊ย! หลงโมโหจะตายแล้วนะ!

ชิงหลงหลงเบะปากจะร้องไห้ “หลงเป็นมังกรเผ่ามังกรเขียวจริงๆ”

“ฉันก็เป็นเสือขาวจริงๆ!” อู๋ฮ่าวว่า

ชิงหลงหลงมองโหยวปิ่งตาปริบๆ “คุณส่งเกล็ดใต้คอคืนมา แล้วหลงก็จะเปลี่ยนกลับไปเป็นร่างเดิมให้คุณเห็นเอง”

อู๋ฮ่าวพูดต่อว่า “คุณส่งเกล็ดใต้คอ...ขนคืนผม แล้วผมก็จะเปลี่ยนกลับไปเป็นร่างเดิมให้คุณเห็นเอง! แล้วผมก็จะได้อิทธิฤทธิ์กลับคืน! แล้วจะเสกเพชรนิลจินดามากมายให้คุณเลย!”

ชิงหลงหลงลุกขึ้นยืนแล้วไปผลักอู๋ฮ่าวแรงๆ หนึ่งที จากนั้นก็ขู่ใส่ “กรร~!”

อู๋ฮ่าวนิ่งไปสักพักแล้วจึงค่อยพูดตามอย่างลังเลว่า “กรร...”

ชิงหลงหลงยกขาขึ้นอย่างโมโห ก่อนจะพูดคำว่าไสหัวไปเร็วเกินไปจนเสียงเพี้ยนเพราะว่าโมโหจนลมออกหูจริงๆ!

เขาตวาดลั่น “ฉันจะพูดว่าไสหัวไปซะ! ไปเลยไป๊!”

อู๋ฮ่าวสู้กลับ “นายเป็นคนบ้า นายต่างหากต้องไสหัวไป!”

ชิงหลงหลงร้องไห้สะอื้นพร้อมหันไปมองผู้อำนวยการ เขาหวังว่าผู้อำนวยการจะเชื่อเขา แม้ความหวังนี้จะดูเลือนรางมากก็ตาม

แล้วก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ...

โหยวปิ่งยักไหล่อย่างจนปัญญา “เธอดู เขาพูดไม่ต่างกับที่เธอพูดเลย แล้วเธอจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง”

ดวงตาชิงหลงหลงเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาอุ่น “ขอแค่คุณรับปากว่าจะคืนเกล็ดใต้คอให้ มันจะบินมาที่มือหลงโดยไม่ต้องไปหยิบเลย ไม่เชื่อก็ลองดูครับ”

อู๋ฮ่าวกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง...

โหยวปิ่งจึงหันไปเอ่ยยิ้มๆ ให้อู๋ฮ่าว “ค่อยๆ พูดทีละคนนะ ฉันขอจัดการเรื่องเสี่ยวชิงหลงก่อน จากนั้นเราค่อยมาคุยเรื่องเสือขาว ตกลงไหม”

เห็นได้ชัดว่าอู๋ฮ่าวยอมรับในการจัดลำดับ

ได้ยินแบบนั้นอู๋ฮ่าวก็พยักหน้าหงึกหงัก แล้วหาเก้าอี้นั่งลงตั้งใจรออย่างเชื่อฟังที่ด้านข้าง

โหยวปิ่งหยิบเอามีดเล่มนั้นออกมาจากที่เอวด้านหลังแล้วเอ่ยกับชิงหลงหลงว่า “นี่คือเกล็ดใต้คอเธอใช่ไหม”

ชิงหลงหลงพยักหน้าขึ้นลงราวกับลูกเจี๊ยบกำลังจิกกินข้าวเปลือก แต่กลับถอยไปหลบอยู่ข้างๆ เพราะว่ายังไม่ลืมเรื่องท่าทางเสียสติของผู้อำนวยการบ้าก่อนหน้านี้

โหยวปิ่งแบมือที่มีมีดวางอยู่ แล้วหลุบตาพูดต่อว่า “เอ้า ฉันให้เธอ เอาเกล็ดใต้คอเธอคืนไป”

อีกฝ่ายพูดคืนของให้แล้ว

แต่ชิงหลงหลงกลับไม่รู้สึกถึงสัญญาณใดๆ ที่สื่อว่าเกล็ดใต้คอหวนกลับคืนมาเลย

และมีดเล่มนั้นก็นิ่งสนิท...

“เป็นไปไม่ได้!” ชิงหลงหลงไม่อยากจะเชื่อ เอื้อมมือไปหวังจะฉวยมีดเล่มนั้น

แต่โหยวปิ่งกลับเก็บมีดไว้ที่เอวด้านหลังเช่นเดิม

เขาหันไปคุยกับอู๋ฮ่าวซึ่งอยู่ด้านข้าง “เอาล่ะ ตอนนี้เรามาคุยเรื่องเผ่าเสือขาวกัน อู๋ฮ่าว เธอจะพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ป่วยและเป็นเสือขาวจริงๆ ยังไง”

อู๋ฮ่าวยังคงจำท่าทางดุดันของชิงหลงหลงที่มีต่อตนได้ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าถึงตาตนเองแล้วจึงเบียดชิงหลงหลงไปด้านข้างแทน

ชิงหลงหลงท้อแท้สุดใจ ยิ่งโดนเบียดไปด้านข้างก็ยิ่งรู้สึกเสียใจกว่าเดิม

เขาจึงออกแรงเบียดกลับไปอย่างประชดประชัน เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้บ้านี่จะพูดยังไง!

ทั้งสามคนเบียดเข้าหากันราวกับหมั่นโถวที่เพิ่งออกจากหม้อ บั้นท้ายของพวกเขาพยายามต่อสู้เบียดกันไปมา

ชิงหลงหลงกับอู๋ฮ่าวยังคงพยายามสู้กันไปมา ส่วนโหยวปิ่งนั้นต้องมาร่วมวงด้วยอย่างเสียไม่ได้

โหยวปิ่งจึงลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพร้อมนั่งไขว่ห้างทันที

ผมหยิกลอนนั้นดูเปล่งประกายน่ามอง ทั้งยังดูสูงศักดิ์ทีเดียว

เมื่อเห็นการกระทำของโหยวปิ่งแล้ว ชิงหลงหลงก็ได้สติคืนมา

ทำไมเขาถึงได้มาเบียดกับไอ้บ้านี่ได้นะ!

หลงโมโหฮึ่ม แล้วย้ายมานั่งปลายเตียงเพื่อรอดูว่าไอ้บ้านี่จะพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นเสือขาวอย่างไร

อู๋ฮ่าวกวาดตามองทุกคนหนึ่งรอบ...

สุดท้ายแล้วเขาก็นิ่งมองไปยังปากกาที่เหน็บอยู่บนชุดกาวน์ของโหยวปิ่ง

เขาชี้นิ้วออกไป “นั่นเป็นขนใต้คอของผม ถ้าคุณคืนมันให้ผม ผมก็จะฟื้นคืนอิทธิฤทธิ์และกลับร่างเดิมได้”

และเพราะปากกานี่ไม่สามารถทำอันตรายให้บาดเจ็บได้ ดังนั้นโหยวปิ่งจึงโยนปากกาให้อู๋ฮ่าว “ฉันคืนให้นาย เริ่มแสดงต่อได้เลย”

อู๋ฮ่าวรับปากกามาด้วยความดีใจ จากนั้นก็นิ่งค้างไป

เขาก้มหน้ามองตัวเองด้วยสีหน้าท่าทางอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำไม...ทำไมกัน! ทำไมผมถึงไม่กลับร่างเดิม! อ๊า!”

