(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน พวกรังแกหลง มีแต่คนจิตป่วย (เล่มเดียวจบ)

Wednesday

บทที่ 1

ชิงหลงหลงเป็นองค์ชายมังกรน้อยแห่งเผ่ามังกรเขียว ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วน่าจะเป็นมังกรผู้สูงศักดิ์ที่ถูกผู้คนล้อมหน้าล้อมหลังและล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

แต่เสด็จพ่อของเขากลับให้กำเนิดมังกรแห่งเผ่ามังกรเขียวเยอะเกินไป!

น่าจะหลายหมื่นได้ล่ะมั้ง...

เพราะฉะนั้นชิงหลงหลงในฐานะองค์ชายมังกรน้อยแห่งเผ่ามังกรเขียวจึงไม่ได้มีฐานะพิเศษอะไรกว่าใครเขา เป็นราวกับผักกาดในโลกมนุษย์ที่ทั้งราคาถูกและมีจำนวนมากมาย

ด้วยความที่เสด็จพ่อมีบุตรจำนวนมากเกินไปย่อมดูแลไม่ไหว ดังนั้นจึงล้วนโยนส่งให้ผู้ดูแลเป็นคนดูแลอย่างง่ายดาย

ทว่าผู้ดูแลเองก็มีธุระพัวพันมากจนไม่สามารถแยกร่างได้ หน้าที่ดูแลเด็กๆ จึงต้องส่งต่อให้บริวารใต้อาณัติตนทำต่อ

ตกมาจนถึงคนรอบข้างของเด็กๆ อย่างเช่น...แม่นมของชิงหลงหลง

แม่นมดูแลเด็กๆ มาตลอดชีวิตจนเรียกได้ว่าเป็นผู้เฉพาะทางในการเลี้ยงเด็ก

ทั้งอาหารและของเล่นก็ล้วนเพียงพอ!

แล้วหลงต้องรับผิดชอบอะไรน่ะเหรอ

หลงแค่ต้องรับผิดชอบวิ่งเล่นอาบแดดและขุนตัวเองให้อ้วนก็พอแล้ว

ทุกสิ้นปีแม่นมจะใช้สายตาอันแสนอ่อนโยนมองชิงหลงหลงพร้อมทบทวนสิ่งที่ชิงหลงหลงทำมาตลอดทั้งปี ปลื้มอกปลื้มใจประหนึ่งเห็นลูกหมูที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง!

ทว่าเจ้ามังกรน้อยชิงหลงหลงตนนี้เองก็มีช่วงเวลาที่ไม่เชื่อฟังเช่นกัน แล้วทำอย่างไรน่ะเหรอ

แม่นมย่อมมีวิธีอยู่แล้ว!

นางทำการเสาะหานิทานหลายเล่มจากโลกมนุษย์เพื่อนำมาเล่าให้ชิงหลงหลงเป็นการฆ่าเวลา

หากชิงหลงหลงนอนไม่หลับในยามกลางคืน แม่นมก็จะเล่าเรื่องผียายแก่ให้ชิงหลงหลงฟัง

ภายในห้องนอนใหญ่ของตำหนักเสี่ยวชิงที่มืดมิด มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยจากไข่มุกกลางคืนที่กำลังพลิ้วไหวเท่านั้น

มังกรน้อยที่มีเขาอยู่บนหัวและตรงช่วงท้ายร่างยังมีหางกำลังซุกตัวนอนคุดคู้อยู่ในผ้านวมปักลายมังกรบินหยอกล้อกับหงส์บนเตียงแกะสลักประณีตงดงามขนาดใหญ่ ดูแล้วช่างน่ารักน่าชังเสียจริง

ข้างเตียงมียายแก่สวมรองเท้าปักนั่งขาไม่ถึงพื้นอยู่

ผู้นั้นคือแม่นมของชิงหลงหลง

บนใบหน้าของแม่นมซึ่งเต็มไปด้วยรอยย่นถูกฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มใจดีบางๆ ขณะเล่านิทานด้วยเสียงกระซิบว่า...

“ผียายแก่น่ะนะชอบลูกมังกรที่ไม่ชอบนอนหลับตอนกลางคืนเป็นพิเศษ พวกนางจะจับตัวลูกมังกรกลับไปด้วย จากนั้นก็ใช้หม้อใบใหญ่ที่ขัดล้างจนสะอาดแบบที่เมื่อวานข้าล้างผลไม้ให้องค์ชายเสวยแบบนั้น แล้วยายแก่ก็กินลูกมังกรเข้าไปในคำเดียว! สมองของลูกมังกรโดนกินเข้าไปเสียแล้ว!”

น่ากลัว!

ชิงหลงหลงที่นอนอยู่บนเตียงสูดลมเย็นเข้าปากด้วยสีหน้าตื่นกลัว เขาทั้งหวาดกลัวและเสียขวัญทีเดียว

แม่นมเล่าต่อว่า “จากนั้นผียายแก่ก็พ่นลูกตามังกรที่เคี้ยวยากออกมา แล้วค่อยดูดคอมังกรเข้าไปอย่างรุนแรงเหมือนกับที่วันก่อนท่านดูดไอศกรีมเลย จากนั้นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของมังกรตัวนั้นก็เข้าไปอยู่ในปากของผียายแก่...แล้วในเวลานี้เองก็เห็นลูกตาของมังกรกำลังจ้องมองมาอยู่”

“จ๊ากกกกกกกก!!” ชิงหลงหลงตกใจจนหดตัวเข้าไปในผ้าห่ม

ไม่นานนักมังกรน้อยหลงก็ค่อยๆ โผล่เขามังกรออกมาจากผ้าห่ม แล้วเอ่ยงุบงิบว่า “แล้วผียายแก่นั่น...หน้าตาเป็นยังไงครับ”

แม่นมลุกขึ้นยืน เท้าที่สวมรองเท้าลายปักก็ยังคงไม่ถึงพื้น นางดึงผ้าห่มของเจ้าเด็กน้อยหลงขึ้นมาเหน็บชายไว้ให้อย่างดี “ผียายแก่น่ะ...หน้าตาน่าเกลียดมากเลยล่ะ แต่แค่ท่านนอนหลับฝันดี ผียายแก่ก็จะไม่เข้ามารบกวนมังกรที่นอนหลับแล้วเจ้าค่ะ”

 

# # #

 

ชิงหลงหลงเติบโตขึ้นมาในทุกวันที่เป็นแบบนี้ วันแล้ววันเล่า

 

# # #

 

ทว่ามีอยู่วันหนึ่งกลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นอย่างกะทันหัน...

เกล็ดบนร่างมังกรแห่งเผ่ามังกรเขียวล้วนเป็นสีเขียวสวยงามราวหยก แม้หยกงามย่อมเสียหายง่ายก็ตาม แต่เกล็ดมังกรนั้นกลับแทงไม่เข้า ไฟเผาไม่ไหม้ จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวคือเกล็ดตรงส่วนใต้คอมังกร หากแตะต้องอาจถึงชีวิตได้

แต่เกล็ดส่วนใต้คอมังกรของชิงหลงหลง...กลับไม่มีเสียแล้ว!

หลังจากเรื่องนี้ถูกรายงานขึ้นไป ผู้ดูแลจึงพบว่าเกล็ดใต้คอมังกรขององค์ชายเผ่ามังกรเขียวทุกตนนั้นหายไปหมดแล้ว!

นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเผ่ามังกรเขียว! ผู้ดูแลจึงรีบรายงานต่อราชามังกรทันที!

องค์ชายมังกรเขียวทุกตนถูกเรียกให้มารวมกันที่พระราชฐาน และนี่...ก็เป็นครั้งแรกที่ชิงหลงหลงได้เห็นว่าเสด็จพ่อมีรูปลักษณ์อย่างไร

องค์ชายมังกรมีเยอะเกินไปจริงๆ มีทั้งร่างมนุษย์และร่างมังกร มีทั้งที่อาศัยอยู่บนสวรรค์และใต้นรก และมีทั้งมังกรภูเขาและมังกรมหาสมุทร

ชิงหลงหลงเป็นมังกรที่แสนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงราวกับดังโงะที่กลิ้งไหลไปเรื่อยจนรูปร่างเกือบเปลี่ยนเป็นดูบู้บี้ผิดรูป

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงยื่นคอเบิกตากว้างมองเสด็จพ่อที่อยู่ไกลมากๆ

เขาเห็นองค์ชายมังกรที่ตัวเล็กที่สุดวิ่งขึ้นไปร้องทุกข์ด้วยท่าทางน่าสงสารต่อหน้าเสด็จพ่อ จากนั้นเสด็จพ่อจึงทรงเป่าลมฟู่ๆ ปลอบองค์ชายมังกรผู้นั้น

ชิงหลงหลงที่เห็นฉากนี้จึงเกิดความรู้สึกชาปลาบในใจ เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่เขาก็อยากให้เสด็จพ่อเป่าลมฟู่ๆ ให้เหลือเกิน

ไม่ใช่เพียงแค่ชิงหลงหลงที่มีความคิดนี้เท่านั้น เพราะองค์ชายมังกรเขียวทุกตนต่างก็อยากได้ด้วย

ดังนั้นทุกคนจึงพยายามเบียดดันไปยังด้านหน้า!

ชิงหลงหลงเองก็พยายามดันไปด้านหน้าตามองค์ชายคนอื่นๆ อย่างตื่นตระหนกเช่นกัน! ทว่ากลับโดนเบียดจนยิ่งถอยห่างออกไปทางด้านหลังเรื่อยๆ...

