Monday
ผู้คนมักหลงลืม ดังนั้นหลังจากผ่านช่วงชีวิตหนึ่ง ต้องหยุดเท้าลง ทบทวนผลได้ผลเสียเมื่อก่อนหน้านี้ พิสูจน์ยืนยันว่าช่วงเวลานี้ไม่สูญเสีย จากนั้นตระเตรียมเดินทางต่อ
หากพิสูจน์ยืนยันว่าช่วงเวลานี้ผ่านไปโดยสูญเปล่า ก็ปรารถนาใคร่ย้อนเวลากลับไปใหม่ แต่ในโลกไม่มีตัวยาสำนึกเสียใจ สิ่งที่สูญเสียไปไม่อาจทวงถามกลับไป ต่อให้ท่านวิ่งเร็วกว่าหลิวเสียง* ก็ตาม นี่เป็นกฎเกณฑ์ทางโลก อย่างน้อยไม่มีข้อยกเว้นหรือ ในยุคสมัยที่สามารถหักล้างกฎของหนิวตุ้น** บางครั้งเกิดเรื่องที่อยู่เหนือหลักวิทยาศาสตร์ ก็เป็นสิ่งที่ให้อภัยได้
* นักกีฬาวิ่งข้ามรั้วเหรียญทองโอลิมปิกของจีน
** กฎของนิวตัน
*** หวินเป็นแซ่ เย่แปลว่าเรืองรอง
หวินเย่*** เพิ่งรับประทานยาสำนึกเสียใจลงไป แต่ว่าฤทธิ์ยาออกฤทธิ์รุนแรงไปบ้าง เมื่อเขาพบว่าตัวเองยืนเปลือยเปล่าอยู่กลางท้องทุ่งร้าง ต้องตะลึงลานกับที่
ท้องทุ่งร้างงดงามยิ่ง หญ้าเขียวขจีดุจพรม ยื่นจากใต้เท้าไปสุดลูกหูลูตา บางครั้งปรากฏดอกไม้ป่าขึ้นแซม ยิ่งเพิ่มพูนสีสันให้กับพื้นหญ้า
เสียงพึ่บพั่บเมื่อไก่ป่าตัวหนึ่งทะลึ่งตัวขึ้นจาพงหญ้า ขู่ขวัญจนหวินเย่จนซวนเซเสียหลัก ค่อยคื่นจากห้วงตะลึงลาน ถามไถ่ตัวเองในใจ ‘นี่เป็นสถานที่ใด?’
เมื่อสิบนาทีก่อน ตนเองยังสะพายเป้ค้นหาเหล่าไหว้* ที่หายสาบสูญบนท้องทะเลทรายโกบี ตอนนี้กลับยืนเปลือยเปล่าบนทุ่งหญ้า นี่อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของเขา เมื่อมองดูดวงอาทิตย์อันระอุ ยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
* คำเรียกคนต่างประเทศที่มาจากฝั่งตะวันตก
หวินเย่แน่ใจว่าตนเองยังอยู่ในโลกมนุษย์ ต้นอวี้** ที่ต่ำเตี้ย ต้นไหว*** ที่กระจัดกระจาย แทรกแซมอยู่ท่ามกลางพืชเฮ่าอวี้ที่สูงราวครึ่งคน ช่วยให้เขาใจชื้นขึ้น
** ต้นเอม
*** ต้นโลคัส
เมื่อยังอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ก็เดินทางกลับไป หวินเย่คาดเดาว่าตนเองเผชิญกับรูหนอนที่ร่ำลือกัน เพียงเดินจากด้านหน้าของกระดาษไปยังด้านหลัง
เขาใช้ชีวิตอยู่บนท้องทุ่งร้างภาคตะวันตกเฉียงเหนือสิบห้าปี พอเห็นพายุทราย เผชิญกระแสไหลของหินเลน รับรู้ถึงทรายที่เคลื่อนไหว เผชิญพบฝูงสุนัขป่า ถูกมดยักษ์กัดใส่ จนมีเส้นประสาทที่แข็งแกร่ง ตอนนี้เผชิญกับรูหนอนก็ไม่ตระหนกตื่นเต้น
จำได้ว่าก่อนที่จะออกมา ตนเองดื่มน้ำเป็นคนที่หก เห็นก้นบึ้งปรากฏประกายสีทองแวบผ่านไป เข้าใจว่าเป็นก้อนทองคำตามธรรมชาติ จึงยื่นมือควานหา กลับถูกแรงดึงดูดอันกล้าแข็งชักนำมายังที่นี้
มิน่าเล่าความละโมบเป็นบาปของมนุษย์ หวินเย่ตีมือขวาตัวเองคราหนึ่ง คราครั้งนี้ก่อเหตุเภทภัยแล้ว
เขาควานหาแหล่งน้ำ เมื่อเดินวนถึงรอบที่สี่ แว่วเสียงน้ำไหลดังมากระทบโสต ยามลิงโลดยินดีกระโดดปราดถึงริมน้ำ เห็นลำธารสายหนึ่งไหลผ่านพุ่งหญ้า เมื่อเดินเลีบบลำธารขึ้นไป ไม่นานก็มาถึงต้นลำธาร ปรากฏเสื้อผ้าสิ่งของกองหนึ่งปิดคลุมอยู่ปากลำธาร