อารมณ์เขาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกุมหัวร้องเสียงเจ็บปวด “ทำไม! ขนใต้คอผม! หรือพวกเราเผ่าเสือขาวจะจบลงแค่เท่านี้! ทำไมถึงไม่เปลี่ยนล่ะ!”

เขาลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นและเงยหน้ามองฟ้าพร้อมโอดครวญว่า “ทำ! ไม! กัน!”

ชิงหลงหลงตะลึงงันไป

ไอ้บ้านี่แสดงเกินจริงไปไหม!

โหยวปิ่งหันไปยิ้มให้ชิงหลงหลง “เธอดูสิ เขาแสดงได้จริงใจกว่าเธอเสียอีก ถ้าพูดกันตามความรู้สึก ฉันก็อาจจะเชื่อเขามากกว่าสักหน่อย”

ชิงหลงหลง VS. อู๋ฮ่าว

ชิงหลงหลงพ่ายแพ้ไปเรียบร้อย!

ชิงหลงหลงที่พ่ายแพ้ด้านการแสดงให้กับอู๋ฮ่าวไร้ซึ่งความปรารถนาในการแก้ต่างไปฉับพลัน เขาทำเพียงกลับไปนั่งตักข้าวเข้าปากคำใหญ่อย่างหมดอาลัยตายอยาก

สีหน้าโหยวปิ่งเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน พร้อมเอ่ยกับอู๋ฮ่าวเสียงจริงจัง “เอาล่ะ! เลิกเสียงดังกันได้แล้ว! ฉันรู้ว่าเธออยากกลับห้องแล้ว เธอกลับห้องไปซะ! แล้วต่อจากนี้ฉันจะไม่พาเธอออกมาอีกแล้ว!”

อู๋ฮ่าวนิ่งชะงัก สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ก่อนจะพูดกับโหยวปิ่งด้วยน้ำเสียงเริงร่า “อย่างนั้นผมกลับห้องแล้ว!”

พูดจบอู๋ฮ่าวก็เยื้องย่างอย่างมีความสุขและสบายใจไปเปิดประตูกลับห้องตัวเองที่อยู่ข้างๆ ทันที

ชิงหลงหลงเห็นฉากเช่นนี้กับตาแล้วจึงไม่อยากพูดอะไรอีกเลย เขาเอาแต่พึมพำว่า “หลงจะพยายามไม่ให้อาการป่วยกำเริบ เอายาออกจากข้าวได้ไหมครับ” ดวงตาสองข้างเอ่อคลอด้วยน้ำใส “มันขม...เกิน...ไปครับ...”

โหยวปิ่งยิ้มบางๆ “เด็กดี เอายาออกจากข้าวได้สิ แต่เธอต้องตอบฉันมาอย่างหนึ่งก่อนว่าเมื่อวานตีตู้เท่อกับเริ่นเอ่อร์ทำไม”

ชิงหลงหลงทำหน้างง “ใครเหรอครับ”

“สองคนที่เมื่อวานเธอไปตีน่ะ” โหยวปิ่งตอบ

“อ้อ...” ชิงหลงหลงพูดต่อว่า “ฝ่ายรับที่ชอบโดนแกล้งกับฝ่ายรุกขี้โมโหนี่เอง”

ชิงหลงหลงตักข้าวเข้าปากอีกคำ “ผมทนเห็นฝ่ายรับนั่นทำร้ายตัวเองไม่ได้ ผมก็เลยไปตีฝ่ายรุกเพื่อให้ฝ่ายรับเจ็บปวดใจ แล้วฝ่ายรุกก็วิ่งหนีไป ผมก็เลยไปตีฝ่ายรับต่อเพื่อพยายามให้เขาสัมผัสถึงจุดตกต่ำแล้วดึงความภาคภูมิใจของตัวเองกลับมา!”

ใบหน้าโหยวปิ่งไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้เลย จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์อะไรสักอย่าง

ชิงหลงหลงสงสัยว่าอีกฝ่ายทำอะไรนะ

พยายามยืดคอไปดูและเห็นเป็นข้อความว่า ‘ผู้ป่วยมีอาการจิตหลอนขั้นรุนแรง รวมถึงมีการเบี่ยงเบนทางเพศไปทางชอบผู้ชาย’

ชิงหลงหลงโยนถาดอาหารทิ้งด้วยความโมโห “คุณเขียนบ้าอะไรเนี่ย”

โหยวปิ่งเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “มีคนมาคอมเมนต์ในโมเมนต์ ฉันก็เลยตอบกลับไป”

“ขี้โม้! หลงเห็นหมดแล้วเหอะ!”

ดูถูกหลงเกินไปแล้ว!

มีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงหลงแบบนั้น! มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าหลงจิตหลอน!

ชิงหลงหลงโกรธเกรี้ยว “ก็ในหนังสือเขียนแบบนี้นี่! แล้วหลงก็เห็นกับตาว่าฝ่ายรับนั่นตบบ้องหูตัวเอง ส่วนฝ่ายรุกก็เอาแต่ยืนหัวเราะเสียงเย็นชา! นี่ไม่ใช่ความรักที่ทำร้ายกันแล้วคืออะไรล่ะครับ!”

โหยวปิ่งมองชิงหลงหลงแล้วส่งยิ้มอ่อนให้ “ฉันเริ่มอยากรู้แล้วว่าเธออ่านหนังสืออะไรมา แต่ว่า...เดี๋ยวลองทายดูก็ได้”

ชิงหลงหลงพ่นลมหายใจหนักออกมาพลางจ้องโหยวปิ่ง “คุณรังแกหลง! ผู้อำนวยการคนหลอกลวง...”

“ก็ได้ จะไม่รังแกเธออีกแล้ว”

โหยวปิ่งลุกขึ้นยืนแล้วลงไปนั่งข้างชิงหลงหลง “ที่นี่คือโรงพยาบาลจิตเวชของฉัน และสองคนนั้นก็เป็นผู้ป่วยจิตเวชที่อยู่ชั้นเดียวกับเธอ ช่วงนี้เธอไม่ได้ออกไปข้างนอกก็เลยไม่เคยเจอกัน พวกเขาสองคนป่วยเป็นโรคจิตเภทเหมือนกัน แต่อาการเวลากำเริบจะไม่เหมือนกัน ที่เธอเรียกพวกเขาว่าฝ่ายรับที่ชอบโดนแกล้งกับฝ่ายรุกขี้โมโหก็เป็นตอนที่อาการของพวกเขากำเริบ ความจริงแล้วพวกเขาสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย”

ชิงหลงหลงนิ่งชะงักไป “แล้ว...หลงเข้าใจผิดเหรอครับ”

โหยวปิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าเจ็บปวดเหลือแสน “ใช่ เข้าใจผิดแล้ว แถมยังไปตีคนป่วยด้วย”

ชิงหลงหลงตกใจมาก!

หนึ่งร้อยแปดสิบปีที่ผ่านมาเขาเป็นเสี่ยวชิงหลงที่เป็นเด็กดีมาตลอด ทำไมพอมาถึงโลกมนุษย์แล้วถึงทำผิดครั้งยิ่งใหญ่ขนาดนี้กัน!