โดนเบียดจนกระทั่งที่ว่ากระเด็นออกมาจากกลุ่มองค์ชายมังกรและไม่เห็นแม้แต่เงาของเสด็จพ่อแล้ว

และกลายเป็นมังกรที่กำลังร้องไห้ด้วยความโกรธ!

ชิงหลงหลงยืนเม้มปากแน่น น้ำตาไหลร้องไห้กระซิกอยู่นอกกลุ่มองค์ชายมังกรด้วยความโมโห

ส่วนเสด็จพ่อในเวลานี้เองก็ตื่นตกใจที่องค์ชายมังกรมีจำนวนมากเกินไปจนปลอบไม่ทันแล้ว!

เทพพฤกษาจึงต้องเข้ามาเพื่อทำให้เหตุการณ์วุ่นวายนี้สงบลงพร้อมบอกเล่าความจริงให้ทุกคนได้ฟัง

ที่แท้เสด็จพ่อเลี่ยงกฎที่ให้มีทายาทเพียงสองตนและใช้โลหิตอันสูงส่งของมังกรเขียวให้กำเนิดองค์ชายมังกรเขียวนับหมื่นออกมาอย่างกะทันหัน ดังนั้นองค์ชายมังกรทั้งหมดจึงมีแต่เสด็จพ่อ ไม่มีเสด็จแม่และอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด

 

ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องเกล็ดใต้คอที่หายไป!

และข่าวร้ายก็คือไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้

เพราะด้วยความที่ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นเหล่าองค์ชายมังกรเขียวทุกตนจึงไม่เข้าใจแม้กระทั่ง ‘ความรัก’ และ ‘ความต้องการทางเพศ’ คล้ายกับพวกเขาลืมความต้องการทางเพศ และอยู่เป็นมังกรโดดเดี่ยวอย่างมีความสุข

ถ้าหากแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เช่นนั้นองค์ชายมังกรเขียวนับหมื่นตนซึ่งมีอายุขัยอย่างไร้ที่สิ้นสุดนี้คงจะได้อยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตเป็นแน่

เมื่อลองจินตนาการดูแล้ว ยามเผ่าอื่นออกศึกกรีธาทัพย่อมต้องละทิ้งลูกอย่างไม่เต็มใจ ทั้งยังต้องบอกลาคู่ครองอย่างอาวรณ์ และได้กลับมาตามสัญญาเมื่อสงครามจบลง

ทว่าเผ่ามังกรเขียวนั้น ไม่ว่าจะมองทางใดก็มีแต่ผู้ที่ไร้คู่และสามารถมุ่งสู่สนามรบโดยไร้ภาระใดๆ

ต่อให้ได้ชัยชนะมา แต่มันอย่างไรเล่า

ต่อให้สู้รบเก่งเพียงใด แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงชายโสดเท่านั้นไม่ใช่หรือ!

พอจินตนาการเห็นฉากนี้อย่างชัดเจนแล้ว ราชามังกรก็รู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง หรือความรุ่งโรจน์ของเผ่ามังกรจะต้องจบสิ้นในเงื้อมมือพระองค์อย่างนั้นหรือ!

ไม่ได้! ต้องแก้ปัญหานี้!

และเมื่ออยากแก้ปัญหานี้ ทางเดียวก็คือต้องหาเกล็ดใต้คอกลับมาให้ได้

แต่การหาเกล็ดใต้คอนั้นยากแท้!

เทพพฤกษาคำนวณแล้วพบว่าเกล็ดใต้คอร่วงหล่นอยู่ในทุกภพ มีความเป็นไปได้ทั้งภพสวรรค์ ภพเทพและอสูร นรกภูมิ โลกมนุษย์...และภพภูมิอื่นๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

การหาเกล็ดใต้คอนั้นไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร มีเพียงสระวิเศษเท่านั้นที่จะสามารถเชื่อมต่อระหว่างองค์ชายแห่งเผ่ามังกรเขียวและเกล็ดใต้คอได้เพียงเล็กน้อย และส่งองค์ชายแห่งเผ่ามังกรเขียวทุกตนไปยังทุกสถานที่ที่เกล็ดใต้คอร่วงหล่นลงไป

สระวิเศษเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดเหนือการคาดเดาแห่งหนึ่งของเผ่ามังกร

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ไม่มีใครรู้ว่าสระวิเศษจะส่งตนไปยังที่ใดหรอก เพราะเพียงแค่ตกลงไปในสระวิเศษ อิทธิฤทธิ์ของคนผู้นั้นก็จะหายไปหมดสิ้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น

หลังจากรู้ว่าต้องลงไปในสระวิเศษ ราชามังกรก็หน้าถอดสี ส่งเสียงออกไปอย่างตกใจทันที ภายในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วงของพ่อที่มีต่อลูกๆ!

ทั้งดวงใจของราชามังกรนั้นเต็มไปด้วยความกังวลและเป็นห่วง อยากส่งพลองครักษ์มากมายออกปกป้องบุตรของตน แต่เพราะต้องรับข้อจำกัดทุกอย่างทั้งด้านการถูกรบกวน เวลา และพื้นที่ ดังนั้นจึงปรึกษาหาแนวทางมากมายกับเทพพฤกษา แต่ก็ล้วนโดนคัดค้านทั้งสิ้น

ราชามังกรทรมานใจจนนิ่งงันไปอยู่นานสองนาน สุดท้ายจึงกะพริบดวงตาเปียกชื้น หลังจากกำชับอีกเล็กน้อยก็หันหลังกลับห้องไปเพราะไม่อาจทนมองได้อีก

เทพพฤกษาที่อยู่ด้านนอกจึงเอ่ยเตือนเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม

ซึ่งก็คือมีความเป็นไปได้ว่าเกล็ดใต้คอจะสามารถเปลี่ยนรูปกลายเป็นวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตได้! ทั้งยังเปลี่ยนเจ้าของคนใหม่ได้เช่นกัน!

เกล็ดใต้คอและเลือดมังกรจะดึงดูดเข้าหากัน ทันทีที่พบกันจะมีแรงดึงดูดให้มาติดกันแน่นราวกับแม่เหล็กแรงสูง

ถ้าเกล็ดใต้คอเปลี่ยนรูปไปเป็นมีดสั้นละก็ ไม่มีใครกล้าจินตนาการผลที่ตามมาเลย

และหากต้องการเรียกคืนเกล็ดใต้คอนั้นก็จำเป็นต้องผ่านการยินยอมจากเจ้าของคนใหม่เสียก่อน ถ้าเจ้าของคนใหม่ไม่ยินยอมและพยายามแยกเกล็ดใต้คอกับมังกรออกจากกัน ก็จะทำให้มังกรเจ็บปวดราวกับโดนถอดเกล็ด

ทว่าความโชคดีก็คือขอแค่ให้เกล็ดใต้คอกลับมายังตำแหน่งเดิม ก็จะได้อิทธิฤทธิ์ที่สูญเสียไปคืนมาทันที เมื่อถึงเวลานั้นเหล่าองค์ชายมังกรก็จะสามารถใช้เส้นทางเดิมกลับมายังโลกมังกรได้

เหล่าองค์ชายมังกรเผ่ามังกรเขียวล้วนมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน ทุกตนพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ มีทั้งสงสัยใคร่รู้ ไม่ชอบ และอยากลองสักครั้ง

มีเพียงชิงหลงหลงเท่านั้นที่นั่งยองๆ อย่างหดหู่อยู่นอกกลุ่มองค์ชายมังกรทั้งหลาย เขายังไม่ได้ขอให้เสด็จพ่อเป่าฟู่ๆ ให้เลย น่าโกรธนัก!

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหล่ามังกรแห่งเผ่ามังกรเขียวก็ต้องลงสระวิเศษเพื่อแยกย้ายกันไปยังภพต่างๆ ด้วยประการฉะนี้

 

# # #

 

ชิงหลงหลงลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตรงหน้าเป็นห้องสีขาวห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยกองหนังสือหลากประเภท

หรือว่าเกล็ดใต้คอ...จะอยู่ที่นี่กันนะ

ชิงหลงหลงหยิบหนังสือเล่มที่อยู่ข้างตัวมาพลิกดู...ท่านประธานสุดโหดตกหลุมรักเด็กยากจน?

นี่มันอะไรน่ะ หลงไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน!

จากนั้นชิงหลงหลงจึงนั่งขัดสมาธิกับพื้นและเริ่มอ่านมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น...

การ์ตูน? หรือว่านิยาย? สิบแปดบวก?

นิยายรัก? นิยายชายรักชาย? หรือว่านิยายคนกับสัตว์?

ลมหายใจชิงหลงหลงกระชั้นถี่ ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง!

สวรรค์! หลงเปิดบานประตูของโลกใหม่แล้ว!

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่เหมือนชิงหลงหลงจะอ่านหนังสือในห้องนั้นใกล้จบหมดแล้ว

ฉับพลันก็เกิดแสงสีขาว ชิงหลงหลงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเปลี่ยนสถานที่อีกแล้ว

 

# # #

 

เวลานี้ชิงหลงหลงยืนโดดเดี่ยวอย่างน่าสงสารอยู่บนถนนใหญ่ เนื้อตัวสั่นระริกเพราะไม่ทันได้ตั้งรับ

เขามองเครื่องพรวนดินที่กำลังส่งเสียงดังลั่นไปทั่วทุ่งนา ก้าวแรกถูกตัดสินแล้ว นี่น่าจะเป็นโลกมนุษย์สินะ

แต่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ! เกล็ดใต้คอของหลงไม่ได้อยู่ในห้องเล็กๆ ห้องนั้นเหรอ

เกิดความผิดพลาดขึ้นที่สระวิเศษ? หรือเกล็ดใต้คอมีขาวิ่งได้กัน

หลังจากนั้นก็มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นโบกมือให้หลงอย่างกระตือรือร้นพร้อมวิ่งมาจากที่ไกลๆ!