หวินเย่เก็บเสื้อผ้าของตนเองขึ้นมา รวมทั้งถุงน่องรองเท้า ยังมีกระทะท้องแบนใบหนึ่ง นั่นเป็นสิ่งที่หวินเย่ใช้ต้มบะหมี่สำเร็จรูป หลังจากบิดเสื้อผ้าจนแห้ง ก็คลี่กางตากกับต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง จากนั้นระบายลมจากปาก ในที่สุดไม่ต้องวิ่งเปลือยเปล่าแล้ว หากได้เป้คืนมา ก็ไม่มุ่งมาดปรารถนาอย่างอื่นอีก
หวินเย่แบมือทั้งสอง มองดูมือที่ขาวละเอียดอ่อน มีขนาดเล็กกว่ากาลก่อน นี่มิใช่มือของผู้ใหญ่ จากนั้นเหลียวดูใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของตนเองในน้ำ มีความรู้สึกว่าเรื่องราวไม่รวบรัดตามที่ตนเองคาดคิดไว้
การอยู่รอดจัดอยู่อันดับแรก เมื่ออยู่กลางท้องทุ่งท่านไม่สวมเสื้อผ้าได้ แต่มิอาจไม่ใส่ใจรองเท้า การวิ่งเป็นสัญชาตญาณที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
หวินเย่ทราบว่าแหล่งน้ำกล้างท้องทุ่งร้างมิใช่สถานที่อันปลอดภัย ดังนั้นพกความหวังอันเลือกราง นึกอธิษฐานให้สวรรค์คืนเป้ให้กับตนเอง
นี่เป็นผืนดินอันบริสุทธิ์ที่ไม่มีผู้คนมาถึง กลิ่นอายของป่าดงดิบปกคลุมพื้นที่อันเงียบสงบแห่งนี้ หวินเย่ทราบว่าตนเองเพียงเป็นช่างเครื่องจักรผู้หนึ่ง หากคิดมีชีวิตอยู่ที่นี้ ต้องไม่อาจขาดแคลนอุปกรณ์ มีแต่พึ่งพาอุปกรณ์จึงช่วยให้หาอาหารได้ และอาศัยเครื่องมือชุดนี้ช่วยให้ร่างกายที่มีอายุสิบสี่สิบห้าปีมีชีวิตรอดสืบไป
หวินเย่สลัดรองเท้าหนังกลับอันหนักอึ้ง เมื่อสวมรองเท้าที่เปียกน้ำสร้างความลำบากยิ่ง ทุกฝีเท้าบังเกิดเสียงดังเชียะเชียะ มือถือท่อนไม้หยาบเท่าไข่ไก่ คอยฟาดหวดพงหญ้า เพิ่มพูนกำลังขวัญแก่ตนเอง
สวรรค์ตอบรับคำร้องของเขา ที่ปากน้ำปรากฏสายรัดผ้าเส้นหนึ่งลอยมา หวินเย่ตากระจ่างวูบ โน้มตัวออกไปคว้าสายรัดไว้ รั้งดึงโดยแรงได้ยินเสียงกราว เป้สะพายหลังสูงเท่าครึ่งคนใบหนึ่งผุดโพล่ขึ้นจากน้ำ หวินเย่กอดเป้เอาไว้ จากนั้นดึงพลั่วของทหารช่างออกมา
ที่ริมธารมีโขดหินทรายแถบหนึ่ง บนโขดหินปราศจากต้นหญ้างอกเงย หวินเย่เคลื่อนย้ายตัวเองไป โขดหินทรายถูกแสงแดดแผดเผาจนร้อนลวก เขาตากเสื้อผ้าที่เปียกน้ำบนก้อนหิน เชื่อว่าไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เสื้อผ้าจะแห้งสนิท
ต่อจากนั้นหวินเย่ก่อกระโจม ให้ลมร้อนไล่ความชื้นในกระโจม พบว่าอุปกรณ์ทั้งชุดยังสมบูรณ์ ต้องระบายลมจากปากคำหนึ่ง
เขาไม่ตั้งความหวังต่อเครื่องมือระบุตำแหน่ง ยิ่งเป็นเครื่องมือที่ละเอียดลออ ยิ่งเสียหายได้โดยง่าย เข็มทิศยังคงชี้ไปทางเหนือ ถึงแม้ว่ามีน้ำไหลซึมเข้าไปก็ตาม หลังจากใช้วิธีตัดผ่าน บนแผนที่ระบุตำแหน่ง เขาพบเห็นด้วยความประหลาดใจ ตำแหน่งของตนเองกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร นี่เป็นไปได้อย่างไร?