แถมยังเข้าใจผิดด้วย! ถ้าอย่างนั้นเขาจะเป็นมังกรที่นิสัยไม่ดีหรือเปล่านะ!

บรรยากาศพลันหนักอึ้งไปชั่วขณะ...

สุดท้ายชิงหลงหลงจึงเข้าใจถึงความจริงที่ตัวเองทำเรื่องไม่ดี เขาพิงกับร่างโหยวปิ่งอย่างไร้เรี่ยวแรงและอาศัยความแข็งแกร่งของโหยวปิ่งในการพยุงตัวเองไม่ให้ล้มลงไปกับพื้น

“ถ้าอย่างนั้น...หลงก็เข้าใจผิดมาตลอด หลงเป็นมังกรไม่ดี!”

โหยวปิ่งมองชิงหลงหลงที่ยีผมตัวเองจนยุ่ง แล้วก็ยกมุมปากยิ้ม “ใช่ เธอเป็นมังกรไม่ดี เพราะฉะนั้นเกล็ดใต้คอเลยไม่ต้องการเธอ เผ่ามังกรเขียวก็ไม่ต้องการเธอแล้ว เธออยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชของฉันต่อไปแล้วกัน”

ชิงหลงหลงพยายามดันตัวเองขึ้นมาแล้วก็ล้มไปอีกทาง

เขาลงไปนอนกับเตียง พึมพำเสียงเบาหวิว “ผู้อำนวยการคนหลอกลวง...”

โหยวปิ่งมองชามข้าวที่โดนพุ้ยจนเละเทะไปหมด จากนั้นก็เอ่ยเชิญด้วยความเป็นมิตร “อยากไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกันกับฉันหรือเปล่า จะไม่ใส่ยากล่อมประสาทอะไรลงไปอีกแล้ว”

ชิงหลงหลงตอบทันควัน “ไปครับ!”

 

# # #

 

ในโรงอาหาร...

โหยวปิ่งใช้มีดปอกผลไม้ปอกแอปเปิล

ชิงหลงหลงมองเกล็ดใต้คอตัวเองที่โดนโหยวปิ่งนำกลับไปเหน็บไว้หลังเอวหลังจากปอกแอปเปิลและเช็ดเสร็จตาแป๋ว จนลูกตาเกือบจะเจาะหลังเอวโหยวปิ่งตามเกล็ดใต้คอแล้ว

เมื่อเห็นชิงหลงหลงเป็นแบบนี้ โหยวปิ่งจึงถามว่า “อยากจับด้ามมีดไหม”

ชิงหลงหลงส่ายหน้า “ช่างเถอะครับ”

เขาไม่อยากเจอกับความเจ็บปวดที่เกล็ดใต้คอแยกจากตัวเองเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว

แต่ปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่

ทั้งที่ขอแค่ให้เจ้านายใหม่ของเกล็ดใต้คอยินยอมก็สามารถกลับมายังร่างเดิมได้ แต่ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย

โหยวปิ่งส่งแอปเปิลให้ชิงหลงหลง

ชิงหลงหลงประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายทำแบบนี้ “ให้หลงเหรอครับ”

โหยวปิ่งส่งยิ้มอ่อนโยนบางๆ “อือ เธอยังเป็นเสี่ยวชิงหลงอยู่เลยนี่ ก็ต้องกินให้ร่างกายแข็งแรง”

ชิงหลงหลงรู้สึกมาตลอดว่าผู้อำนวยการคนหลอกลวงไม่น่าจะใจดีขนาดนี้ แต่ก็รับแอปเปิลมากัดเข้าปากอย่างลังเลคำหนึ่ง...

หวาน!

แอปเปิลลูกนี้หวานจริงๆ!

ดวงตาชิงหลงหลงวาวโรจน์ บางครั้งผู้อำนวยการก็เป็นคนดีชะมัด!

เวลานี้ก็มีชายวัยกลางคนถือถาดอาหารที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งมาหาชิงหลงหลง

เขาเอ่ยถามชิงหลงหลงด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เธอเป็นเด็กใหม่ล่ะสิ โรงพยาบาลนี้น่ะมีผี เธอต้องระวังให้ดีเลยนะ กลางค่ำกลางคืนก็อย่าสะดุ้งตื่นขึ้นมาล่ะ”

ชิงหลงหลงใจเต้นแรงจนเกือบสะดุ้งโหยงเพราะตกใจ

เขากลัวผีที่สุด! เพราะผียายแก่ชอบกินมังกร!!!

สีหน้าโหยวปิ่งพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เขากระแอมไอเบาๆ แล้วพูดว่า “คุณลุงตี๋ คุณลุงลืมสิ่งที่ผมคุยกับคุณลุงก่อนหน้านี้ไปแล้วเหรอ”

ตี๋ซือชะงัก ใบหน้านิ่งค้างทันที

หลังจากนั้นก็ปิดปากแล้วโบกมือให้กับทั้งสองคนด้วยท่าทางหวาดกลัวอยู่สักหน่อย ก่อนจะวิ่งถือถาดอาหารหนีไปไกล

ชิงหลงหลงรู้สึกว่าแอปเปิลครึ่งชิ้นในมือไม่หวานเสียแล้ว

เขากลืนแอปเปิล แล้วทำหน้าอยากร้องไห้ตอนที่ถามโหยวปิ่งว่า “ที่นี่มีผีเหรอครับ!”

โหยวปิ่งยิ้มตายิบหยี “ไม่มีหรอก อย่าไปฟังที่เขาพูดมั่วๆ เลย ที่นี่เป็นโรงพยาบาลจิตเวช เธอลืมไปแล้วเหรอ”

“เหรอครับ” ชิงหลงหลงไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เขาเคี้ยวแอปเปิลอย่างลังเล

กินไปได้สองคำก็อดถามออกมาเพราะรู้สึกหวาดหวั่นในใจไม่ได้ “หลงขอย้ายไปอยู่ห้องคู่ได้ไหม”

โหยวปิ่งปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ “ไม่ได้หรอก ฉันกลัวว่าพวกเธอจะทะเลาะกันตอนกลางดึก”

ชิงหลงหลงรู้สึกไม่อยากอาหารทันที เขาวางตะเกียบลงและไม่มีใจอยากกินข้าวอีกต่อไป

โหยวปิ่งนิดไปพักใหญ่ก็พูดขึ้นมาว่า “ย้ายไปห้องคู่ไม่ได้ แต่สามารถขอให้หมอมาดูได้ คนอื่นไม่เก่ง ฉันเลยอยากเสนอตัวเอง เธอว่ายังไง”

ชิงหลงหลงลังเลอยู่สักหน่อย “ไม่เอาครับ หลงอยากเปลี่ยนหมอ”

โหยวปิ่งยิ้มบางๆ “เสี่ยวชิงหลง เธอไม่มีสิทธิ์เลือกนะ เพราะฉันเป็นคนควักเงินจ่ายค่ายากับค่าอาหารหรือที่พักให้เธอทั้งหมด”

ชิงหลงหลงเอ่ยเสียงเคือง “หลงก็ไม่ได้ขอให้คุณจ่ายเงินนี่!”