ในสมองชิงหลงหลงยังคงเต็มไปด้วยสิ่งที่เพิ่งอ่านมาจึงคาดการณ์และอ้างอิงจากกลุ่มฝ่ายรุกแล้ว คนคนนี้น่าจะเป็น...ฝ่ายรับแนวสดใสร่าเริง!!!

ฝ่ายรับแนวสดใสร่าเริงวิ่งมาหยุดอยู่ข้างตัวชิงหลงหลงแล้วคว้าไหล่เขาเอาไว้แน่น “เฮ้ย! พี่ชาย! มาทำอะไรตรงนี้คนเดียวน่ะ ยังไม่รีบไปอีกเหรอ ไม่กลัวพวกนั้นจับตัวนายไปเหรอ”

ทำไมถึงจะโดนจับล่ะ หลงมีสีหน้าสับสน เขากลอกตามองอีกฝ่าย หรือว่าคนคนนี้จะรู้ว่าเขาเป็นมังกรนะ

ชิงหลงหลงเคยอ่านเจอในหนังสือว่าโลกมนุษย์ไม่อนุญาตให้สัตว์เทพเซียนอาศัยอยู่ หากสัตว์เทพเซียนถูกจับได้ก็จะถูกนำไปแล่เนื้อเป็นชิ้นๆ!

หลงปิดบังตัวตนดีมากๆ แล้ว ทั้งตรงส่วนที่เป็นเขาและหางมังกรก็ไม่มีโผล่ออกมา แต่ตอนนี้ไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ ดังนั้นหลงจึงไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นมังกรได้!

แล้วทำไมฝ่ายรับแนวสดใสร่าเริงถึงมองเห็นตัวตนมังกรของเขาได้ล่ะ!

ใบหน้าชิงหลงหลงแสดงออกถึงความตื่นตะลึง นิ้วขาวเนียนชี้มายังตัวเองอย่างสั่นระริก “นาย...เห็นด้วยเหรอว่าฉันเป็นมังกร”

คนตรงหน้าชะงักงันไปครู่หนึ่ง แววตาพลันเปลี่ยนเป็นนิ่งแข็ง “ฮู่! ฉันเป็นเสือขาว เงียบๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นจะโดนคนจับได้นะ!”

เสือขาวเหรอ! ที่แท้ก็เป็นเผ่าเสือขาวในตำนานนี่เอง!

ชิงหลงหลงตกใจมาก นี่เขาช่างโชคดีอะไรขนาดนี้เนี่ย! มาต่างโลกก็ยังได้เจอเพื่อนเก่าแก่!

แต่ทำไมเสือขาวมาอยู่ในโลกมนุษย์กันล่ะ

ชิงหลงหลงคิด ก่อนจะปิดปากอย่างไม่อยากเชื่อแล้วพูดว่า “สวรรค์! หรือว่าเกล็ดใต้คอนาย...”

จากนั้นสมองของหลงก็หยุดชะงักอย่างกะทันหัน...เสือขาวมีเกล็ดใต้คอไหมนะ

“ไม่สิ เสือขาวไม่มีเกล็ดใต้คอ มีแต่ขน แล้วนายทำอะไรหายล่ะ ใช้สระวิเศษมาที่นี่เพื่อตามหาสิ่งนั้นเหมือนกันเหรอ ถ้าอย่างนั้น อิทธิฤทธิ์นายก็หายไปเหมือนกันด้วยหรือเปล่า”

ทุกคำถามที่ชิงหลงหลงถามออกมา อีกฝ่ายก็พยักหน้าแรงๆ ให้อย่างหนักแน่น

นี่ยิ่งเพิ่มความแน่ใจให้การคาดเดาของชิงหลงหลงมากขึ้นไปอีก เผ่าเสือขาวจะต้องเกิดเหตุร้ายอะไรแน่ๆ!

ชั่วขณะนั้นชิงหลงหลงน้ำตาไหล!

พอได้เจอคนบ้านเดียวกัน น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด! บังเอิญพานพบนับเป็นวาสนา อย่าได้สนใจว่าก่อนหน้านี้รู้จักกันหรือไม่! นับเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้ว!

ดังนั้นมังกรและเสือขาวจึงต่างมองตากันไปมาและพากันเงียบเสียงอย่างตื้นตันใจ

ฉับพลันนั้นเอง!

รถตู้คันหนึ่งก็เบรกกะทันหันจนส่งเสียงดังเอี๊ยดแสบหูหยุดอยู่ข้างมังกรและเสือขาว จากนั้นก็เปิดประตูดังปึง!

ชายฉกรรจ์ในชุดกาวน์สีขาวสองสามคนลงจากรถ แล้วพากันมาลากตัวเสือขาวไป!

มังกรและเสือขาวต่างพากันลนลานทันที!

เสือขาวได้สติพร้อมส่งเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “อ๊าๆๆๆๆๆๆ!! เจ้ามังกรรีบหนีไปเร็ว! พวกคนชั่วมาจับตัวพวกเราไปแล้ว!!!”

ชิงหลงหลงหวาดกลัวมากทีเดียว ทว่าเขากลับยื้อยุดเสือขาวมาทางตัวเองอย่างไม่คิดชีวิต “ไม่! ฉันจะไม่ยอมปล่อยเสือไป! ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน! มังกรเขียวเสือขาวจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน!”

ชายสวมเสื้อกาวน์เบอร์หนึ่งตะลึงงัน “นี่มันอะไรกันเนี่ย! ทำไมถึงมีคนบ้าโผล่มาอีกคนแล้วล่ะ ผู้อำนวยการไม่ได้บอกว่าวิ่งหนีออกมาแค่คนเดียวเหรอ”

ชายเสื้อกาวน์เบอร์สองพยายามยื้อยุดจนเหนื่อยหอบ “นายแค่เดินผ่านมาแล้วจะมายุ่งอะไรด้วย!”

ชายเสื้อกาวน์เบอร์สามตะโกนไปทางชาวนาที่กำลังทำงานอย่างยากลำบากว่า “นี่คนของบ้านไหนครับเนี่ย! รีบมาเอาตัวกลับไปเร็วๆ! ไม่อย่างนั้นเขาจะโดนพวกเราจับกลับไปด้วยนะ!”

เสือขาวร้องลั่น “นายรีบหนีไปเร็ว! ไปขอให้คนของสวรรค์ลงมาช่วยฉัน!”

ชิงหลงหลงพูดเสียงดังเช่นกัน “สวรรค์น่ะเหรอ! พวกเขาไม่ส่งคนมาช่วยง่ายๆ หรอก! เผ่าเสือขาวนายอยู่ไหนล่ะ! รีบบอกฉันมาเร็วๆ! ฉันจะรีบไปบอกพวกเขา!”

ช่วงเวลาที่ต่างคนต่างยื้อยุดกันอย่างบ้าคลั่งนั้น ชิงหลงหลงก็พลันกวาดสายตาไปเจอตัวอักษรใหญ่บนรถยนต์ซึ่งเป็นคำว่า...โรงพยาบาลจิตเวชโหยวซื่อ

ชั่วขณะนั้น หลงก็เหมือนสูญเสียแรงทั้งหมดไปดื้อๆ

ชิงหลงหลงปล่อยมือด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า

ชายเสื้อกาวน์เบอร์สองที่ไม่ได้ออมแรงแม้แต่น้อยจึงพาทั้งผู้ป่วยและเขาขึ้นรถไปอย่างทุลักทุเล

ตามด้วยเสียงปังดังสนั่นและชายเสื้อกาวน์เบอร์สองก็มีกระเป๋าบนศีรษะเพิ่มขึ้นมา!

ชายเสื้อกาวน์เบอร์สองโมโหมาก เขาขยี้ผมพลางตะโกนลั่นรถ “เชี่ยเอ๊ย! จับมาได้สักที! ยังไงก็เป็นคนบ้า อย่างนั้นก็บ้าไปด้วยกันเลยไป!”

ชิงหลงหลงยังไม่ทันได้สติคืนมาก็โดนชายชุดกาวน์สองคนจับหัวจับขาราวลูกหมูที่รอโดนเชือด จนกระทั่งถูกโยนเข้าไปในรถ

“เฮ้ย! หลงไม่ได้บ้านะ!”

เสียงประตูรถปิดดังปัง ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวไปยังโรงพยาบาลจิตเวชโหยวซื่อที่ตั้งอยู่บนยอดเขา

 

# # #

 

โหยวปิ่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชโหยวซื่อ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาลด้วย และเพราะมีผู้ป่วยจิตเวชหลบหนี เขาจึงต้องมาที่นี่เพื่อจัดการเรื่องนี้

เมื่อเห็นว่ารถที่ไปจับตัวคนไข้หลบหนีกลับมาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืนรออยู่ด้านในโรงพยาบาล แต่ทันทีที่ประตูรถเปิดออกก็กลับได้ยินเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังขึ้น...

“อ๊าๆๆๆๆๆๆ! ฉันไม่ได้เป็นบ้า ปล่อยฉันออกไป อ๊าๆๆๆๆๆๆ!!!”