รูหนอนไม่ได้เปลี่ยนแปลงตำแหน่งของเรา แต่เปลี่ยนแปลงกาลเวลาหรือ?
หวินเย่ซุกศีรษะกับหว่างกลางหัวเข่าทั้งสอง จิตใจยุ่งเหยิงดุจกองปอ เขาความจริงเข้าใจว่าคำ “ย้อนเวลา” เป็นคำศัพท์ของนักเขียนนวนิยายคิดค้นขึ้น ตอนนี้กลับบังเกิดแก่ตนเอง
หวินเย่เข้าใจว่าตนเองเป็นคนรักบ้าน มารดา ภรรยา บุตรชายประกอบขึ้นเป็นป้อมปราการอันมั่นคงในจิตใจของเขา หากว่าเพียงเป็นระยะห่าง เขาไม่เห็นว่าเป็นปัญหา แต่ตอนนี้มิใช่ระยะห่าง หากทว่าอยู่ห่างกันพันกว่าปี
ภาคตะวันตกเฉียงเหนือแห่งหนึ่ง หากกล่าวให้แน่ชัดคือ ป่าไม้แดนหล่งจง* สูญสลายไปหลังราชวงศ์ถัง ความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน อากาศ การเพิ่มพูนของประชากร ก่อเกิดเป็นพิบัติภัยทางระบบนิเวศ ในฐานะที่เป็นชาวหล่งจง หวินเย่ทราบกระจ่างกว่าผู้ใดว่าสีเขียวชอุ่มที่เห็นนี้หมายถึงอะไร
* ปัจจุบันเป็นมณฑลกานซู
“ตอนนี้เป็นราชวงศ์ถัง หรือราชวงศ์ฮั่น ถึงกับเป็นราชวงศ์ฉิน? ขออย่าได้เป็นราชวงศ์เหนือใต้ เราเป็นตัวละครเล็กๆ ไม่อาจรับผิดชอบได้”
หวินเย่พูดจาอย่างสับสนวุ่นวาย
อากาศบริสุทธิ์ ทิวทัศน์ก็งดงาม แม้แต่กระต่ายทีข้างกายก็เป็นมิตร
หวินเย่ตาเป็นประกาย จ้องมองกระต่ายที่อ้วนใหญ่ เขาหิวโหยแต่แรกแล้ว ดังนั้นจับกระต่าย ก่อกองไฟปิ้งย่าง รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
ดวงอาทิตย์ลาลับกับขุนเขา แสงสีแดงฉานกดทับยอดเขาเอาไว้ นกกาโบยบินกลับป่าไม้ที่ที่ไกลตา
หวินเย่พลันบังเกิดความหดหู่จู่โจมจิตใจ ถือกระต่ายที่รับประทานเหลือครึ่งหนึ่งร้องไห้ออกมา ค่ำคืนนั้นเขาคล้ายย้อนกลับไปยังโลกอันโกลาหลวุ่นวาย ภาพของภรรยาที่นุ่มนวล บุตรชายที่แข็งข้อ มารดาที่พูดไม่หยุดปากผุดขึ้นที่เบื้องหน้า เขายกมือปาดเช็ดใบหน้า ขับไล่ความอาลัยอาวรณ์ทิ้งไป
การอยู่รอดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ขอเพียงมีชีวิตอยู่ จึงสามารถนึกถึงอย่างอื่น นับแต่นี้เป็นต้นไป เขาต้องเผชิญหน้ากับชีวิตใหม่ ดังนั้นก่อไฟขึ้นใหม่ ปิ้งย่างเนื้อกระต่ายที่รับประทานเหลือ กัดกินทีละคำจนหมดสิ้น