โหยวปิ่งจึงถือโอกาสพูดต่อว่า “ก็ได้ อย่างนั้นเธอต้องจ่ายเงินเองถ้าจะอยู่ต่อ ไม่ก็ออกจากโรงพยาบาลของฉันไป”

ชิงหลงหลงตบโต๊ะพลางทำหน้ามุ่ย “คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่าเกล็ดใต้คอหลงอยู่ที่คุณ จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”

โหยวปิ่งเช็ดปากด้วยท่วงท่าสบายๆ ดูไม่เดือดร้อน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ว่า “เกล็ดใต้คออะไร นั่นเป็นมีดของฉัน”

จากนั้นชิงหลงหลงก็เห็นว่าโหยวปิ่งคล้ายแสดงอำนาจกับเขาอยู่...

อีกฝ่ายหยิบมีดปอกผลไม้มาปอกแอปเปิลอีกลูก จากนั้นก็ค่อยๆ เช็ดอย่างบรรจงแล้วเก็บมันกลับไปที่เดิม

โอ๊ย...หลงโมโหชะมัด!

ชิงหลงหลงจึงทำได้เพียงยอมถอยให้หนึ่งก้าว “อย่างนั้นเลือกคุณก็ได้...”

โหยวปิ่งหลุบตาลง “อือ...ตอนนี้ฉันเสียใจหน่อยๆ แล้วสิ ฉันไม่ค่อยอยากให้อยู่ร่วมกับคนอื่นเลยแฮะ ยกเว้นแต่ว่าเธอจะขอร้องฉัน”

ชิงหลงหลงเกือบจะน้ำตาร่วงแล้ว

ไอ้ผู้อำนวยการคนหลอกลวงแถมน่ารังเกียจ! นอกจากรังแกหลงแล้วคิดจะทำอย่างอื่นบ้างไหม!

ชิงหลงหลงพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “หลง...หลงขอร้องคุณล่ะครับ”

โหยวปิ่งส่งยิ้มอบอุ่นออกไปอย่างนึกสนุกสนาน แล้วเชยตาขึ้นมามองชิงหลงหลง “เธอพูดอะไรเหรอ เสียงเบาไปฉันไม่ค่อยได้ยิน โอ๊ะ เสี่ยวชิงหลงต้องกินข้าวเยอะกว่านี้แล้วล่ะมั้ง ขนาดแรงจะพูดยังไม่มีเลย”

ชิงหลงหลงเคี้ยวแอปเปิลเสียงดังกร๊วบด้วยความโมโห เขาจะคิดเสียว่าแอปเปิลในปากเป็นไอ้ผู้อำนวยการหลอกลวงนี่ แต่ทว่าจู่ๆ น้ำตาชิงหลงหลงก็ร่วงพรูลงมา พลางเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “หลงขอร้องล่ะครับ! ผู้อำนวยการคนดี! ผู้อำนวยการที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้! ถ้าคุณไม่ช่วยหลง ก็ไม่มีใครช่วงหลงแล้ว!”

โหยวปิ่งยิ้มอบอุ่นกว่าเดิม “อย่างนั้นก็ได้ ฉันจะย้ายไปห้องพักเธอแล้วเริ่มดูแลเธอคืนนี้เลย”

 

# # #

 

ไม่ง่ายเลยกว่าชิงหลงหลงจะได้ออกมา เขาจึงเดินเตร็ดเตร่ด้านนอกตลอดทั้งวัน

เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จและกลับมาห้องพักอีกครั้งก็พบว่าภายในนั้นมีเตียงเพิ่มขึ้นมาอีกหลัง

เขามองรอบๆ เตียงหลังนั้นแล้วก็พบว่า...ฟูกหนากว่าฟูกของหลง! ผ้าห่มก็ทั้งหนาทั้งเบากว่า! ดูเหมือนจะสบายกว่าเตียงหลงตั้งเยอะ!

ชิงหลงหลงตาลุกวาว นี่เป็นรางวัลจากการที่หลงเป็นเด็กดีตลอดทั้งวันเหรอ

คิดได้ดังนั้นจึงปีนขึ้นไปบนเตียงแสนสบายและล้มตัวนอนซุกในผ้าห่ม

สบายมากเลย! เหมือนได้กลับไปอยู่ในตำหนักเสี่ยวชิงอีกครั้ง ผ้าห่มก็หอม เตียงก็นุ่ม...

ไม่นานนักชิงหลงหลงก็ผล็อยหลับ เข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนหวานถึงขนาดมีรอยยิ้มฉาบบนใบหน้า

ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร

แต่ชิงหลงหลงก็สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา เนื้อตัวสั่นเทาเพราะถูกสายตาเย็นยะเยียบจ้องมอง

สัญชาตญาณของมังกรเผ่ามังกรเขียวนั้นแข็งแกร่งมาก!

เขาไม่เคยสะดุ้งตื่นกลางดึกมาก่อนเลย! หรือว่า...ผียายแก่จะมา!?

ชิงหลงหลงดึงผ้าห่มมาปิดคลุมไว้ครึ่งหน้าและนึกอยากเปลี่ยนท่านอนพยายามให้หลับต่อ

เขาต้องรีบนอนให้หลับ ผียายแก่จะไม่กินมังกรที่นอนหลับ!

แต่ผลคือพอเขาหันไปอีกทางก็ต้องพบกับเงาที่นั่งยองๆ อยู่ข้างเตียง ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่หลง ดวงตาสีดำคู่นั้นน่ากลัวมากทีเดียว!

เหมือนจะปีนขึ้นเตียงมากินหลงได้ทุกเมื่อเลย!

“อ๊าก!!!” ชิงหลงหลงตกใจจนเกือบจะบินได้

อีกฝ่ายก็เหมือนจะตกใจเช่นกันเพราะร้องเสียงดังลั่นว่า “อ๊าก!!!”

ชิงหลงหลงรีบถอยชิดผนังพร้อมร้องเสียงดังไม่หยุด “อ๊ากๆๆๆๆๆๆๆ!!!”

“อ๊ากๆๆๆ!!!” อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน

เวลานี้เอง อู๋ฮ่าวห้องข้างๆ ที่ชอบเลียนแบบอาการของผู้ป่วยคนอื่นก็สะดุ้งตื่นขึ้น

พร้อมกับกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจกลัว “อ๊ากกกกก!!!”

ชิงหลงหลง “อ๊ากกก!”

อีกฝ่าย “อ๊ากกก!”

ห้องข้างๆ “อ๊ากกก!”

จากนั้นก็เกิดเสียงแกร๊กพร้อมกับไฟที่สว่างขึ้น

มือโหยวปิ่งกดสวิตช์ไฟบนหัวเตียง ก่อนจะลงไปนั่งยองๆ พลางปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ!”

ชิงหลงหลงใช้มือกุมหัวใจที่อีกนิดก็เกือบจะหลุดออกมาเพราะอารามตกใจแน่น เขานั่งตัวสั่นระริกอยู่บนเตียง สามจิตเจ็ดวิญญาณ* ในตอนนี้วิ่งหนีหายไปแล้วหกวิญญาณ (* สามจิตแบ่งออกเป็น จิตวิญญาณของฟ้า จิตวิญญาณของดิน และจิตวิญญาณของชีวิต ส่วนเจ็ดวิญญาณแบ่งออกเป็น ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก ร้าย และโลภ)

“ฮือๆๆๆ คุณทำอะไรน่ะ...หลงตกใจหมดแล้ว ฮือๆๆๆ...”