จากนั้นเหล่าชายในชุดกาวน์สีขาวก็พาตัวคนสองคนลงจากรถ

คนแรกคือผู้ป่วยจิตเวชที่ชื่ออู๋ฮ่าว

ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มท่าทางกระฉับกระเฉงดูนุ่มนิ่มน่ารัก

โหยวปิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจออกไป “ทำไม...ถึงจับเพิ่มกลับมาอีกหนึ่งคนล่ะ หมู่บ้านข้างล่างเขาทำกิจกรรมจับหนึ่งแถมหนึ่งหรือไง เด็กบ้านใครกัน”

ชายชุดกาวน์เบอร์สองปัดเสื้อผ้าที่มีแต่รอยเท้าของชิงหลงหลงเต็มไปหมดแล้วตอบว่า “ไม่มีใครรับก็เลยจับกลับมาด้วยครับ โคตรเหมือนลาเลย...หัวผมโดนกระเป๋าฟาดด้วยเนี่ย ขอค่ารักษาพยาบาลด้วยนะครับผู้อำนวยการ!”

โหยวปิ่งตอบยิ้มๆ “อือ บาดเจ็บระหว่างทำงานก็ไปตรวจที่แผนกอายุรกรรม แล้วหยิบลูกท้อกระป๋องติดมือไปด้วย ลาพักร้อนซะ ดีขึ้นค่อยกลับมาทำงาน”

“ครับผม!” ชายชุดกาวน์เบอร์สองจึงรีบจากไปอย่างมีความสุข

ชิงหลงหลงไม่คิดสนใจอะไรอีกแล้ว เขาพุ่งตัวลงไปนั่งคุกเข่า กอดขาโหยวปิ่งเอาไว้แน่น “ผู้อำนวยการครับ! ผมโดนใส่ความ! ผมไม่ได้เป็นบ้านะ! ผมแค่ผ่านมาเท่านั้นเอง!”

โหยวปิ่งอ่อนโยนมาก เขาพยุงชิงหลงหลงให้ลุกขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คือว่านะ เธอชื่อว่าอะไรเหรอ อายุเท่าไรแล้ว บ้านอยู่ที่ไหน”

ชิงหลงหลงรีบตอบทันที “ผมชื่อชิงหลงหลง อายุหนึ่งร้อยแปดสิบปีแล้ว บ้านอยู่ที่ตำหนักเสี่ยวชิงในพระราชวังชิงหลงครับ”

ทันทีที่พูดจบ ชิงหลงหลงก็ชะงักไปชั่วขณะ แย่แล้ว เขาปากไวเกินไป!

และตอนที่ชิงหลงหลงคิดว่าตัวเองจะต้องโดนหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปวิจัยแน่นอนนั้น โหยวปิ่งกลับเอ่ยด้วยสีหน้าใจดีว่า “โอ้โห หนึ่งร้อยแปดสิบปีเลย ถ้าอย่างนั้นก็เป็นมังกรเด็กอยู่สินะ ทำไมออกมาวิ่งเล่นมั่วซั่วกัน แล้วมังกรตนอื่นๆ ที่วังล่ะ”

ชั่วขณะนั้นชิงหลงหลงรู้สึกว่าผู้อำนวยการท่านนี้สนิทกับมังกรจริงๆ! ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้เจอเพื่อนเก่าในต่างแดนแล้ว!!!

แม้ไม่รู้ว่าทำไมผู้อำนวยการท่านนี้ถึงสงบนิ่งเช่นนี้ แต่หลงก็ได้เจอกับความเข้าใจและเอาใจใส่ หลงจดจำคนใจดีคนนี้เอาไว้แล้ว!

เดี๋ยวรอให้อิทธิฤทธิ์ของหลงกลับมาก่อน! จะเป็นวันที่ผู้อำนวยการได้เลื่อนขั้นขึ้นพรวดๆ แน่!

ชิงหลงหลงรู้สึกปลื้มปริ่ม เขาจับเสื้อกาวน์ของโหยวปิ่งแล้วเอ่ยทั้งน้ำตา “เผ่ามังกรกำลังลำบาก เกล็ดใต้คอสูญหายไป หลงก็เลยมาตามหาเกล็ดใต้คอผ่านสระวิเศษ แล้วก็เจอกับเขา...” หลงชี้ไปยังอู๋ฮ่าวที่อยู่ด้านข้างซึ่งถูกจับปิดปากและมีสีหน้าโกรธเคือง แล้วพูดอุบอิบต่อว่า “เขาบอกว่าเขาเป็นเสือขาว หลงก็เลยเชื่อ! เขาบอกว่าพวกคนชั่วจะมาจับตัวเขาไป หลงก็เชื่อ! ใครจะไปรู้ว่าเขาเป็นคนบ้ากัน! กว่าหลงจะรู้ความจริงก็สายไปแล้ว แล้วหลงก็โดนพวกนั้นจับตัวมาโดยไม่ให้หลงอธิบายอะไรเลย! ผู้อำนวยการเป็นคนดี! รีบปล่อยหลงนะครับ!”

โหยวปิ่งส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ “มังกรเขียวอย่างเธอน่าสงสารจัง ตำหนักเสี่ยวชิงอยู่ไกลจากที่นี่ขนาดไหนเหรอ ต้องให้ฉันส่งกลับไปไหม”

ช่างเป็นผู้อำนวยการในโลกมนุษย์ที่แสนดีจริงๆ! ถ้าได้กลับไปแล้วหลงจะยกภูเขาทองให้เลย!

ชิงหลงหลงเอ่ยด้วยความหดหู่และทรมานใจว่า “หลงมาที่โลกมนุษย์ผ่านทางสระวิเศษ ตอนนี้ตำหนักเสี่ยวชิงไม่เพียงมีระยะห่างด้วยระยะทาง แต่ยังเป็นการห่างด้านภพด้วยครับ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่องครักษ์ไม่สามารถตามมาได้ หลงทำได้แค่ต้องหาเกล็ดใต้คอให้พบถึงจะสามารถกลับไปได้ครับ”

อ้อ ถ้าอย่างนั้นผู้ป่วยคนนี้ก็อาจจะเผลอนั่งรถสาธารณะอย่างพวกรถไฟใต้ดินออกมาแล้วครอบครัวตามตัวไม่ทัน จากนั้นก็ถูกส่งมาจนห่างไกลบ้านแบบนี้

โหยวปิ่งคาดการณ์เรื่องราวไว้ในใจแล้ว เขาแสร้งตบไหล่ชิงหลงหลงอย่างเข้าใจความเจ็บปวดนั้น “โอ้! น่าสงสารจริงๆ เกล็ดใต้คอหายไปได้ยังไงล่ะ ใช่แล้ว เธอเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก รู้หรือเปล่าว่าโลกมนุษย์ต้องมีบัตรประชาชนนะ ถึงจะไปไหนมาได้ไหนอย่างอิสระน่ะ เธอมีไหม”

ชิงหลงหลงทั้งรู้สึกท้อแท้และทำอะไรไม่ถูก “หลง...ไม่มีครับ”

ผู้ป่วยคนนี้ไม่มีแม้แต่บัตรประชาชนด้วยซ้ำ แต่มาจากไหนก็ไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไร

โหยวปิ่งคิดพิจารณาอยู่สักพักด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยอย่างคนที่เต็มไปด้วยคุณธรรม “ไม่มีเหรอ...อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างนี้แล้วกัน ที่นี่มีห้องเหลือมากมาย เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอเอง เธอพักอยู่ที่นี่แล้วฉันจะเธอตามหาเกล็ดใต้คอ เธอคิดว่ายังไง”

ชิงหลงหลงเข่าอ่อน อยากจะกอดขาโหยวปิ่งแต่กลับโดนอีกฝ่ายพยุงตัวไว้ได้เสียก่อน

“คุณช่างเป็นคนที่ดีที่สุดในใต้หล้าเลยครับ!!!”

โหยวปิ่งรีบปัดมือไปมา “ไม่ขนาดนั้นหรอกๆ อย่างนี้แล้วกัน เธอตามลูกน้องฉันไปแล้วก็พักผ่อนในห้องเธอให้สบาย เดี๋ยวฉันจะให้คนไปเรียกเธอตอนกินข้าว”

น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาเต็มดวงตาของชิงหลงหลง “ครับ การได้มาเจอคนดีๆ แบบคุณในโลกมนุษย์ หลงช่างโชคดีจริงๆ!”

โหยวปิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสารปนเอ็นดู “ไปเถอะๆ พักผ่อนให้สบาย เด็กคนนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ”

หน้าตาก็ดีอยู่หรอกนะ แต่กลับต้องมาป่วยร้ายแรงมากขนาดนี้

และเมื่อชิงหลงหลงหันหลังให้ โหยวปิ่งก็กวักมือเรียกนางพยาบาล แล้วเอ่ยเสียงกระซิบว่า “คนไข้ห้องสามศูนย์หกป่วยเป็นโรคจิตหลงผิด อายุสิบแปดปี หลังจากลงทะเบียนแล้วค่อยพาเขาลงเขาไปทำเรื่องที่สถานีตำรวจ ให้พวกเขาใส่ใจเรื่องบุคคลสูญหายรอบเมืองช่วงนี้ด้วย”

หลังจากกำชับเรียบร้อยแล้ว โหยวปิ่งจึงเห็นอู๋ฮ่าวซึ่งถูกบุรุษพยาบาลจับอุดปากอยู่ข้างรถ

สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นรันทดใจ

“ทำไมเธอต้องหนีด้วยล่ะ ฉันดูแลเธอไม่ดีเหรอ เธอไม่รักฉันแล้วหรือไง!”