อาหารเป็นสิ่งที่มีค่า ดังนั้นดูดไขกระดูกบนกระดูกจนหมดสิ้น หวินเย่ก็กลับคืนสู่ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เขาไม่อาจใช้ชีวิตบนท้องทุ่งร้างเช่นคนป่าตลอดไป
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องมีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ การใช้ชีวิตตามลำพัง จะเป็นเหตุให้ความสามารถในการสื่อสารถดถอย ความสามารถในการใช้สมองเสื่อมถอย แขนขาแข็งแกร่งกว่าเดิม หวินเย่ไม่ต้องการมีชีวิตเช่นคนป่า
หนทางอยู่ที่ใด หลูซิ่น* บอกว่าเมื่อผู้คนเดินผ่านอยู่บ่อยครั้ง จะเกิดถนนหนทาง แต่หวินเย่เป็นคนแรกที่เหยียบย่ำผ่านท้องทุ่งร้าง ดังนั้นเขาได้แต่บุกเบิกเส้นทางด้วยตนเอง
* นักเขียนจีนที่ทรงอิทธิพลที่สุด
เดินทางไม่ถึงหนึ่งลี้ หวินเย่ก็หอบหายใจออกมา เด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าปีผู้หนึ่งมีกำลังวังชาสักเพียงไหน อย่าว่าแต่ยังต้องแบกอุปกรณ์หนักสามสิบกว่าชั่ง
ไม่สนใจแล้ว หวินเย่ตัดสินใจเลียบลำธารไป น้ำลำธารที่เย็นเฉียบแช่จนสองเท้าแทบปราศจากความรู้สึก ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะก็แผดเผาจนหนังศีรษะร้อนลวก หญ้าคาขาวที่ริมธารที่คล้ายใบมีดพอกรีดผ่าน ฝากเป็นรอยสีแดงเส้นแล้วเส้นเล่า
เขาบัดเดี๋ยวเย็นบัดเดี๋ยวร้อน จนเป็นโรคซังหาน* หวินเย่เห็นเบื้องหน้าเป็นพื้นทรายขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งมู่ (ไร่จีน) จึงเร่งฝีเท้าขึ้น เพิ่งเหยียบย่ำลงบนพื้นทราย ก็ปรากฏงูสีดำกลุ่มหนึ่งกระโจนใส่ ยามขวัญหนีดีฝ่อเขาหวาดพลั่วใส่ ได้ยินเสียงร้องแมะ แพะภูเขาสีเทาตัวหนึ่งร่วงฟาดลงในลำธาร น้ำลำธารกระเซ็นใส่ร่าง แพะภูเขาดิ้นรนหมายลุกขึ้น แต่ขาข้างหนึ่งถูกฟาดหักไป พอพลิกตัวขึ้นมาก็ล้มลงใหม่ หวินเย่มองดูสภาพอันเจ็บปวดของมัน ได้แต่เงื้อพลั่วขึ้นหวดซ้ำ...