โหยวปิ่งปีนขึ้นเตียงมามองดูชิงหลงหลงอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างตกใจ “ไม่ร้องไห้เหรอ! แข็งแกร่งอยู่นี่นา”

ชิงหลงหลงร้องเสียงลั่นห้อง “หลงตกใจจนน้ำตาไม่ไหลต่างหาก อ๊ากกกกก! กลางค่ำกลางคืนคุณไม่หลับไม่นอนมาด้อมๆ มองๆ ข้างเตียงกันทำไม ฮือๆๆ หลงตกใจจะตายอยู่แล้ว ฮือ...”

“ข้างเตียงเธอเหรอ” โหยวปิ่งทำหน้าเศร้า “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ใส่ร้ายฉันเหมือนกัน นี่เป็นเตียงฉัน ฉันจำเตียงฉันได้ แต่เธอกลับยึดมันไป ฉันไม่ชินกับการนอนร่วมกับคนอื่นก็เลยนั่งยองๆ ข้างเตียงรอเธอตื่นเท่านั้น”

“ฮือๆๆ...” ชิงหลงหลงกลัวจนตัวสั่นและพยายามนำวิญญาณทั้งหกกลับเข้าร่างตัวเอง เขาซุกตัวกลับไปในผ้าห่มอีกครั้งพลางแยกเขี้ยวยิงฟันขู่โหยวปิ่ง “เตียงหลง!!! ต่อจากนี้ไปเป็นเตียงของหลงแล้ว!!!”

โหยวปิ่งหัวเราะจนท้องแข็ง หัวเราะไปได้สักพักจึงผลักเจ้าก้อนผ้าห่มนั่นแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เอ้อ เสี่ยวชิงหลง ดึกแล้วพวกเราออกไปผจญภัยกันไหม”

ชิงหลงหลงโผล่ครึ่งหน้าออกมาจากผ้าห่มทั้งที่ตัวยังสั่นงั่กๆ แล้วจ้องโหยวปิ่งด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ผจญภัยเหรอครับ”

โหยวปิ่งเผยรอยยิ้มกว้างกว่าปกติ “ไปจับผีกัน”

ชิงหลงหลงซุกตัวกลับเข้าผ้าห่มเช่นเดิม “ไม่ไปครับ! หลงจะนอนแล้ว! หลงไม่อยู่!”

โหยวปิ่งโน้มน้าวต่ออย่างอดทน “ถ้าจับผีได้ก็ไม่ต้องกลัวผีแล้วไง ถ้าที่นี่ไม่มีผีแล้ว ต่อไปก็จะไม่มีผีตนไหนมาหลอกให้เธอตกใจได้อีก”

ชิงหลงหลงส่งเสียงอู้อี้ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม “ผีไม่ได้ทำให้หลงตกใจ คุณต่างหาก!”

“ถ้าอย่างนั้นฉันไปจับผีคนเดียวก็ได้ ฉันไปแล้วในห้องนี้ก็จะเหลือมังกรอย่างเธอแค่ตัวเดียว ถ้าผีตกใจฉันแล้ววิ่งหนีเข้าห้องเธอ แถมยังล็อกประตูด้วย ในห้องนี้ก็จะมีแค่เธอกับผีเท่านั้นนะ...”

“ว้ากกกกกก!!!” ชิงหลงหลงผลุนผลันออกมาจากผ้าห่มแล้วมองไปที่โหยวปิ่ง น้ำตาอาบเต็มสองข้างแก้ม “หลงไปกับคุณแล้ว! แค่ไปกับคุณก็พอแล้วใช่ไหม!”

โหยวปิ่งปิดไฟด้วยสีหน้าสบายใจ

จากนั้นไฟจากกระบอกไฟฉายสองกระบอกก็สว่างวาบขึ้นแทน โหยวปิ่งส่งไฟฉายกระบอกหนึ่งให้ชิงหลงหลงและดีดนิ้วดังเป๊าะ “Let’s go!”

หลังออกจากห้องมาแล้ว โหยวปิ่งก็ปิดประตูเบาๆ แล้วหันไปพูดกระซิบกับชิงหลงหลงว่า “พวกเราไปจับผีห้องข้างๆ ก่อนเถอะ”

ห้องข้างๆ เหรอ

ห้องข้างๆ ไม่ได้มีแค่คนบ้าที่บอกว่าตัวเองเป็นเสือขาวคนเดียวเหรอ

แถมเมื่อครู่ก็ตะโกนลั่นตามหลงด้วย น่าโมโหชะมัด!

ชิงหลงหลงเดินคิดไปด้วยความเคียดแค้นเต็มหัวใจ

โหยวปิ่งล้วงเอากุญแจออกมาแล้วเปิดประตูห้องข้างๆ

เขายกนิ้วชี้แตะปากทำเสียงชู่ให้ชิงหลงหลง แล้วพูดเสียงกระซิบ “พวกเราต้องแอบนะ...อย่าทำให้ผีรู้ตัว”

ชิงหลงหลงกลัวจนอดยื่นมือออกไปจับชุดกาวน์ของโหยวปิ่งแล้วแอบอยู่ข้างหลังอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนจะย่องตามเข้าไปอย่างเงียบเชียบ

อู๋ฮ่าวที่ก่อนหน้านี้ยังร้องตะโกนลั่นด้วยความตกใจพร้อมกับพวกเขา ในเวลานี้กลับนอนหลับฝันหวานกรนครอกฟี้อยู่บนเตียง

ชิงหลงหลงอึดอัดหัวใจอย่างมาก ทั้งที่เพิ่งผ่านเรื่องตกใจแต่ทำไมคนคนนี้ถึงนอนหลับได้ไวขนาดนี้นะ!?

โหยวปิ่งพาชิงหลงหลงมานั่งยองอยู่ข้างเตียงเงียบๆ ไม่ส่งเสียงใด

ชิงหลงหลงเองก็รอไปเรื่อยๆ อยู่ที่ข้างเตียง

 

# # #

 

เมื่อผ่านไปสักพัก...

“ผีล่ะครับ” ชิงหลงหลงถาม

โหยวปิ่งตอบว่า “ชู่...เดี๋ยวก็ออกมาแล้วล่ะ”

 

# # #

 

แล้วก็ผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ...

ชิงหลงหลงรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเท่าไรนัก

เมื่อครู่ไอ้ผู้อำนวยการโรคจิตนี่ก็มานั่งยองๆ ข้างเตียงเพื่อหลอกเขาด้วยใช่ไหม

ถ้าตอนนี้คนบนเตียงตื่นขึ้นมา ภาพที่เห็นก็จะเป็นฉากน่ากลัวที่มีเงาสองเงาตะคุ่มๆ อยู่ข้างเตียงไม่ใช่เหรอ

เอ๊ะ? มันแปลกๆ หรือเปล่านะ

ชิงหลงหลงถามเสียงต่ำว่า “ผู้อำนวยการ คุณเคยอยาก...”