บุรุษพยาบาลปล่อยให้อู๋ฮ่าวเป็นอิสระ

อู๋ฮ่าวนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับไม่รู้ว่าควรจะต่อบทจากชิงหลงหลงดี หรือต่อบทจากพวกผู้อำนวยการไปเลย...

อู๋ฮ่าวเป็นผู้ป่วยโรคจิตหลงผิดจากการเหนี่ยวนำ ซึ่งเป็นโรคจิตประเภทที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามคำพูดหรืออาการป่วยของคนรอบข้างได้

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือถ้าคนรอบข้างอยากให้เขาเล่นบทบาทอะไร เขาก็จะทำแบบนั้น

นี่คือสาเหตุว่าทำไมเมื่อได้ยินว่าชิงหลงหลงเป็นมังกรแล้ว เขาก็รีบออกตัวทันทีว่าตนเป็นเสือขาว

โหยวปิ่งเห็นอู๋ฮ่าวลังเลจึงเอ่ยโน้มน้าวเพิ่มอีกว่า “เธอเคยบอกกับฉันว่าเธอรักฉันนะ! ในเมื่อรักฉัน แล้วทำไมถึงหนีไปล่ะ”

อู๋ฮ่าวอินไปกับความรู้สึกรุนแรงที่ระเบิดออกมาได้สำเร็จ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเจ็บปวดทันที “ก็เพราะว่ารักคุณก็เลยยิ่งต้องหนี เพราะความรักของคุณทำให้ผมหายใจไม่ออก”

โหยวปิ่งแสร้งทำเป็นปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าฉันไม่รักเธอแล้ว เธอจะอยู่ที่นี่ดีๆ แล้วจะไม่หนีไปอีกหรือเปล่า”

อู๋ฮ่าวรู้สึกว่าคำพูดนี้ดูมีเหตุผลดีจึงพยักหน้า “ถ้าคุณรักษาระยะห่าง ผมจะไม่หนีไปอีก”

โหยวปิ่งถอนหายใจแล้วหันหลังให้ “อย่างนั้นเธอก็กลับห้องเถอะ ฉันไม่รักเธออีกต่อไป และจะรักษาระยะห่างกับเธอด้วย เธอไม่ต้องหนีไปไหนอีกแล้ว”

อู๋ฮ่าวคล้ายลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เพิ่งถูกบอกเรื่องที่ตนป่วยเป็นโรคจิตเภท เขาพยักหน้าอย่างจริงจังทันที “อยากให้คุณพูดแล้วทำได้ด้วย”

จากนั้นเขาก็ยืดอกสาวเท้ากลับห้องผู้ป่วย ราวกับว่าในที่สุดก็สมปรารถนาและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เสียที

เหล่านางพยาบาลและบุรุษพยาบาลมองผู้อำนวยการที่สามารถแสดงได้ทุกบทบาทด้วยความรู้สึกที่สับสนและนับถือจากใจจริง

จะมีใครทำได้เหมือนผู้อำนวยการบ้าง สามารถจัดการกับผู้ป่วยจิตเวชได้อยู่หมัดโดยการพูดอะไรไปเรื่อยแบบนี้!

ผู้อำนวยการช่างเป็นแบบอย่างให้พนักงานในโรงพยาบาลจิตเวชทุกคนจริงๆ!!!

 

# # #

 

ทางด้านชิงหลงหลงนั้นก็กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน

เขานั่งรอในห้องผู้ป่วยอยู่สามวันเต็มๆ

จากนั้นจึงพลันตระหนักขึ้นมาได้อย่างกะทันหันว่า...เหมือนเรื่องนี้จะมีอะไรแปลกๆ อยู่

 

# # #

 

“ผมต้องการเจอผู้อำนวยการ!!!” ชิงหลงหลงตะโกนลั่น

เขาดูออกแล้วว่าหลายวันมานี้เขาถูกปฏิบัติเหมือนกับผู้ป่วยจิตเวชคนอื่นๆ!

คนพวกนี้จะจับหลงมารักษาอาการทางจิตจริงๆ ด้วย!

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกครั้งหลังจากเขากินข้าวเสร็จแล้วจะง่วง ไม่แน่ว่าเพราะในข้าวจะต้องมียาบ้าๆ อะไรสักอย่างแน่ๆ!

ผู้อำนวยการคนหลอกลวง!

ผู้อำนวยการคนใจดำ!

เหมือนที่ในหนังสือบอกไว้ไม่มีผิด ยิ่งคนหน้าตาดี จิตใจก็ยิ่งมีพิษ!

แล้วผู้อำนวยการก็หน้าตาดีแถมยังใจดีอีกด้วย! ที่แท้ก็หลอกหลงนี่เอง!

นางพยาบาลรีบวิ่งมาทันที “หลงหลง เธอตะโกนทำไมน่ะ ผู้อำนวยการกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยเธอตามหาเกล็ดใต้คออยู่ไง! ลืมแล้วเหรอ”

ชิงหลงหลงยังอยู่ในช่วงสังเกตการณ์ ดังนั้นนางพยาบาลจึงไม่มั่นใจว่าที่ชิงหลงหลงโวยวายแบบนี้จะมีแนวโน้มไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ ตอนนี้จึงกล้าทำได้เพียงพูดคุยผ่านทางช่องเล็กๆ บนประตูเท่านั้น และช่องเล็กก็ยังมีเหล็กป้องกันเอาไว้ด้วย

การกระทำเช่นนี้จึงเกือบทำให้หลงระเบิดโมโหออกมา!

“ถ้าคุณจะพูดอะไรก็เปิดประตูมาพูดกันสิ!”

เธอจะไปกล้าเปิดที่ไหนกัน “หลงหลง ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจเลย! ผู้อำนวยการช่วยเธอหาเกล็ดใต้คอได้ง่ายๆ เหรอ! เมื่อวานยังต้องสู้กับสัตว์ประหลาดตัวอื่นอยู่เลยนะ เกือบจะได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำ!”

ชิงหลงหลงพยายามเปิดประตู แต่ด้านนอกถูกล็อกเอาไว้จึงไม่มีทางเปิดออกได้ เขาพูดอย่างโมโหว่า “หาอะไรล่ะ! ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมยังไม่ได้บอกเขาเลยด้วยซ้ำว่าเกล็ดใต้คอผมมันหน้าตาเป็นยังไง! แล้วเขาจะหาได้ยังไง! คุณเปิดประตูให้ผมเลยนะ! ผมจะไปเจอไอ้ผู้อำนวยการคนหลอกลวงนั่น!”

นางพยาบาลเงียบไปหลายวินาที จากนั้นจึงส่งรอยยิ้มเขินให้ “โอ๊ย ผู้อำนวยการมีพลังมากมายขนาดนั้น เธอไม่ต้องพูดเขาก็รู้อยู่แล้ว!”

คิดว่าหลงเป็นบ้าจริงๆ ใช่ไหม!

ชิงหลงหลงยิ่งโกรธในทันใด เขาเท้าเอวพร้อมตะโกนเสียงดังว่า “คุณเป็นผู้หญิง ผมเลยไม่อยากด่าคุณนะ! จะไปไหนก็ไปเลย! เปลี่ยนเป็นผู้ชายมา! หลงมีคำหยาบที่อยากจะด่าออกมา!”

ทางด้านนอกประตู โหยวปิ่งบังเอิญเดินผ่านมาหลังจากส่งผู้ป่วยคนหนึ่งกลับเข้าห้อง จึงได้ยินคำพูดนี้พอดี เขาโบกมือไปมาเพื่อให้นางพยาบาลออกไป

จากนั้นก็เกิดเสียงแกร๊ก และประตูก็เปิดออก

โหยวปิ่งยืนพิงอยู่กับกรอบประตู บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มฉาบไว้อยู่ “เธอมีคำหยาบอยากพูดกับฉันเหรอ”

ดูเหมือนภาพโหยวปิ่งที่ยืนพิงกรอบประตูนั้นจะดูดีจนทำให้มองแล้วรับรู้ได้ถึงความสุขที่อิ่มเอมในใจ เส้นผมหยักศกเล็กน้อยสีเกาลัดเหมือนกำลังส่องแสงที่แสนอบอุ่น ประกายความใจดีและอ่อนโยนในแววตาอีกฝ่ายทำให้อารมณ์โมโหโทโสของชิงหลงหลงสงบลงได้

คำพูดชิงหลงหลงจุกลำคอในฉับพลัน คำหยาบทั้งหมดคล้ายถูกเคี้ยวแล้วกลืนลงคอจนหายไปไม่เหลือ

และตอนที่ชิงหลงหลงเริ่มสงสัยว่าเกิดความเข้าใจผิดระหว่างพวกเขาหรือไม่ หรือความจริงแล้วผู้อำนวยการดีกับเผ่ามังกรจริงๆ เขาก็พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายมีอะไรบางอย่างแปลกไป!

บริเวณบาดแผลตรงส่วนเกล็ดใต้คอที่หายไปเริ่มคันยุบยิบคล้ายเป็นสัญญาณบอกว่าแผลใกล้จะหาย!

ความรู้สึกนี้...เกล็ดใต้คออยู่แถวนี้นี่!