เนื้อกระต่ายที่รับประทานในตอนเช้าย่อยสลายหมดสิ้น ท้องลั่นโครกครากขึ้นมา หวินเย่ใช้มีดอิงจี๋ซา** แล่แพะภูเขาที่น่าเวทนาตัวนั้น ส่วนเครื่องในของแพะนอกจากหัวใจกับไตแล้ว เครื่องในอื่นล้วนฝังดิน
* โรคไทฟอยด์
** มีด Knives ของชนกลุ่มน้อยมณฑลซินเกียง ผ่านขั้นตอนการจัดสร้างยี่สิบเก้าขั้นตอน จนฟันหยกดุจฟันหยวก
หลังจากรับประทานเนื้อแพะย่างหนึ่งมื้อ ก็ใช้หญ้าคาขาวรมเนื้อแพะที่เหลือ ผู้ใดคาดคิดว่าพืชหญ้าที่ขึ้นอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือจะเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการรมเนื้อแพะ
หวนนึกถึงครั้งแรกที่รับประทานเนื้อแพะย่างของชนชาติอุยกูร เขาถึงกับแทบกลืนลิ้นลงไป หลังจากนั้นต้องเสนอมีดอิงจี๋ซาหนึ่งชุด บวกกับเหล้าไป่กาน (เหล้าขาว) ค่อยล้วงถามเคล็ดลับในการปิ้งย่างเนื้อแพะจากผู้เฒ่า วัตถุดิบที่สำคัญคือหญ้าคาขาวซึ่งมีอยู่ทุกแห่งหน
หลังจากขอบคุณแพะตัวนั้น หวินเย่สวมใส่เสื้อผ้าที่ตากจนแห้ง เหยียบย่างสู่เส้นทางในการค้นหามวลชนใหม่
ลำธารลดเลี้ยวโค้งที่เชิงเขา ไหลหลั่งสู่ทิศตะวันออก แม่น้ำบนโลกเป็นเช่นนี้ร้อยละเก้าสิบเก้า ลำธารสายนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น หวินเย่เดินตามลำธารเป็นเวลาสามวัน นอกจากต้นไม้ยิ่งมายิ่งน้อย พืชหญ้าก็ยิ่งมายิ่งบางตา
สายตายามกวาดมอง พื้นที่ที่เป็นแอ่งปราศจากกลิ่นอายผู้คน หญ้าสีเขียวปูลาดไปทั่วพื้นดิน บางครั้งปรากฏนกเล็กโผบินขึ้นฟ้า ม้าป่าเป็นฝูงวิ่งห้อบนพื้นหญ้า ขนคอม้าที่ตั้งชันถูกแสงอาทิตย์สาดส่องเป็นเส้นสายสีเงินและทอง ละมั่งมองโกลเล็มหญ้าอยู่ในพงหญ้า บางครั้งยืดคอมองไกล แม้แต่ไก่ป่าก็บินเลียดดินระดับต่ำ
ในอากาศแฝงกลิ่นอายของชีวิตนานาชนิด ธรรมชาติงดงามถึงเพียงนั้น
หวินเย่พังทลายลงแล้ว นี่เป็นทิวทัศน์อุบาว์อันใด ป่าคอนกรีตของเราเล่า เสียงบีบแตรรถยนต์ของเราเล่า ก๊าซที่ปล่อยออกจากโรงงานของเราเล่า ปล่องควันที่ลอยขึ้นจากเขตอุตสาหกรรมหนักของเราเล่า ตึกที่ทำการประจำตัวเมืองที่ทันสมัยถูกผู้คนก่นด่าประณามเล่า ถุงพลาสติกที่ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้าเล่า มวลชนที่ชิงชังรังเกียจเล่า ตัวเมืองที่อึกทึกครึกโครมจนเราแทบทนทานไม่ได้เล่า กองขยะที่เน่าเหม็นกองสุมราวภูเขาเล่า?
ญาติพี่น้องทั้งหลาย พวกท่านอยู่ที่ใด?