โหยวปิ่งถามว่า “อะไรครับ”

ชิงหลงหลงหันไปมองผู้อำนวยการที่ดูเหมือนจะมีอาการบ้า “...ตรวจอาการบ้าของตัวเองบ้างไหมครับ”

โหยวปิ่งหันมาสบตากับชิงหลงหลงช้าๆ

แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิดแต่ประกายในดวงตาของโหยวปิ่งก็ไม่อาจถูกกลบไปได้

ชิงหลงหลงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

เขารู้สึกหวาดหวั่นอยู่สักหน่อย เมื่อเทียบกับผีแล้ว เหมือนผู้อำนวยการโรคจิตนี่จะน่ากลัวกว่านิดหน่อย

ทว่าจู่ๆ โหยวปิ่งกลับแยกเขี้ยวโชว์ฟันขาว ยิ้มออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เอาล่ะ ผีไม่อยู่ตรงนี้แล้ว พวกเราไปจับต่อที่อื่นกันดีกว่า”

ไฟบริเวณทางเดินในโรงพยาบาลนั้นส่องแสงให้พอสว่างอยู่บ้าง

ชิงหลงหลงเดินตามหลังโหยวปิ่งพลางจ้องผมลอนที่ถูกแสงตกลงมากระทบ

ถ้ามองจากเพียงผมลอนของเจ้าตัว อีกฝ่ายก็ดูคล้ายจะเป็นคนที่อ่อนโยนและละเอียดอ่อนคนหนึ่ง

ใครจะไปคิดว่าคนที่รูปลักษณ์ภายนอกดูดีขนาดนี้กลับมีนิสัยโรคจิตและแปลกกัน

ยิ่งรูปลักษณ์ดูอ่อนโยน นิสัยก็ยิ่งตรงข้ามกันมาก หนังสือไม่หลอกลวงหลงจริงๆ ด้วย

ชิงหลงหลงเดินตามติดหลังโหยวปิ่งเข้าอีกห้องราวกับเป็นหางของเจ้าตัวไม่ผิดเพี้ยน

พอประตูเปิด ผ้าห่มก็ขยับอยู่สักพัก

ชิงหลงหลงดูออกว่าผู้ป่วยของห้องนี้ยังไม่ได้นอน

เดิมทีเข้าใจว่าครั้งนี้ก็คงจะเงียบๆ เหมือนเดิม แต่เรื่องราวกลับตาลปัตร

ไม่คิดว่าผู้อำนวยการบ้านี่จะโผเข้าใส่เตียงพร้อมกับพูดเสียงกระซิบอย่างร้อนรน “แย่แล้วลุงตี๋! เพราะตอนกลางวันลุงพูดแบบนั้น ตอนนี้ก็เลยมีผีเพ่นพ่านอยู่ข้างนอก พวกเราต้องรีบแกล้งหลับ ห้ามส่งเสียงนะ!”

โหยวปิ่งที่ก่อนหน้านี้พูดว่าจำเตียงตัวเองได้ ไม่ชินกับการนอนร่วมกับคนอื่น ตอนนี้กลับกอดชิงหลงหลงที่ยังงงงันอยู่ให้เข้าไปในผ้าห่ม

จากนั้นตัวเองก็ซุกตัวเข้าไปแล้วพูดเสียงตำหนิ “เพราะวันนี้ลุงตี๋พูดมั่วซั่วนั่นล่ะครับ! ผมเคยบอกแล้วว่าถ้าไม่พูดผีก็ไม่โผล่ออกมาหรอก เพราะถ้าพูดก็เหมือนเรียกพวกมันออกมา! แต่ลุงก็ชอบหลุดพูดอยู่เรื่อย!”

ทั้งสามคนขดตัวอยู่บนเตียงเดียวกัน

ยังดีที่ผู้อำนวยการโหยวปิ่งแห่งโรงพยาบาลจิตเวชโหยวซื่อค่อนข้างรวย จึงจัดการให้ทุกห้องเป็นเตียงคู่ ไม่อย่างนั้นแค่คิดเล่นๆ ว่าต้องอัดกันสามคนบนเตียงเดียวแบบนี้คงต้องนอนซ้อนกันแทน

ตี๋ซือแกล้งหลับ แต่เมื่อครู่นั้นเขาคิดว่ามีสิ่งไม่ดีเข้ามาจนกระทั่งได้ยินว่าเป็นเสียงผู้อำนวยการโหยวปิ่งจึงถอนหายใจเฮือกออกมา

เขาขยับไปด้านหลังแล้วพูดเสียงกระซิบ “ฉันก็แค่อยากจะเตือนเด็กใหม่เท่านั้นเอง ใครจะไปคิด เฮ้อ! ฉันผิดเองแหละ! ต่อไปจะไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว!”

ชิงหลงหลงรู้สึกอึดอัดมากเพราะโดนเบียดมาอยู่ตรงกลาง ตอนเขาอยู่ตำหนักเสี่ยวชิงก็ครองเตียงใหญ่คนเดียวนะ!

ต่อให้ตอนอยู่ที่นี่แล้วจะนอนเตียงใหญ่คนเดียวมาตลอดก็เถอะ

แต่เวลานี้เมื่อโดนสองคนเบียดซ้ายขวา แม้จะไม่ได้แนบชิดและพอมีระยะบ้าง แต่ลมหายใจของคนอื่นก็ทำให้หลงรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย

หลงอึดอัดจะตายแล้ว!

ชิงหลงหลงพลิกตัวอย่างหงุดหงิด แต่ฉับพลันกลับได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคย

เขาอดเข้าใกล้เพื่อดอมดมที่มาของกลิ่นหอมไม่ได้ จึงขยับชิดเข้าไปจนปลายจมูกชนเข้ากับแผ่นหลังแข็งแกร่ง

อีกฝ่ายคิดว่าชิงหลงหลงโดนเบียดมาก็เลยขยับไปชิดด้านข้าง

ชิงหลงหลงจึงสังเกตว่าที่มาของกลิ่นหอมนั้นมาจากผู้อำนวยการบ้านี่!

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นกลิ่นหอมนี้ ก่อนหน้าตอนที่เขานอนบนเตียงหลังนั้น ทั้งกลิ่นเตียงและผ้าห่มก็ล้วนเป็นกลิ่นนี้

เขาคิดอย่างหงุดหงิด นั่นเป็นเตียงของผู้อำนวยการบ้าจริงๆ ด้วย

แต่...

กลิ่นนี้ตลบอบอวลจนทำให้หลงรู้สึกสบายใจ

หน้าผากชิงหลงหลงยื่นไปติดกับหลังของโหยวปิ่งและผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

โหยวปิ่งที่ลืมตามาตลอดนั้น พอได้ยินเสียงลมหายใจของสองคนด้านหลังค่อยๆ เปลี่ยนจังหวะเป็นสม่ำเสมอแล้วจึงปิดตาลงและหลับตามไปเช่นกัน

 

# # #

 

ตอนชิงหลงหลงตื่นขึ้นมาก็พบว่าบนเตียงเหลือเพียงเขากับผู้อำนวยการบ้าสองคนเท่านั้น แถมเขายังโดนผู้อำนวยการบ้านี่กอดแน่นจมอกอีกด้วย

ผู้อำนวยการบ้ายังคงนอนหลับอุตุ ส่วนเจ้าของเตียงอย่างลุงตี๋นั้นไม่รู้หายไปไหน

ชิงหลงหลงยืดคอขึ้นไปดูเวลาก็พบว่ายังไม่ตีห้า

ฟ้าเพิ่งสว่างเอง ลุงตี๋ไปไหนกัน

เขารีบปลุกผู้อำนวยการบ้าทันที “ลุงตี๋หายไปแล้วครับ! โดนผียายแก่จับตัวไปเมื่อคืนหรือเปล่าครับ!?”