ชิงหลงหลงไม่สนใจโหยวปิ่งอีกแล้ว เขากวาดตามองหารอบด้าน

เกล็ดใต้คออยู่ที่ไหนกัน ไม่ใช่ว่าจะบินเข้ามาหาหรือยังไง เกล็ดใต้คอเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแบบไหนไปแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่บินมาอีก

และโหยวปิ่งเองก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นประหลาดจากมีดสั้นที่เขาเพิ่งฉวยเอามาจากผู้ป่วยคนอื่น

เขายกมือขึ้นมาดูด้วยความสงสัย มีดสั้นของเล่นนี่มีปุ่มระบบสั่นด้วยเหรอ

แต่การยกมือขึ้นมานี้กลับทำให้เรื่องแย่ เพราะมีดสั้นพลันหลุดออกจากมือในทันที!

ปลายมีดสั้นแหลมคมบินพุ่งตรงไปหาชิงหลงหลง!

ชิงหลงหลงเห็นมีดสั้นพุ่งเข้ามายังตนเองก็ตะลึงงัน นิ่งค้างไปทั้งร่าง

ฉิบแล้ว!

โชคของหลงไม่เหลือแล้ว!

เกล็ดใต้คอเปลี่ยนร่างเป็นมีดสั้นจริงๆ ด้วย!

เมื่อได้สติ ชิงหลงหลงจึงยื่นสองมือออกไปจับด้ามของมีดสั้นเล่มนั้นเอาไว้ แต่ปลายมีดสั้นก็แทงทะลุผ่านเสื้อผ้าเขาเสียแล้ว

เขาจึงดึงมีดสั้นที่พยายามขยับเข้าใกล้ให้หันไปด้านนอกเพื่อหยุดมันไว้ แต่ทว่าร่างกายกลับรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อย่างชัดเจนราวกับเกล็ดถูกดึงออกจากกระดูก

“อ๊า...!” ชิงหลงหลงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและล้มลงไปนั่งกับพื้นทันที

เขายังคงพยายามจับมีดสั้นในมือให้แน่นจนรู้สึกเจ็บแสบที่ปลายนิ้ว

แต่ถ้าเป็นในมุมมองของโหยวปิ่งนั้น

นอกจากมีดปอกผลไม้ที่บินออกไปแบบที่ดูไม่ค่อยถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เท่าไรในตอนแรกแล้ว ภาพต่อมาก็คือชิงหลงหลงกำมีดเล่มนั้นด้วยสองมือและพยายามแทงเข้าหาตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

พฤติกรรมเหมือนผู้ป่วยคนที่เขาเพิ่งส่งกลับห้องไปเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน!

โหยวปิ่งกดปุ่มขอความช่วยเหลือบนผนังอย่างคล่องแคล่ว แล้วรีบสาวเท้าเข้าไปฉวยเอามีดสั้นที่อยู่ข้างตัวชิงหลงหลง!

แต่ยิ่งเขาพยายามดึงออกเท่าไร ชิงหลงหลงก็กรีดร้องมากเท่านั้น

โหยวปิ่งจึงทำได้เพียงต้องเหยียบหน้าอกชิงหลงหลงอย่างไม่มีทางเลือก! ส่วนอีกมือก็พยายามดึงมีดสั้นที่อีกฝ่ายกุมไว้แน่นออกมา!

สุดท้ายก็ดึงออกมาจนได้...

และเหล่าบุรุษพยาบาลก็มาถึงในเวลานี้

ผู้ชายตัวใหญ่หลายคนพากันไปคุมตัวชิงหลงหลงที่สภาพตัวหนาวสั่น เหงื่อซึม ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว และมีรอยเท้าอยู่บนหน้าอกโดยไม่ถามไถ่อะไรสักคำ

ทั้งสี่คนกดชิงหลงหลงลงกับพื้นอย่างแรง

โหยวปิ่งมองมีดสั้นในมืออย่างหวาดผวาในใจ เขามั่นใจมากว่ามีดสั้นในมือไม่มีขาแน่นอน แต่เมื่อครู่มีดเล่มนี้บินออกจากมือเขาไปอย่างกะทันหันได้อย่างไร

หรือช่วงนี้เขาทำงานหนักเกินไปก็เลยเห็นภาพลวงตานะ

ไม่ง่ายเลยกว่าชิงหลงหลงจะหาเกล็ดใต้คอเจอ แล้วเขาจะยอมแพ้ได้อย่างไร

มีดเล่มนี้บินมาจากผู้อำนวยการ ต้องเป็นของผู้อำนวยการแน่ๆ!

หลงเอ่ยเสียงดังลั่นห้องว่า “เอามันคืนมาให้ผมนะ! นั่นเป็นของผม! มันเป็นเกล็ดใต้คอของผม! ถ้าคุณตกลงจะให้ผม มันจะกลายร่างกลับคืนสู่รูปเดิม ผมก็จะได้มีอิทธิฤทธิ์แล้วกลับบ้านได้! ถึงเวลานั้นผมสัญญาว่าจะให้เพชรนิลจินดาตอบแทนคุณแน่นอน!”

โหยวปิ่งหลุบตามองชิงหลงหลงที่นอนกับพื้น จากนั้นมองมีดในมืออย่างพิจารณาอีกครั้ง

มันไม่ขยับแปลกๆ อีกแล้ว...

เขาพลิกมือแล้วเก็บมีดเล่มนั้นไว้

จากนั้นนางพยาบาลก็เข้ามาพร้อมกับยากล่อมประสาท

เมื่อฉีดยาแล้ว ภายในใจชิงหลงหลงก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย

เหล่าบุรุษพยาบาลย้ายร่างชิงหลงหลงให้มานอนบนเตียงแล้วมัดแขนและขาทั้งสองข้างเอาไว้

ชิงหลงหลงมองผู้อำนวยการอย่างไร้เรี่ยวแรง ในแววตาเต็มไปด้วยการขอร้อง...

โหยวปิ่งพูดเสียงเรียบเฉยว่า “ผู้ป่วยห้องสามศูนย์หก ชิงหลงหลง มีอาการคลั่งและจะฆ่าตัวตาย เมื่อพิจารณาจากการเฝ้าสังเกตอาการแล้วต้องปรับให้เป็นผู้ป่วยอาการหนักและต้องเพิ่มการเฝ้าสังเกตด้วย”

เวลานี้ความไว้วางใจในตัวมนุษย์ของหลงได้แตกสลายไม่เหลือชิ้นดีไปเสียแล้ว

ชิงหลงหลงโดนทำร้ายจิตใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มาโลกมนุษย์ ดังนั้นในดวงตาจึงเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส เขากัดปากดูน่าสงสารจนเกือบจะหลุดร้องเพลง ‘คุณ มัน ร้ายกาจ!’

 

# # #

 

หลังจากจดบันทึกเรียบร้อยแล้ว โหยวปิ่งก็พูดว่า “เอาล่ะ พวกคุณไปได้แล้ว ผมขอคุยกับผู้ป่วยก่อน อยากพยายามคุยเปิดใจกับเขาน่ะ”

หลังจากรอทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้ว

ชิงหลงหลงก็เอ่ยพึมพำอย่างอ่อนแรงว่า “นั่นเป็นเกล็ดใต้คอของผมจริงๆ นะ ขอแค่คุณตกลงจะมอบมันให้ผม ผมก็จะกลับบ้านได้ แล้วผมก็จะไม่ถือสาหาความเรื่องที่คุณโกหกผมด้วย”

โหยวปิ่งพลันหันศีรษะกลับมาราวกับผีพร้อมกับรอยยิ้มที่ติดตรงมุมปาก “อยากตายเหรอ”

น่ากลัว!

ลมหายใจชิงหลงหลงเกือบหยุดทีเดียว ภาพนี้มันน่ากลัวเกินไปสำหรับหลง! เพราะมันเหมือนเรื่องผียายแก่ที่จะกินมังกรแบบในนิทานที่แม่นมเคยเล่าให้ฟังเลย!

โหยวปิ่งโน้มตัวราวกับสัตว์มาแตะตัวชิงหลงหลง เขากวาดสายตาไปมา ทว่าสายตาเริ่มใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่ง “ฉันช่วยให้ตายได้นะ เธอฆ่าตัวตายมันก็ไม่ได้แปลกหรอก แต่ถ้ายังไงก็ยังอยากตาย ฉันก็จะค่อยๆ กินเธอ เธอว่ายังไงล่ะ”

ฮึก...! เสด็จพ่อ! หลงหลงอยากกลับบ้าน! ผู้อำนวยการหลอกลวงนี่จะกินหลงด้วย!!!

ชิงหลงหลงกลัวจนวิญญาณเกือบออกจากร่าง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชควรได้รับการดูแลเป็นคนแรกเลย!

สมองของหลงเกิดภาพที่โหยวปิ่งกำลังกัดสมองตนผุดขึ้นมา จากนั้นก็ดูดเลือดแล้วกลืนลงลำคอเหมือนดูดไอศกรีม!

น้ำตาชิงหลงหลงไหลออกมาทางหางตา เขาอาจจะไม่มีวันได้เจอเสด็จพ่ออีกต่อไปแล้ว ฮือๆๆ!

องครักษ์! มีคนจะกินหลงแล้ว!

หลงไม่อยากโดนกินสมองนะ! ไม่อยากโดนบ้วนลูกตา แล้วทำได้แค่นิ่งมองร่างกายตัวเองโดนคนอื่นดูดกลืนเหมือนไอศกรีมด้วย ฮือๆๆๆ!