อย่าได้ทิ้งเราไว้ตามลำพัง
หวินเย่นอนหงายบนพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่ม น้ำตาไหลหลั่งดุจทำนบทลาย
เพียงหลับฝันไปตื่นหนึ่ง ท้องทะเลก็กลับกลายเป็นที่นา โลกกลับตาลปัตรไปสิ้น
หน้า 9
หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่หวินเย่
ผู้คุ้มกัน+สำนักคุ้มกันภัย+ผู้อาวุโส+ปรมาจารย์+องครักษ์+นักฆ่า+ทหารรักษาพระองค์+องค์หญิง+ฮ่องเต้+ฮองไทเฮา+องค์ชาย+ฮองเฮา+ฮูหยิน+ผู้บัญชาการ+ผู้อาวุโส+ตระกูลสูงศักดิ์+ตระกูล+คุณชาย+อาจารย์+ลูกศิษย์+ศิษย์+คุณหนู+ชายฉกรรจ์+โจร+ทูตพิเศษ+ผู้ดูแล+ผู้ถือดาบ+ผู้ลงทัณฑ์+หมอวิเศษ+ครูฝึกสอน+ผู้แทนพระองค์+เชื้อพระวงศ์+คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่+ราชทัณฑ์+นักบู๊พิทักษ์ตึก+ผู้สูงศักดิ์+ชายฉกรรจ์+หญิงสาว+บัณฑิต+เด็กชาย+เด็กหญิง+หญิงรับใช้+
พระเอก ครอบครัวของพระเอก +++++++++++++++หวินเย่(หวินเป็นแซ่ เย่แปลว่าเรืองรอง) ทราบว่าตนเองเพียงเป็นช่างเครื่องจักรผู้หนึ่ง เพิ่งรับประทานยาสำนึกเสียใจลงไป แต่ว่าฤทธิ์ยาออกฤทธิ์รุนแรงไปบ้าง เมื่อเขาพบว่าตัวเองยืนเปลือยเปล่าอยู่กลางท้องทุ่งร้าง ต้องตะลึงลานกับที่ จำได้ว่าก่อนที่จะออกมา ตนเองดื่มน้ำเป็นคนที่หก เห็นก้นบึ้งปรากฏประกายสีทองแวบผ่านไป เข้าใจว่าเป็นก้อนทองคำตามธรรมชาติ จึงยื่นมือควานหา กลับถูกแรงดึงดูดอันกล้าแข็งชักนำมายังที่นี้ หลังจากใช้วิธีตัดผ่าน บนแผนที่ระบุตำแหน่ง เขาพบเห็นด้วยความประหลาดใจ ตำแหน่งของตนเองกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร นี่เป็นไปได้อย่างไร? รูหนอนไม่ได้เปลี่ยนแปลงตำแหน่งของเรา แต่เปลี่ยนแปลงกาลเวลาหรือ? หวินเย่เข้าใจว่าตนเองเป็นคนรักบ้าน มารดา ภรรยา บุตรชายประกอบขึ้นเป็นป้อมปราการอันมั่นคงในจิตใจของเขา หากว่าเพียงเป็นระยะห่าง เขาไม่เห็นว่าเป็นปัญหา แต่ตอนนี้มิใช่ระยะห่าง หากทว่าอยู่ห่างกันพันกว่าปี ภาคตะวันตกเฉียงเหนือแห่งหนึ่ง หากกล่าวให้แน่ชัดคือ ป่าไม้แดนหล่งจง(ปัจจุบันเป็นมณฑลกานซู) สูญสลายไปหลังราชวงศ์ถัง ความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน อากาศ การเพิ่มพูนของประชากร ก่อเกิดเป็นพิบัติภัยทางระบบนิเวศ หวินเย่พลันบังเกิดความหดหู่จู่โจมจิตใจ ถือกระต่ายที่รับประทานเหลือครึ่งหนึ่งร้องไห้ออกมา ค่ำคืนนั้นเขาคล้ายย้อนกลับไปยังโลกอันโกลาหลวุ่นวาย ภาพของภรรยาที่นุ่มนวล บุตรชายที่แข็งข้อ มารดาที่พูดไม่หยุดปากผุดขึ้นที่เบื้องหน้า เขายกมือปาดเช็ดใบหน้า ขับไล่ความอาลัยอาวรณ์ทิ้งไป หวินเย่พังทลายลงแล้ว นี่เป็นทิวทัศน์อุบาว์อันใด ป่าคอนกรีตของเราเล่า เสียงบีบแตรรถยนต์ของเราเล่า ก๊าซที่ปล่อยออกจากโรงงานของเราเล่า ปล่องควันที่ลอยขึ้นจากเขตอุตสาหกรรมหนักของเราเล่า ตึกที่ทำการประจำตัวเมืองที่ทันสมัยถูกผู้คนก่นด่าประณามเล่า ถุงพลาสติกที่ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้าเล่า มวลชนที่ชิงชังรังเกียจเล่า ตัวเมืองที่อึกทึกครึกโครมจนเราแทบทนทานไม่ได้เล่า