สองมือโหยวปิ่งกอด ‘หมอนข้าง’ แสนอุ่นในอกแน่นพร้อมกับส่งเสียงง่วงงุน

เขาไม่ได้นอนหลับสบายแบบนี้มานานมากแล้ว...

“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องไปสนใจ ลุงตี๋จะไปเดินยามเช้าทุกวันน่ะ”

เมื่อพูดจบ โหยวปิ่งจึงเพิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดเขานั้นเป็นเจ้ามังกรน้อยเสี่ยวชิงหลง

เขาวางศีรษะลงตรงซอกคอเสี่ยวชิงหลงเพื่อรับแสงรำไรยามเช้า

ทว่าชิงหลงหลงในเวลานี้กลับรู้สึกถึงผมลอนสีเกาลัดที่ยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นของอีกฝ่าย

แสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาจากด้านนอกคล้ายแสงสปอตไลต์

ชิงหลงหลงจ้องอยู่อย่างนั้น...

หลังจากนิ่งเงียบกันนานสองนาน โหยวปิ่งก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “มังกรเด็กเผ่ามังกรเขียวแบบเธอยังดื่มนมกันอยู่ไหม”

ชิงหลงหลงจึงออกจากภวังค์แล้วรีบตอบว่า “ไม่ดื่มแล้วครับ เผ่ามังกรเขียวของเราพอเกิดมาก็ทรงพลัง สามารถกินของวิเศษหายากใดๆ ก็ได้ ไม่ต้องดื่มนมครับ”

“อ้อ...” โหยวปิ่งพลันหัวเราะพรืดออกมา “อย่างนั้นทำไมตัวเธอถึงมีกลิ่นนมล่ะ”

“อะไรนะครับ!?” ชิงหลงหลงผลักโหยวปิ่งออกแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง รีบจับเสื้อตัวเองขึ้นมาดม

ทั้งตัวเขามีแต่กลิ่นหอมจากตัวผู้อำนวยการบ้านี่เถอะ!

แล้วกลิ่นนมมาจากไหน!?

เขาถลึงตาใส่ผู้อำนวยการบ้าแล้วทำแก้มพองลม “หลงไม่ได้มีกลิ่นนมนะ! คุณต่างหาก! คุณน่ะมีกลิ่นหอมเหมือนแม่เลย! ชิ ทำมาว่ากัน”

โหยวปิ่งอดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรกลับไป

ชิงหลงหลงมองผมลอนสีเกาลัดของผู้อำนวยการบ้าแล้วก็รู้สึกคันไม้คันมือ

พยายามอดทนแล้ว แต่มันอดถามไม่ได้จริงๆ “คุณให้หลงลองจับผมลอนนั่นได้ไหม”

โหยวปิ่งมองชิงหลงหลงด้วยแววตาประหลาดใจจนแสดงออกชัดไปยังสีหน้า “เธออยากจับผมฉันเหรอ”

“อือ ดูแล้วน่าจะนุ่มมือดี”

แม้ชิงหลงหลงจะรู้สึกว่าผู้อำนวยการบ้านี่อาจจะไม่ให้เขาจับก็ตาม

โหยวปิ่งเงียบไปหลายวินาทีก็พลันยิ้มตาปิดออกมา “ได้สิ แต่ต้องแลกกัน เธอเองก็ต้องให้ฉันจับจะงอยผมของเธอเหมือนกัน”

ชิงหลงหลงถามด้วยความสงสัย “ผมหลงน่ะเหรอ”

โหยวปิ่งพยักหน้าหงึกหงักแล้วนิ่งมองชิงหลงหลงพร้อมยกยิ้มมุมปาก “อือ ใช่ ผมของเธอ”

ชิงหลงหลงรีบนั่งคุกเข่าแล้วยื่นศีรษะเข้าไปใกล้ “คุณจับได้ตามใจเลยครับ! แล้วคุณเองก็ต้องให้หลงจับผมลอนของคุณด้วย ห้ามกลับคำ!”

โหยวปิ่งมองจะงอยผมยุ่งเหยิงของศีรษะตรงหน้าแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดี

ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาขยี้ จากนั้นหัวใจของเขาก็กลับเต้นไม่เป็นจังหวะ สัมผัสตรงฝ่ามือคล้ายกำลังลูบสัตว์ตัวเล็กที่น่ารักมากๆ จนทำเอาหัวใจเขาคันยุบยิบ รวมถึงรู้สึกทั้งอยากปกป้องและแกล้ง

โหยวปิ่งสัมผัสด้วยความรู้สึกที่ชอบมากๆ...

สัมผัส...

จนกระทั่ง...

ชิงหลงหลงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “ลูบมาสิบกว่านาทีแล้วนะครับ ตาหลงแล้ว!”

โหยวปิ่งจึงปล่อยมือแล้วพูดยิ้มๆ “ได้ ตาเธอลูบแล้ว”

ชิงหลงหลงรีบจัดจะงอยผมที่กระเด้งไม่เป็นทรงของตัวเอง จากนั้นก็มองผมลอนของอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกาย เขากางกรงเล็บมังกรไปสัมผัสอย่างอดรนทนไม่ไหว

โอ้โห รู้สึกดีจริงๆ ด้วย!

สัมผัสดีกว่าขนมังกรของเขาตั้งพันเท่าหมื่นเท่า!

ชิงหลงหลงลูบอย่างพึงพอใจเงียบๆ จนกระทั่ง...

โหยวปิ่งมองนาฬิกาข้อมือ “ครึ่งชั่วโมงแล้วนะ ถ้าลูบไปเรื่อยๆ ฉันหัวล้านแน่ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน”

ชิงหลงหลงเก็บมือกลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์ทั้งที่ดวงตายังคงจ้องผมลอนที่เพิ่งสัมผัสเมื่อครู่ ภายในใจเต็มไปด้วยความเสียดาย

โหยวปิ่งลุกขึ้นมานั่งนวดคอตัวเอง “ก็ได้! บนตัวฉันยังมีขนลอนที่อื่นอีกนะ วันหลังยังมีโอกาสให้เธอจับอีกเยอะ”

ชิงหลงหลงโดนดึงดูดความสนใจ เขามองผู้อำนวยการบ้าอย่างพิจารณาแล้วเบ้ปาก “ชิ...หลอกหลงอีกน่ะสิ คุณมีแค่ผมเท่านั้น ถ้ามีที่อื่นอีกแล้วทำไมหลงถึงไม่เห็นล่ะ”

โหยวปิ่งไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ เขาแค่บิดขี้เกียจแล้วลงจากเตียง “เธอกลับห้องเถอะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว บาย~”

 

# # #

 

ชิงหลงหลงกลับห้องมาเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้

หลังจากอาบน้ำแล้วก็เดินไปโรงอาหาร

ครั้งนี้เขาขอแอปเปิลจากคุณป้าโรงอาหารเพิ่มเป็นสองลูก เอาไว้กินก่อนอาหารหนึ่งลูกและหลังอาหารหนึ่งลูก!

หลังจากเสร็จแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้...

เฮ้อ ทั้งที่ตอนหลงอยู่ในตำหนักเสี่ยวชิงนั้นสามารถเรียกลมเรียกฝน อยากได้อะไรก็ได้!

แต่ตอนนี้แค่ได้กินแอปเปิลสองลูกก็ดีใจจะแย่แล้ว เจ็บปวดใจชะมัด!

พออิ่มแล้ว ชิงหลงหลงก็เดินเอ้อระเหยอย่างไม่มีอะไรทำอยู่ในบริเวณโรงพยาบาล

แต่ทิวทัศน์ของโรงพยาบาลนี้สวยมากทีเดียว มีทั้งเขาและน้ำครบ

ภูมิทัศน์ที่มนุษย์สรรค์สร้างนั้นสวยประณีตกว่าตำหนักเสี่ยวชิงของเขาเลยทีเดียว

แต่วัสดุไม่ดีเท่าไรนัก เพราะตำหนักเสี่ยวชิงสร้างด้วยหยก แต่ที่นี่สร้างจากหินหรือไม้

เดินเตร็ดเตร่อยู่ได้ไม่กี่รอบ ชิงหลงหลงก็พบว่าโรงพยาบาลจิตเวชนี่ไม่เหมือนบ้านเลย

เขาวิ่งไปหาเคาน์เตอร์พยาบาล แล้วแอบกระซิบกระซาบนินทาผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชกับพี่สาวพยาบาล

“พวกพี่ไม่รู้เหรอว่าผู้อำนวยการพวกพี่ประหลาดน่ะ”

พี่สาวพยาบาลพากันมองมาที่ชิงหลงหลง

หลังจากมองหน้ากันไปมา หัวหน้าพยาบาลที่อยู่ในกลุ่มนั้นจึงเดินเข้ามาหาชิงหลงหลงแล้วถามเสียงเบาว่า “ประหลาดตรงไหนเหรอ”

ชิงหลงหลงคิดว่าในที่สุดตัวเองก็ได้เจอคนที่สามารถร้องทุกข์ได้แล้ว!

เขาลดเสียงลง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นและเดือดเนื้อร้อนใจ “ผู้อำนวยการของพวกพี่เหมือนจะมีปัญหาทางจิตนะครับ เมื่อวานเขานั่งยองๆ ตรงข้างเตียงตั้งใจจะหลอกผมด้วย! แถมยังบอกด้วยว่าข้างนอกมีผี แล้วก็พาผมไปจับผี แต่ผลก็คือวิ่งไปห้องข้างๆ ผมแล้วก็ไปนั่งยองๆ จ้องอยู่ข้างเตียงเพื่อหลอกผู้ป่วย แล้วหลังจากนั้น! ผมบอกพวกพี่เลยนะ เขาพาผมวิ่งไปห้องลุงตี๋แล้วก็บอกลุงตี๋ว่าข้างนอกมีผี เมื่อวานผมกับผู้อำนวยการของพวกพี่ก็เลยพากันไปนอนเบียดบนเตียงลุงตี๋ทั้งคืน!”

ชิงหลงหลงพูดจาฉะฉาน ไม่ได้ระวังเลยว่าความจริงแล้วคนที่เขาคิดว่าไม่อยู่กลับอยู่ตรงนั้นมาตลอด

หัวหน้าพยาบาลเงยหน้าเหลือบมองเงาด้านหลังชิงหลงหลง...แล้วอดแสดงสายตาสงสารเห็นใจออกมาไม่ได้

เธอถอยหลังแล้วเริ่มกลับไปยุ่งงานของตัวเองต่อ

ชิงหลงหลงจึงเกาะเคาน์เตอร์พยาบาลแล้วถามต่ออย่างอดไม่ได้ “พี่ว่าผู้อำนวยการของพวกพี่เป็นบ้าหรือเปล่า แถมยังไม่รู้เป็นโรคบ้าอะไรกันแน่ด้วย”

ขณะเดียวกันนั้น...

ก็มีเสียงดังข้างหูชิงหลงหลงว่า “แล้วเสี่ยวชิงหลงคิดว่าฉันเป็นโรคบ้าอะไรล่ะ”

“เฮ้ย...!”

ชิงหลงหลงตกใจจนกระโดดขึ้นไปบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะนั่งคุกเข่าแล้วถลึงตาใส่ผู้อำนวยการบ้าที่ไม่รู้ว่าเข้ามาใกล้ตอนไหนและตวาดใส่อีกฝ่ายเสียงดัง “คุณเป็นบ้าหรือไง!”

โหยวปิ่งพยักหน้า แล้วถอดสเต็ทโตสโคปออกจากคอช้าๆ

“ใช่แล้ว เมื่อกี้เสี่ยวชิงหลงก็เพิ่งพูดว่าฉันเป็นบ้าไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยอยากฟังว่าเป็นบ้ายังไง”

ชิงหลงหลงเพิ่งนึกได้ในเวลานี้เองว่าตนนินทาคนอื่นแล้วโดนจับได้

เขาทำท่ากระฟัดกระเฟียดแล้วกลืนน้ำลายช้าๆ แล้วลงมาจากเคาน์เตอร์พยาบาล ก่อนจะลงไปนั่งที่ม้านั่งด้านข้างอย่างอ่อนแรง

“ไม่สนใจคุณหรอก”

หัวหน้าพยาบาลทนดูต่อไปไม่ไหวจนต้องส่งเสียงขำออกมาแล้วพูดกับชิงหลงหลง “เธอเข้าใจผู้อำนวยการผิดแล้วล่ะจ้ะ เขาต้องไปตรวจอาการผู้ป่วยก็เลยจำเป็นต้องนั่งยองๆ ข้างเตียง แล้วก็เพราะว่ามีผู้ป่วยหลายรายที่จะทำร้ายถ้าหากว่าเจอคน ก็เลยต้องนั่งยองๆ เพื่อเป็นการลดโอกาสที่จะถูกเจอน่ะจ้ะ ส่วนลุงตี๋น่ะเป็นคนที่ผู้อำนวยการรักษาแบบเฉพาะตัว ซึ่งก็เพื่อรักษาลุงตี๋ให้หายน่ะ แต่เรื่องเป็นมายังไง เธอถามผู้อำนวยการเองจะดีกว่า”

“เหรอครับ” ชิงหลงหลงไม่เชื่อ เขาจึงผุดลุกขึ้นแล้วถามต่อ “อย่างนั้นพี่บอกผมได้ไหม”

ทว่าหัวหน้าพยาบาลกลับตอบว่า “สรุปแล้วนะ ผู้อำนวยการเก่งที่สุดเลยล่ะจ้ะ!”

“ตั้งใจทำงานมากเลยครับ ดีมากๆ พยายามต่อไปนะครับ” โหยวปิ่งยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนแล้วพูดกับหัวหน้าพยาบาล

ชิงหลงหลงกลอกตาใส่แล้วหมุนตัวจากไป

คนพวกนั้นกับผู้อำนวยการบ้าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน!

แต่ว่า...

ความจริงแล้วผู้อำนวยการบ้านั่นก็ไม่ได้เลวร้ายแบบที่เขาคิด ทั้งหมดก็เพื่อตรวจอาการคนไข้ทั้งนั้น ลำบากมากจริงๆ เลย

หนังสือแนะนำ All

Special Deal