โหยวปิ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดราวกับถามคนรัก

“ร้องไห้ทำไม ไม่พอใจกับวิธีตายนี่เหรอ”

ชิงหลงหลงร้องไห้ฮือๆ พลางพูดว่า “ผมไม่อยากโดนกิน ฮือๆ...ไม่อยากโดนกิน ฮือๆๆๆ...”

โหยวปิ่งหยิบมีดปอกผลไม้มากรีดลงบนตัวชิงหลงหลงเบาๆ “ไม่อยากได้เจ้านี่แล้วเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันจะใช้มันมาแล่ เธอว่าเริ่มแล่จากตรงไหนดี”

ชิงหลงหลงพยายามดิ้นรนสุดแรงเกิดแต่กลับไร้เรี่ยวแรงเพราะได้รับยากล่อมประสาท

แม้กระทั่งร้องไห้ก็ยังทำได้เพียงส่งเสียงสะอื้นอย่างอ่อนแรง “ฮือๆ...ผมไม่เอาแล้ว ฮือๆ...เอามันไปไกลๆ ผม ฮือๆๆๆ...”

ไอ้ผู้อำนวยการบ้า!

อ๊ากๆๆๆ!

มันจะกินหลงแล้ว!

โหยวปิ่งยืดตัวตรงแล้วมองเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นบนเตียง อีกฝ่ายดูไม่เหมือนมีแนวโน้มอยากฆ่าตัวตายเลย

แถมมีดเล่มนี้ก็ไม่สั่นแปลกๆ อีกแล้ว หรือว่าเขาจะตาฝาดไปเองจริงๆ นะ

โหยวปิ่งแสร้งทำเป็นถอนหายใจอย่างผิดหวัง แล้วพูดลองเชิงต่อว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นฉันจะเก็บมีดเล่มนี้ไว้ก่อนนะ ถ้าเธออยากตายเมื่อไร ฉันค่อยให้เธอ”

ชิงหลงหลงร้องไห้ฮือ “ฮือ...ผมไม่เอาแล้ว...”

เกล็ดใต้คอไม่ได้สำคัญเท่าชีวิตเสียหน่อย ไอ้ผู้อำนวยการบ้านี่มันจะกินหลงจริงๆ นะ!

โหยวปิ่งมั่นใจแล้วว่าชิงหลงหลงในเวลานี้ไม่มีความคิดอยากฆ่าตัวตายใดๆ อีกแล้ว

สีหน้าโหยวปิ่งกลับมาเป็นปกติและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง “เด็กดี ไม่เอามันน่ะถูกแล้วนะ เป็นเด็กดีเชื่อฟังนะ”

ชิงหลงหลงร้องไห้สะอึกสะอื้น รู้สึกว่าชีวิตนั้นไร้ซึ่งความหวังแล้ว

เขาอาจจะต้องรอให้คนคนนี้ตายก่อน เกล็ดใต้คอจึงจะเปลี่ยนเจ้าของและกลับมาเป็นเกล็ดใต้คอของตนอีกครั้ง

เมื่อทบทวนได้ดังนี้ ชิงหลงหลงจึงเกิดความคิดที่ว่าเขาต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้ได้

จากนั้นสิ่งที่ตามก็คือความง่วงที่กดทับลงมาเรื่อยๆ ก่อนที่ตาจะปิดลงก็ยังพึมพำเสียงเบาไม่หยุดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณต้อง...รักษาเกล็ดใต้คอผมให้ดีๆ มันสำคัญมากๆ เลยนะครับ”

ได้ยินแบบนั้นแล้ว โหยวปิ่งก็อดลูบมีดที่เหน็บอยู่ตรงเอวไม่ได้ ภายในใจเกิดความสงสารขึ้นมา

น่าเสียดายจริงๆ ที่เด็กที่แสนดีขนาดนี้ต้องป่วยเป็นโรคแบบนี้

เขาเดินออกจากห้องผู้ป่วยแล้วพูดกับนางพยาบาลว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้ชิงหลงหลงทำอะไรก็ได้ตามใจนะ”

เธอตกใจมาก “แล้วถ้าเขาหนี ฆ่าตัวตาย หรือทำให้คนอื่นบาดเจ็บจะทำยังไงล่ะคะ”

“เขาไม่ทำหรอก” โหยวปิ่งเผยรอยยิ้มบางที่ดูมั่นใจให้ “ของที่สำคัญที่สุดของเขาอยู่กับผมแล้วนี่”

เห็นรอยยิ้มของผู้อำนวยการแล้วพวกเธอก็อดรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาไม่ได้

ผู้อำนวยการรักษาอาการป่วยได้ เจ๋งที่สุดเลย!

 

# # #

 

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ชิงหลงหลงพลิกตัวและพบว่าสองมือและสองเท้าตัวเองไม่ได้ถูกมัดไว้อีกแล้ว

เขาลุกขึ้นมามองประตูซึ่งตอนนี้มันเปิดอยู่อีกด้วย!

นี่มันน่าแปลกจริงๆ เลยเชียว!

ชิงหลงหลงรีบสวมรองเท้าทันที เมื่อเดินจนถึงหน้าประตูก็โผล่ศีรษะออกมามองซ้ายมองขวา

ไม่มีผู้คนและเงียบมาก...

เขาเดินลงจากชั้นสามมายังชั้นหนึ่ง

ถึงขนาดที่ชิงหลงหลงวิ่งภายในโรงพยาบาลก็ไม่มีใครมารั้งเขาเอาไว้

แม้แต่พวกนางพยาบาลที่เดินผ่านมาก็ทำเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้เขาเท่านั้น

ฉับพลันเขาก็ได้ยินเสียงเพียะๆๆ เมื่อฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นเสียงเนื้อกระทบกับอะไรสักอย่างที่ดังกังวานชัดเจน

ภายในสมองชิงหลงหลงเอนเอียงไปทางเรื่องสิบแปดบวกทันที เสียงเพียะๆๆ อย่างนั้นเหรอ

ไม่น่าจะเป็น...

“ฮ่า...” จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเย็นๆ ดังออกมาจากทางด้านหลังภูเขาปลอม

ชิงหลงหลงตื่นตัวทันใด นี่มันเสียงหัวเราะเย็นๆ ที่ตรงตามมาตรฐานท่านประธานสุดโหดนี่นา!

เขาค่อยๆ แอบย่องเข้าไปใกล้เพราะอยากเห็นว่ามีคนกำลังทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอยู่หรือเปล่า

โอ๊ย เคยอ่านแต่ในนิยายกับหนังสือการ์ตูน เพิ่งเคยเห็นฉากเพียะๆๆ ของจริงเป็นครั้งแรกเลย

ก็ทำหลงเขินอยู่เหมือนกันนะ

เมื่อเดินอ้อมภูเขาปลอมมาแล้ว ชิงหลงหลงก็เห็นภาพที่ไม่ใช่ฉากสิบแปดบวกอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้

แต่เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังตบหูตัวเอง!

ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนก็มองพลางหัวเราะเสียงเย็นชาอยู่ด้านข้าง เป็นรอยยิ้มเหยียดหยามและเย็นชา

ภายในสมองชิงหลงหลงที่เต็มไปด้วยเรื่องตัวละครสองดี ก็จัดประเภทเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้าทันที...นี่มันฝ่ายรับที่ชอบโดนแกล้ง! กับฝ่ายรุกขี้โมโหนี่!

จากนั้นในสมองก็ผุดเรื่องราวของซีรีส์วายแนวทั้งรักทั้งเกลียด อ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ได้ขึ้นมา!

หลังจากสังเกตการณ์สักพักแล้ว ชิงหลงหลงก็ยิ่งมั่นใจในความคิดตน ฝ่ายรับคนนี้จะต้องอยากดึงดูดความสนใจฝ่ายรุกผ่านการทำร้ายตัวเองแน่ๆ ส่วนฝ่ายรุกกลับหัวเราะเสียงเย็นเพื่อเหยียดหยาม

เฮ้อ ผู้ชายทำแบบนี้ไปก็ไร้ความหมาย

ทำไมถึงเจ็บปวดใจอย่างนี้! ชิงหลงหลงถูกฉากที่จินตนาการทำร้ายจนปวดตับไปหมด เขาจึงโผเข้าไปจับสองมือของฝ่ายรับอย่างมาดมั่นแล้วพูดว่า “เลิกตบได้แล้ว! อย่าตบหูอีกต่อไปเลย! มันบวมจนเหมือนหมั่นโถวแล้ว!” จากนั้นก็หันไปมองฝ่ายรุกด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “นายเป็นคนหรือเปล่า! ถึงได้เอาแต่มองเขาทำร้ายตัวเองแบบนี้น่ะ! ต่อให้นายไม่รักเขา แต่ก็อย่าเหยียบย่ำเขาสิ!”

ฝ่ายรุกหัวเราะหึๆ เสียงเย็นเยียบไม่สนใจชิงหลงหลง แววตาอีกฝ่ายเคลือบไว้ด้วยความเหยียดหยาม

ฝ่ายรับพยายามดิ้นรนสุดแรง ใช้สายตาดุดันมองคนนอก จนดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำร้ายตัวเองให้ได้

ชิงหลงหลงทนดูต่อไปไม่ได้ เขาจึงปล่อยมือฝ่ายรับไป

จากนั้นพลิกมือหันไปตบบ้องหูฝ่ายรุกจนเกิดเสียงดังเพียะ

ชิงหลงหลงกระทืบเท้าพูดเสียงดังลั่น “ถ้านายตบตัวเองฉันก็จะตบเขา! แล้วมาดูกันว่าหัวใจนายเจ็บหรือเปล่า!”

ชิงหลงหลงทำอะไรเกินไปมากจนทำให้สองคนตรงหน้าถึงกับนิ่งอึ้ง

โดยเฉพาะฝ่ายรุก!

ฝ่ายรุกถึงกับปิดหน้าแล้วถอยหลังห่างไปสองก้าว เขามองชิงหลงหลงด้วยสายตาที่เหลือจะเชื่อ จากนั้นก็หมุนตัวแล้ววิ่งหนีไปทันที!

ชิงหลงหลงจึงพยายามโน้มน้าวฝ่ายรับ “นายดูสิ เขาถึงกับวิ่งหนีไปเลย นายก็อย่าทำร้ายตัวเองเลยนะ”

ฝ่ายรับยังคงตบบ้องหูตัวเองจนสั่น แววตายังคงดื้อรั้นไม่ยอม

ชิงหลงหลงเจ็บปวดใจมาก “ได้! ในเมื่อนายไม่สนใจตัวเอง วันนี้ฉันก็จะสั่งสอนนายแทนพ่อแม่นายเอง นายจะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเจ็บปวด!”

พูดจบชิงหลงหลงก็ฟาดขาใส่ฝ่ายรับจนล้มลงไป ก่อนจะโผเข้าใส่แล้วทั้งเตะทั้งต่อย

ต่อยจนฝ่ายรับเอาสองมือกุมศีรษะ แล้วส่งเสียงร้องฮือไม่ขัดขืนอีกต่อไป ชิงหลงหลงจึงยอมปล่อยมือ

“ตอนนี้นายยังจะทำร้ายตัวเองอีกไหม! หา!?”

ฝ่ายรับยังคงกุมศีรษะตัวเองอยู่ “ฮือ...”

จากนั้นเหล่าบุรุษพยาบาลก็พากันกรูเข้ามาเหมือนตำรวจในภาพยนตร์แอ็กชันที่มักจะมาช้าเสมอ

พวกเขาแยกคนทั้งสอง หลังจากต่างฝ่ายต่างโดนฉีดยากล่อมประสาทแล้วจึงพากลับห้องตัวเอง

ชิงหลงหลงตะโกนลั่นไม่หยุดว่า “ปรักปรำหลง! ปรักปรำหลง! หลงแค่อยากปลุกใจให้เขาเปลี่ยนตัวเองใหม่เท่านั้น!”

# # #

 

เช้าวันต่อมา

หัวหน้าพยาบาลได้รายงานสถานการณ์ของคนไข้ให้โหยวปิ่งฟัง...

“อาการป่วยของตู้เท่อห้องสามศูนย์หนึ่งและเริ่นเอ่อร์ห้องสามศูนย์สองมีการเปลี่ยนแปลงค่ะ”

โหยวปิ่งเลิกคิ้ว “ถ้าผมจำไม่ผิด ตู้เท่อทั้งได้ยินเสียงและเห็นภาพหลอน และก็มีอาการคลุ้มคลั่ง ถ้ามีอาการขึ้นมาก็จะตบบ้องหูตัวเองไม่หยุด ส่วนเริ่นเอ่อร์ก็จะหัวเราะเสียงเย็นๆ ไม่หยุด สองคนนี้ปฏิเสธการมีปฏิสัมพันธ์ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลมาตลอด แล้วมีการเปลี่ยนแปลงได้ยังไงกัน”

นางพยาบาลเอ่ยด้วยสีหน้าสับสน “ตอนนี้เวลาตู้เท่อมีอาการก็จะไม่ตบหูตัวเองแล้ว ก็แค่มีอาการออทิสติกนิดหน่อย แต่เขาไม่ทำร้ายตัวเองอีกแล้วค่ะ ส่วนเริ่นเอ่อร์ก็ไม่หัวเราะแล้ว แถม...ดูเหมือนจะโกรธอยู่นิดหน่อยด้วย”

พอรายงานจบก็เล่าเรื่องที่ชิงหลงหลงอาการกำเริบแล้วไปตีสองคนนั้นให้โหยวปิ่งฟัง

สีหน้าโหยวปิ่งฉายแววสนใจใคร่รู้ “วิธีของเสี่ยวชิงหลงนี่ดีนะ ทำไมก่อนหน้านี้ผมถึงคิดไม่ได้นะ! หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง แก้ความรุนแรงด้วยการใช้ความรุนแรง”

นางพยาบาลเงียบไปอย่างหมดคำจะพูด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเอ่ยเตือนว่า “นี่มันเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรมนะคะผู้อำนวยการ อีกอย่างครอบครัวผู้ป่วยไม่มีทางยินยอมอยู่แล้ว”

โหยวปิ่งเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจ “ผมขอไปคุยกับผู้ป่วยก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

 

# # #

 

โหยวปิ่งมาที่ห้องของตู้เท่อก่อน

อาการสับสนทางจิตของตู้เท่อนั้นร้ายแรงมาก เวลาที่อาการกำเริบก็จะเอาแต่ตบบ้องหูตัวเองอย่างควบคุมไม่อยู่

ยามปกติที่อาการไม่ได้กำเริบก็มักจะหวาดระแวงและไม่สนทนากับผู้ใด ดังนั้นการรักษาจึงไม่ค่อยมีความคืบหน้าเท่าไรนัก

โหยวปิ่งใช้วิธีมากมายมารักษา แต่ก็ทำได้เพียงประคองอาการตู้เท่อไม่ให้กำเริบบ่อยครั้งเท่านั้น

ทว่าตู้เท่อในเวลานี้ไม่หวาดระแวงอีกแล้ว เขาเพียงแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มุมหนึ่งของห้อง ท่าทางซึมกะทือราวกับเด็กที่คิดถึงบ้าน

โหยวปิ่งนั่งยองๆ ตรงหน้าตู้เท่อแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เธอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”

ตู้เท่อคล้ายเพิ่งสังเกตเห็นโหยวปิ่ง แววตาเซื่องซึมนั้นเคลื่อนมามองโหยวปิ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเครือว่า “พูดเบาๆ สิครับ ข้างนอกมีคนบ้าที่ชอบตีคนอยู่นะ...”

นางพยาบาลที่กำลังจดบันทึกอาการได้แต่นิ่งเงียบ

“แล้วเธอจะทำยังไงดีล่ะ” โหยวปิ่งเอ่ยเสียงเบากว่าเดิม

ตู้เท่อนิ่งคิดอยู่สักพัก แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเศร้าสร้อยว่า “อยากออกจากโรงพยาบาลครับ...”

โหยวปิ่งกระตุกยิ้มกว้างจนตาปิด เขาหันไปมองนางพยาบาล “ดูสิ คุยได้ลื่นไหลแล้ว”

“...” นางพยาบาลไม่ตอบอะไร

จากนั้นโหยวปิ่งก็มายังห้องของเริ่นเอ่อร์

โดยปกติแล้ว เมื่อเริ่นเอ่อร์เจอผู้คนก็จะหัวเราะเสียงเย็นแบบที่ผู้ป่วยจิตเวชมักจะเป็น แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูแล้วประหลาด แต่ก็ดูทั้งเท่และเหยียดหยามไปพร้อมๆ กัน

ถ้าไม่ใช่เพราะปฏิเสธการสนทนากับผู้อื่นจนส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต อีกฝ่ายก็ดูไม่ได้แตกต่างจากคนปกติเท่าไรนัก

ทว่าในเวลานี้ เริ่นเอ่อร์กำลังใช้สีเทียนสีแดงขีดเขียนกระดาษอย่างรุนแรง จนมันดูยุ่งเหยิงเดาไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร

โหยวปิ่งถามเริ่นเอ่อร์ “ทำอะไรอยู่เหรอ”

สีเทียนในมือเริ่นเอ่อร์ชะงัก เขากัดฟันแล้วมองด้วยแววตาดุดัน

เริ่นเอ่อร์เอาแต่นิ่งมองโหยวปิ่งพร้อมพูดเสียงกระซิบ “ข้างนอกมีลาบ้าที่ชอบถีบคน ฉันกำลังวาดแบบกับดัก พรุ่งนี้จะได้ไปวางแล้วจับลาบ้านั่นมาถลกหนังกินซะ!”

โหยวปิ่งส่งยิ้มให้ “เล่าเรื่องกับดักเธอให้ฉันฟังหน่อยสิ ฉันจะได้ช่วยเธอจับได้”

“นายน่ะเหรอ” เริ่นเอ่อร์กวาดสายตามองโหยวปิ่ง แล้วเหยียดยิ้มพูดว่า “นายเป็นแค่แกะจะทำอะไรได้กัน”

ใบหน้าโหยวปิ่งนิ่งแข็ง รอยยิ้มค้างไปทันที

“พรูด” พยาบาลที่อยู่ด้านข้างอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เหอะ กระต่ายอย่างเธอหัวเราะทำไมกัน ปากจุ๋มจิ๋มนั่นดูน่าตลกจะตาย”

พยาบาลสาวน้อยที่ดูน่ารักจิ้มลิ้มในตอนแรกเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นคุณแม่หน้ายักษ์ในฉับพลัน

โหยวปิ่งหัวเราะลั่น “อย่างนั้น...ในสายตาเธอ พวกเราเป็นสัตว์หมดเลยเหรอ”

เริ่นเอ่อร์หัวเราะหึๆ “ไม่อย่างนั้นจะเป็นอะไรได้ล่ะ คน? พวกเธอปลอมตัวได้แย่โคตรๆ”

หนังสือแนะนำ All

Special Deal