กองขยะที่เน่าเหม็นกองสุมราวภูเขาเล่า? ญาติพี่น้องทั้งหลาย พวกท่านอยู่ที่ใด? อย่าได้ทิ้งเราไว้ตามลำพัง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ข้าราชการ บุ๋น บู๊ เชื้อพระวงศ์ ฮ่องเต้ ฮองเฮา พระสนม ชายา องค์ชาย องค์หญิง ท่านหญิง ท่านชาย ท่านอ๋อง+++++++++++++++++++++++++++ต่างประเทศ ชาวต่างชาติ ++++++++++++เหล่าไหว้* ที่หายสาบสูญบนท้องทะเลทรายโกบี คำเรียกคนต่างประเทศที่มาจากฝั่งตะวันตก+ชนชาติอุยกูร+++++สัตว์ พาหนะ พืชพรรณ ธัญญาหาร ผลไม้ รากไม้ เหล้า ของหมักดอง อาหาร วัถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องมือ ภาชนะ การช่าง +++++++++++++++ละมั่งมองโกล+วัตถุดิบที่สำคัญคือหญ้าคาขาวซึ่งมีอยู่ทุกแห่งหน+เหล้าไป่กาน (เหล้าขาว)+ มีด Knives ของชนกลุ่มน้อยมณฑลซินเกียง ผ่านขั้นตอนการจัดสร้างยี่สิบเก้าขั้นตอน จนฟันหยกดุจฟันหยวก มีดอิงจี๋ซา+เขาบัดเดี๋ยวเย็นบัดเดี๋ยวร้อน จนเป็นโรคซังหาน โรคไทฟอยด์+ต้นอวี้(ต้นเอม) ที่ต่ำเตี้ย ต้นไหว(ต้นโลคัส) ที่กระจัดกระจาย แทรกแซมอยู่ท่ามกลางพืชเฮ่าอวี้ที่สูงราวครึ่งคน+
หนทางอยู่ที่ใด หลูซิ่น(นักเขียนจีนที่ทรงอิทธิพลที่สุด) บอกว่าเมื่อผู้คนเดินผ่านอยู่บ่อยครั้ง จะเกิดถนนหนทาง +เรื่องจอมกะหล่อนราชวงศ์ถังเป็นผลงานของเจี๋ยอวี่เอ้อร์ สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊ก จัดพิมพ์จำหน่าย โดยได้รับมอบลิขสิทธิ์จากเว็บไซต์ฉีเตี่ยนจงเหวินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จอมกะหล่อนราชวงศ์ถังแปลและเรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาจีนชื่อถังจวง แปลตรงตัวว่าก้อนอิฐราชวงศ์ถัง ต้องการสื่อความหมายถึงตัวเอกซึ่งเป็นก้อนอิฐก้อนหนึ่งในการก่อร้างสร้างจักรวรรดิถังอันยิ่งใหญ่ พอนำลงในเว็บไซต์ฉีเตี่ยนจงเหวิน ก็อาศัยสำนวนเบาๆ แฝงอารมณ์ขันสร้างความแปลกใหม่แก่นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ มียอดวิวนับสิบล้านวิว เพียงนำลงได้ครึ่งหนึ่ง ผู้แต่งก็ทะยานขึ้นเป็นนักเขียนระดับมหาเทพ หลังจากนั้นยังจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ทั้งฉบับตัวย่อที่จีนแผ่นดินใหญ่ และฉบับตัวเต็มที่ไต้หวัน จอมกะหล่อนราชวงศ์ถังเขียนถึงชายหนุ่มผู้หนึ่งบังเอิญย้อนเวลามาถึงราชวงศ์ถัง ผู้แต่งอาศัยปลายปากกาที่มีชีวิต บรรยายสถานการณ์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่แห่งยุคสมัย ชักนำผู้อ่านเข้าสู่รัฐศกเจิงกวนอย่างกลมกลืน ปัจจุบันเจี๋ยอวี่เอ้อร์เป็นนักเขียนระดับแพลตินัมของเว็บไซต์ฉีเตี่ยนจงเหวิน เขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ทั้งหมดเจ็ดเรื่อง จอมกะหล่อนราชวงศ์ถังเป็นเรื่องแรกในชีวิตการเขียนของเขา เพียงเรื่องแรกก็ดังทะลุฟ้า ผมเป็นแฟนประจำของเจี๋ยอวี่เอ้อร์ ติดตามอ่านผลงานของเขาทุกเรื่อง เห็นว่าจอมกะหล่อนราชวงศ์ถังอ่านสนุกที่สุด สำหรับกับผม จอมกะหล่อนราชวงศ์ถังเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดในรอบสิบปี